วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ สกัดเย็น 100%เพื่อสุขภาพ ความสุข และความงาม


สรรพคุณ
วิธีใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทำความสะอาดใบหน้าล้างเครื่องสำอาง
วิธีใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บำรุงผิวหน้า
วิธีใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ดูแลเส้นผม รากผม และหนังศีรษะ
น้ำมันมะพร้าวเหมาะจะใช้เป็นน้ำมันนวด
น้ำมันมะพร้าวช่วยสมานผิวป้องกันการเกิดท้องลาย
น้ำมันมะพร้าวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย
การรับประทานน้ำมันมะพร้าว
คำ ถามแรกที่ผู้เริ่มเรียนรู้ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวมักจะถามคือ ควรรับประทานน้ำมันมะพร้าวในปริมาณวันละเท่าไร? คำตอบคือ วันละเท่าไรก็ได้ที่คุณรู้สึกเหมาะสม แม้แต่วันละครึ่งช้อนก็มีประโยชน์

ขนาดที่แนะนำคือวันละ 3 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ทั่วๆไป เป็นปริมาณที่อัตราส่วนพอๆกับกรดไขมันสายปานกลางธรรมชาติที่พบในน้ำนมแม่ ซึ่งเป็นปริมาณเพียงพอที่จะป้องกันทารกจากการติดเชื้อ การเจ็บไข้ได้ป่วย และช่วยในการรับสารอาหารที่มีคุณค่าในสภาวะปกติทั่วๆไป

สำหรับ ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 60กก. ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะเป็นปริมาณที่เหมาะสม ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่านี้สามารถลดปริมาณน้ำมันมะพร้าวลง ½ ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักที่น้อยลง 10กก. ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 70กก. รับประทานน้ำมันมะพร้าววันละ 4 ช้อนโต๊ะถือเป็นปริมาณที่ไม่มากเกินไป

การ รับประทานควรแบ่งรับประทานก่อนอาหารมื้อละประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ การรับประทานก่อนอาหารมีประโยชน์เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซับสารอาหารที่จำ เป็นได้ดียิ่งขึ้น การรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วดื่มน้ำตาม ยังช่วยลดความหิวทำให้ทานอาหารน้อยลง เป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

อย่างไรก็ตามไม่ถือเป็นกฏตายตัว โปรด จำไว้เสมอว่าแม้ปริมาณจะเล็กน้อยเพียงไรก็มีประโยชน์ และปริมาณต่างกันบ้างในแต่ละวันก็ไม่เป็นไร ในกรณีรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อช่วยในการเจ็บไข้ได้ป่วย คุณสามารถเพิ่มปริมาณน้ำมันมะพร้าวเป็นสองเท่า ไม่มีอันตรายจากการรับประทานน้ำมันมะพร้าวเกินปริมาณ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวเป็นอาหารไม่ใช่ยา

การรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วรู้สึกเลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบางคนที่ยังไม่รู้สึกคุ้นเคย คุณสามารถรับประทานน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีใดก็ได้ที่รู้สึกเหมาะสม บางคนรับประทานได้โดยตรงจากช้อนเป็นอาหารเสริม บางคนใช้วิธีผสมในเครื่องดื่มอุ่นๆ บางคนเลี่ยงไปใช้วิธีเพิ่มน้ำมันมะพร้าวลงในอาหาร วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้น้ำมันมะพร้าวปรุงอาหารแทนน้ำมันชนิดอื่นๆ
Share:

ยาเสียสาว

ว็บไซต์แห่งหนึ่งอ้างว่าขายผลิตภัณฑ์ด้านเซ็กซ์ทอยส์ จัดอันดับ สินค้าขายดีจากการที่มีลูกค้า สั่งซื้อสูงสุด ซึ่งไม่น่าแปลกใจ ที่ผลิตภัณฑ์เพิ่มขนาดท่านชายติดเกือบทุกอันดับ ยกเว้น ?ยาเสียสาว? ถึงแม้ราคาบนเว็บจะแพงลิบ แต่เหล่าบรรดามิจฉาชีพยังคงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย

?ยาเสียสาว-ยาเสียตัว? ไม่ใช่ชื่อใหม่ บรรดานักเที่ยวต่างรู้ดีและไม่อยากตกเป็นเหยื่อ ขณะที่ปัจจุบันยาเหล่านี้ไม่ได้ใช้มอมเฉพาะ ?สาวเล็ก-สาวใหญ่? เพียงอย่างเดียว แต่ ?หนุ่มน้อย-หนุ่มใหญ่? ก็ยังคงตกเป็นเหยื่อหลายครั้งหลายครา ยิ่งใกล้ถึง ช่วง หยุดยาวนักขัตฤกษ์ เทศกาลสงกรานต์ ผู้คนต่างเข้าไป ?กินดื่ม? ตามสถานบันเทิงกันหนาแน่นมากขึ้น ยิ่งเป็นหอีกจุดเสี่ยงที่ควรจับตามอง

ไม่ต่างจากเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนแห่งหนึ่ง (บ้านชาย) เคยเป็นทั้ง ?ผู้กระทำและถูก กระทำ? เราได้คุยกับเด็กกลุ่มหนึ่งที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีข่มขืนกระทำชำเรา

เอ (นามสมมุติ) เปิดเผยว่า ละแวกบ้านเป็นชุมชนแออัดซึ่งเด็กที่มีพฤติกรรมเกเรจะรู้จักกันหมด จนตั้งกลุ่มเป็นแก๊งใหญ่คอยช่วยเหลือกันและกัน ทำให้รู้จักแหล่งค้ายามอมสาวเป็นอย่างดี โดยซื้อยา ?โดมิคุม? หรือรู้จักในวงการว่า ?ไอ้คุ่ม? ราคาเม็ดละ 100 บาท เหยื่อส่วนใหญ่เพื่อน ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนแนะนำให้รู้จัก ซึ่งพอเหยื่อตายใจก็จะชักชวนไปนั่งเล่นห้องเพื่อนที่ค่อนข้างมีระดับ เช่น คอนโดฯ ที่มีเครื่องเสียงและเครื่องเล่นซีดี

ส่วนมากหลอกเหยื่อ มาในเวลากลางวัน โดยจะพากันโดดเรียนมานั่งเล่นในห้องดังกล่าว พอหญิงสาวตายใจ เอจะให้เพื่อนทำทีไปซื้อน้ำอัดลมมาเลี้ยง และลอบใส่ยาที่บดเตรียมไว้แล้วในน้ำให้เหยื่อดื่ม ไม่กี่อึดใจสาวน้อยที่คึกคักก็หลับใหลไม่รู้ตัว คนร้ายที่เป็นตัวตั้งตัวตีทำการข่มขืนกระทำชำเราก่อนเป็นคนแรกหลังจากนั้นเพื่อนคนอื่นค่อย ๆ เรียงคิว

เอ ยอมรับว่า มีแฟนอยู่แล้วและมีเพศสัมพันธ์กันบ่อย แต่เหตุที่ทำไปเนื่องจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มยุยงและอารมณ์ชั่ววูบ

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นฝ่ายหญิงตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ขณะที่คนร้ายต่างเตรียมอาวุธไว้ข่มขู่ไม่ให้เธอนำเหตุการณ์นี้ไปบอกใคร เอ บอกว่า ทำมาแล้วหลายครั้งเด็กผู้หญิงหลายคนก็ไม่ยอมบอกใครเพราะอับอาย และยังมีเด็กสาวบางส่วนที่นึกว่าการ กระทำของพวกเขาในครั้งนี้เป็นเรื่องธรรมดาแต่ใช่ว่าฝ่ายหญิงโดน กระทำเพียงอย่างเดียว ฝ่าย ชายเองที่ขนาดได้สมญานามว่า ?เสือผู้หญิง? ก็เคยโดนลูบคมมาแล้ว

หนุ่ม (นามสมมุติ) เปิดเผยว่า ก่อนเข้ามาอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กฯ เคยค้ายาบ้ามาก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเที่ยวผับกับเพื่อนก่อนนำยาบ้าไปส่งให้ลูกค้า ได้รู้จักกับหญิงสาวนางหนึ่งรูปร่างอวบอิ่มเชื้อเชิญให้เขาร่ำสุราอยู่ค่อนคืน หลังจากนั้นจึงพากันไปที่โรงแรม

ฝ่ายหญิงทำทีขอตัวไปอาบน้ำชำระคราบไคล ขณะที่หนุ่มนอนรออยู่บนเตียง ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเธอก็ออกมาพร้อม กับผ้าขนหนูคลุมกายผืนเดียว หนุ่มสังเกตเห็นว่าพอออกมาหญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำที่เกาะบนร่างเปลือยเปล่าเกือบทุกส่วนยกเว้นปทุมถันที่เธอระมัดระวังใช้ผ้าเพียงซับ ๆ ให้พอเป็นพิธี

แล้วหนุ่มก็ได้กระทำล่วงล้ำบนเนินอกอันอวบอิ่มของ หญิงสาว หนุ่มเล่าว่า รู้สึกฝาด ๆ ลิ้น แต่ไม่ทันได้คิดอะไรมากกว่านั้นเขาก็รู้สึกมึนหัวสลบลง ตื่นขึ้นมาอีกทีพร้อมกับร่างเปลือยเปล่า ไร้เงาสาวเจ้า ?สวรรค์ล้มครืน?

หนุ่มตรวจดูทรัพย์สินพบว่า เงินในกระเป๋าหายเกลี้ยง ขณะที่ยาบ้าลอตใหญ่ก็หายไปด้วย เขาคิดอะไรไม่ออกจึงใช้โทรศัพท์โรงแรมโทรฯ ไปบอกเพื่อนให้มารับ

นพ.พงศพันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ยามอมสาวที่คนร้ายนำมาใช้ เป็นยานอนหลับที่มีการควบคุมอย่างใกล้ชิด เมื่อซื้อต้องมี ใบสั่งแพทย์หรือบางชนิดใช้ ในโรงพยาบาลอย่างเดียว

แต่การแพร่ระบาดของยาส่วนใหญ่ เกิดจากการลักลอบนำเข้าประเทศ เนื่องจากบางประเทศตัวยาเหล่านี้ไม่ได้รับการควบคุมอย่างจริงจัง ยาส่วนใหญ่ที่คนร้ายใช้คือ ?โดมิคุม? ออกฤทธิ์ต่อจุด ศูนย์กลางการหายใจบริเวณสมองทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายและง่วงนอน แต่หากใช้ร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาชนิดอื่นที่ออกฤทธิ์เหมือนกันอาจทำให้ผู้ใช้เสียชีวิตได้

?โดมิคุม? หากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้ติดได้ เนื่องจาก เมื่อได้รับเข้าไปแล้ว จะรู้สึกมีความต้องการอีก หากไม่ได้รับอาจมีความรู้สึกนอนไม่หลับ แต่บางกรณีใช้ติดต่อกันนานทำให้ดื้อยานอนไม่หลับ

ยาอีกตัวคือ อัลปราโซแลม มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและทำให้เกิดอาการง่วงนอน ไม่มีแรง สูญเสียความทรงจำหลังจากใช้ยา โดยผู้ใช้รู้สึกง่วงนอนเมื่อทานเข้าไป 15 นาที ซึ่งมีฤทธิ์อยู่ 8-9 ชั่วโมง ยานี้ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ป่วยทางจิตที่มีอาการคลุ้มคลั่งหมอจะให้ยาตัวนี้เพื่อผ่อนคลาย

ยาเหล่านี้เมื่อผสมกับน้ำไม่มีสีและรสทำให้ยากแก่การสังเกต ซึ่งเหล่ามิจฉาชีพนิยมนำยาผสมใส่กับน้ำเพื่อให้เหยื่อดื่ม ทางหลีกเลี่ยงที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรเข้าไปในที่อโคจรเพราะเป็นพื้นที่เสี่ยงในการโดนมอมยามากที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ควรดื่มน้ำจากคนแปลกหน้าหรือวางแก้วไว้ไกลตัว อาจทำให้คนร้ายแอบใส่ยาลงไปได้

ส่วนผู้ชายเองก็ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพเช่นกัน โดยใช้หญิงสาวเป็นตัวหลอกล่อ พอเผลอก็แอบใส่ยาในเครื่องดื่ม หรือแต้มไว้ตามจุดสำคัญของ ร่างกายเพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายชายรับประทานเข้าไป

สำหรับโทษของผู้ที่นำยาเหล่านี้ขายให้ผู้อื่นโดยไม่มีใบสั่งยามีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

?บ้านใดก็ตามที่มีผู้ใช้ยาเหล่านี้อยู่ ควรเก็บไว้ให้พ้นมือเด็ก เพราะมีคนไข้บางรายมีหลานเห็นแล้วแอบเอาไปเล่น ผสมกับน้ำหวานให้เพื่อนดื่ม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากเพราะเป็นสารที่มีความร้ายแรง หากเด็กไม่มีภูมิต้านทานพออาจเสียชีวิต?

เมื่อรู้เช่นนี้การระแวดระวังที่ดีที่สุดคือ การไม่ประมาท...!
Share:

วิญญาน เด็ก .ถูก ทำแท้ง

ขอเล่าเรื่องนี้เป็นวิทยาทานกับหลาย ๆ คน ที่เคยทำ... และขอปกปิดชื่อ-นาม จ.ที่อยู่...กรูณาอย่านำชื่อฉันไปเปิดเผย..

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนฉันอายุได้ 20 ได้เกิดสิ่งผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต 1 เรื่องคือ การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ 1 เดือนครึ่ง และจบลงด้วยการไปเอาเค้าออก ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่เค้าออกมา เป็นเพียงก้อนเลือดกลมๆ เล็กกว่ากำปั้น ครื่งต่อครึ่ง ด้วยความเวทนาทั้งตัวฉันเอง และชีวิตของเค้า ฉันก็นำเค้าห่อกระดาษ เพียง 1 แผ่น แล้วนำไปทิ้งถังขยะ ซึ่งตอนนั้นฉันอยู่ที่ต่างจังหวัด ช่วงบ่าย ฉันก็เดินทางกลับมายัง จังหวัดที่ฉันอยู่

1-2 อาทิตย์ต่อมา มีรุ่นพี่ที่ชอบพอฉัน ชวนฉันไปกินข้าวในร้านค้อนข้างหรู ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรกับฉัน ว่าฉันไปทำอะไรมา เมื่อนั่งทานข้าวได้ซักพัก ฉันแทบน้ำตาร่วง นั่งนิ่งไปชั่วขณะ เพราะขณะที่นั่งกินข้าว+ฟังเพลงกันอยู่นั้น แมวดำมาจากไหนไม่รู้ กระโดดมาที่โต๊ะฉัน มันจ้องหน้าฉันแล้วร้อง แบบเอาเป็นเอาตาย รุ่นพี่ที่นั่งกับฉัน เค้าก็พยายามไล่มันไป ซักพักมันก็ไปของมันดื้อๆ ทุกคนในร้านงงมาก แต่ลึกๆ ในใจฉันพอจะเดาได้ว่ามันคืออะไร พอฉันกลับห้องพักก็กลับมานอน แล้วฉันก็ฝัน

ว่ามีเด็กผู้ชายคนนึ่ง เค้าคลานออกมาจากถังขยะเนื้อตัวมอมแมม และพยายามจะมาหาฉัน แล้วก็สะดุ้งตื่น ซึ่งก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะฉันตัวคนเดียว 2-3 วันต่อมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน เล่าให้ฉันฟังว่า..ฝันเห็นเด็กผู้ชายคลานออกจากถังขยะสีเขียวไปหาเค้าแล้วบอกกับเค้าในฝันว่าเป็นลูกของฉัน.... ฉันพูดอะไรไม่ออกเพราะฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง วาสีของถังขยะสีอะไร แล้วมันก็ตรงอย่างที่เพื่อนบอก

ฉันทำบุญ ถวายสังฆทาน กรวดน้ำ ให้เค้าตลอดโดยบอกเค้าว่า..ตัวน้อย..มารับส่วนบุญ และกล่าวขอโทษ เชื่อมั๊ยว่าฉันดวงตกมาโดยตลอด ของมีค่าหาย ตกงาน สารพัด

และมีครั้งหนึ่งฉันได้ไปดูหมอดูไพ่ยิ๊ปซี พอฉันเปิดไพ่ สิ่งที่หมอทักคือ เคยมีการสูญเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจในอดีต... ฉันจึงถามกลับไปว่าคืออะไร.. หมอดูตอบฉันว่า ฉันมีดวงวิญญาณเด็กคอยตามฉันอยู่ เป็นเด็กผู้ชายตายจากการทำแท้ง... เด็กเค้าบริสุทธิ์มาก ๆ.. ความรู้สึกมันแปล๊บ...ขึ้นมาในใจ หมอดูยังบอกว่า ที่ฉันเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเด็กแค้นฉัน เด็กเค้าไม่รู้เรื่อง แต่เป็นเพราะเวรกรรม ที่เราได้ทำกับชีวิตเค้าไว้.. ก็น่าจะจริงเพราะเด็กในฝันไม่มีที่ท่าว่าจะแค้นฉัน หรือเกลียดฉันแต้่อย่างใดและพยายามจะเข้ามาหาฉันตลอด

จนครั้งสุดท้ายฉันได้ฝันว่า ฉันเดินไปในป่า โดยมีเด็กชายเดินตามไป และฉันก็ได้เจอพระสงฆ์รูปหนึ่ง ฉันเข้าไปกราบแล้วท่านก็บอกฉันว่า เด็กคนนี้เค้าตั้งใจจะมาอยู่กับฉัน ต่อให้ฉันไล่เค้า ทำอย่างไรกับเค้า เค้าก็จะไม่ไปไหน และจะรอมาอยู่กับฉัน...หลังจากนั้นฉันก็ไม่ฝันอีก เหมือนกับว่าฉันรู้ถึงความต้องการของเขาแล้ว และชีวิตฉันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทางกลับกัน คนที่เป็นพ่อเขาในอดีต ที่ไม่ยอมรับในตัวฉันกับชีวิตน้อยๆ ชีวิตเค้ากลับตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะมีคนพบเห็นแล้วมาเล่าให้ฟัง และฉันเคยบอกกับเด็กน้อยของฉันว่าหากเมื่อใดที่แม่พร้อม กลับมาอยู่กลับแม่ใหม่นะลูก...

ซึ่งนี้ตอนฐานะของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มีพร้อมทั้ง หน้าที่การงาน,รถ,ครอบคัว ขาดก็แต่บ้าน... แต่ฉันก็พร้อมที่จะให้เขาได้เกิดอีกครั้ง และมีความสุขสบายมอบให้เค้าเมื่อเค้ากลับมา.
Share:

แฟลตผีสิง

งานโครงสร้างคอนกรีตธนาคารทหารไทยสำนักงานใหญ่ยังเร่งโหมอย่างต่อเนื่อง แสง สปอตไลท์ยามค่ำคืนคงส่องสว่างถึงรุ่งเช้า รถโม่คอนกรีตสำเร็จรูปยังวิ่งเข้าออกแทบตลอดเวลา สถานีขนส่งผู้โดยสารสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือหรือหมอชิตยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด ถือกระเป๋าเดินทางและข้าวของกล่องกระดาษ สะพานลอยคนเดินข้ามถนนพหลโยธินจากฝั่งหมอชิตไปสวนจตุจักรยังเนืองแน่นหาที่เดินแทบไม่ได้ แต่ละก้าวของคนแปลกหน้าแต่ละคนยังพัวพันกันไปมาไหลลื่นไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
6 โมงเช้า ผมกับเบิ้มลงจากรถทัวร์สายขอนแก่น-กรุงเทพฯ ยืนรอรถเมล์ได้สักพักก็ไปขึ้นสาย 59 จากหมอชิตผ่านไปลงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นเดินย่ำไประยะไม่ห่างกันนักก็มาถึงที่พัก ป้ายกระจกสูงริมเสาไฟบอกชื่อแฟลตพร้อมสัญลักษณ์ดาว 5 ดวง เราขึ้นลิฟท์มาชั้น 5 เข้าไปในห้อง ก่อนที่จะรีบอาบน้ำ แต่งตัว ลงมาทานข้าวข้างล่าง ผมยังไม่ชินกับมลพิษทางอากาศของที่นี่ รู้สึกหายใจอึดอัด พอใช้นิ้วมือแคะตามซอกรูจมูกออกมาดู เห็นเขม่าควันดำเกาะโดยรอบ เบิ้มพาไปไซต์สาธรซิตี้หน่วยงานก่อสร้างอาคารสูงออฟฟิศคอนโดมิเนียม 29 ชั้น ขณะนั้นเพิ่งปรับพื้นที่และตอกเข็มพืดหรือชีตไพล์อยู่

ความจริงแล้วผมเรียนจบช้าไป 1 เทอมในระหว่างรอผลสอบวิชาสุดท้าย ก็เจอเบิ้มกลับมารับใบทรานสคริปต์และลงทะเบียนรับพระราชทานปริญญาบัตร เบิ้มชวนผมไปทำงานที่กรุงเทพโดยให้ทางคณะออกใบรับรองคาดว่าจะจบเพื่อรีบไปหางานทำ งานช่วงนั้นกำลังบูมเป็นยุคทองของเรียลเอสเตท(2530-2540) หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อันได้แก่การจัดสรรหรือรับเหมาก่อสร้างบ้านและที่ดิน ถนนสาธรเหนือช่วงนั้นช่างหาอาหารรับประทานยากจริง ๆ ตอนเที่ยงต้องให้แม่บ้านไปซื้อข้าวแกงที่ร้านเพิงหมาแหงนใส่กล่องโฟมกลับมาให้พนักงานออฟฟิศหลาย ๆ คน

4 โมงเช้าพี่โจก็ตามมาถึงหน่วยงาน เบิ้มกับพี่โจพักที่แฟลตห้องเดียวกัน ก่อนจะมีผมตามมาสมทบอยู่ด้วย ตอนเย็นเลิกงาน พี่โจแยกไปหน่วยงานก่อสร้างฐานรากของบริษัทเสาเข็มอีกแห่งหนึ่ง คนเดียวทำ 2 บริษัท กลางวันที่หนึ่ง กลางคืนอีกที่หนึ่ง เป็นช่วงที่เมคมันนี่ (MAKE MONEY) อย่างเดียว เบิ้ม สตาร์ทงานที่เงินเดือน 12,000 บาท เหมารวมโอที สำหรับวิศวกรเพิ่งจบใหม่ ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว ก่อนกลับเบิ้มแวะทานข้าวและจีบน้อง ๆ พยาบาลแถวโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ก่อนเข้าแฟลตเบิ้มยังชวนผมเดินเล่นต่อที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสันอนุสาวรีย์ฯ 3 ทุ่มก็ได้เวลาล้มตัวนอนบนฟูก สภาพภายในห้องยังรกระเกะระกะจัดข้าวของหรือชั้นวางไม่ลงตัว โทรทัศน์ขนาด 14 นิ้วยังไม่มีชั้นวาง เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ หลอดไฟยังเป็นแบบกลมส่องแสงสีส้มนวล ถึงแม้จะเหนื่อยเพลียจากเมื่อคืนที่นั่งรถทัวร์มาก็ไม่สามารถทำให้ผมข่มตาหลับลงไปได้ เพราะเหมือนกับมีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ในมุมมืด ผมรู้ตัวอีกครั้งราวตี 3 เมื่อพี่โจกลับจากคุมงานเทคอนกรีตหล่อเสาเข็มแถวลาดพร้าว แกถอดเสื้อผ้านอนหลับปุ๋ยไปเลยด้วยความอ่อนเพลีย

ตื่นเช้าผมโทรศัพท์บอกพี่ชายให้มารับไปอยู่ด้วยที่อพาร์ตเม้นต์แถวฝั่งธนบุรี ตอนขนของออกมาจากห้องผมสังเกตที่บานประตูมียันต์ปูนขาวที่นิมนต์พระมาเจิม แต่เหนือวงกบประตูกลับปรากฏตะปูเหล็กหัวสีแดงตอกคาอยู่ คล้ายการสะกดวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้อาละวาดตามที่ผมเคยอ่านเจอในนิตยสารเรื่องผี

พอไปอยู่ที่ใหม่กับพี่ชายได้หนึ่งคืน เช้าวันถัดมาผมก็สมัครงานได้ทำคอนโดแถวพัทยา เงินเดือน 12,000 บาท เบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัดอีก 3,000 บาท รวมเป็น 15,000 บาท ก็เป็นบริษัทเดียวกันกับที่พี่โจและเบิ้มทำที่กรุงเทพฯนี่เอง ตอนเย็นแวะไปทานข้าวกับเบิ้มแถวอนุสาวรีย์ฯ

?อย่าหาว่าผมยังงั้นยังนี้เถอะนะ ผมว่าห้องที่เราอยู่ในแฟลตห้าดาวนี่ค่อนข้างชอบกล เหมือนมีใครมานั่งจ้องในมุมมืด ทำให้เมื่อคืนก่อนผมนอนไม่หลับเลย?

?คงผิดที่ผิดทางมั้ง เดี๋ยวก็เคยชิน? เบิ้มแย้ง

?ไม่ไหวว่ะ ไม่เห็นเหรอพอถึงเช้าผมรีบย้ายไปตั้งหลักใหม่อยู่กับพี่ชายแถวฝั่งธนฯ? พูดจบผมดูดน้ำชาดำเย็นจนหมดแก้วขณะที่เพิ่งทานข้าวมันไก่ได้ครึ่งจาน

?ความจริงพี่โจก็เจอเหมือนกัน คล้ายกับมีเด็กมาวิ่งไล่กระโดดไปมาข้ามตัวแก?เบิ้มสารภาพ

?นั่นไง นึกแล้วเชียว?

?ร.ป.ภ. ที่นี่บอกว่า ห้องนั้นเคยมีคนฆ่าตัวตายยกครัว 5 ศพ พ่อแม่ลูก ถ้ายังเฮี้ยนอยู่ขนาดนี้เห็นทีต้องชวนพี่โจย้ายที่อยู่ใหม่ตอนสิ้นเดือน?สีหน้าเบิ้มจริงจังกับที่พูด

?พรุ่งนี้วันที่ 1 พฤศจิกา ผมจะไปพัทยา เอาไว้วันที่ 15 เงินเดือนออกแล้วเจอกันที่เฮ้ดออฟฟิศ?

ตุลาคม 2543

ผมยังทำงานกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างอาคารเรียนแถวสามย่าน เบิ้มทำงานให้กับบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาของฝรั่ง เฮ้ดออฟฟิศอยู่อาคารเลครัชดา ส่วนพี่โจพ้นวังวนธุรกิจก่อสร้างที่นับวันมีแต่จะทรงกับทรุดไปเอาดีทางขายประกันชีวิต เพิ่งกลับจากเดินทางไปดูงานต่างประเทศที่ฮ่องกง , ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา เรา 3 คนไม่เคยเหยียบย่างกลับไปอยู่แฟลตที่อนุสาวรีย์ฯกันอีกเลย

?หนึ่ง?หนึ่ง?..ห้า?..จู๊น! ส่งไก่ถึงที่..อะ.ชั้นนี้มันทำไมถึงเงียบเชียบพิลึกนักวะ? นายดนัยพนักงานส่งอาหารตามสั่งเดินไปตามระเบียงห้อง หยุดกึกที่ห้องหมายเลข 506 ใช้มะเหงกเคาะประตูตามโค้ดไป 3 ที ยังคงเงียบเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆเคลื่อนไหวอยู่ภายใน

?ชะ..เอ๊ย! พวกคุณแอบย่องมาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ตกใจหมดเลย?

นายดนัยหันหน้ากลับมามองผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังจากหัวจรดเท้า หนึ่งหญิง สองชาย วัยรุ่นอายุยังน้อย ?ว่าแต่คุณเป็นเจ้าของห้องและสั่งไก่ เคเอฟซี ผมด้วยใช่มั้ยครับ?

?ใช่?ถูกต้อง ขอเปิดประตูห้องก่อนนะ?

ว่าพลางชายหนุ่มร่างสูงใช้มือไขลูกบิดเปิดประตูเข้าไป สายตาดนัยสอดส่องตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น ในห้องรกอีนุงตุงนังไปด้วยเครื่องเสียงระดับไฮ-เอ็นด์ ลำโพงเซอร์ราวนด์ขนาดเบ้อเริ่ม 5 ตัว พร้อมขาตั้งสแตนด์อย่างดีและทีวีโปรเจคเตอร์จอมหึมา กลิ่นเหล้าเบียร์ คละคลุ้ง ฝาห้องตั้งขวดเปล่าของบลูอีเกิ้ลเรียงกันเป็นแถบ แสงโคมไฟสลับสี แดง เขียว เหลือง เมื่อสะท้อนกับลูกคริสตัลกลางห้องดูแล้วตาลายพานทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า นี่มันดิสโก้เธ็คจัดงานปาร์ตี้ยาอีขนาดย่อมได้สบาย กำลังสอดส่ายสายตาซอกแซกเพลิน ๆ ดนัยก็ตกใจกับพลังเสียงกระหึ่มของลำโพงชุดมินีเธียเตอร์กับเพลงแร็บร็อควงลิมพ์บิซคิท (LIMP BIZKIT) ?TAKE A LOOK AROUND? ซึ่งประกอบภาพยนตร์มิชชั่นอิมพอสสิเบิ้ล 2 (M:I-2)

?250 บาท ครบพอดี? เจ้าหนุ่มโย่งนับแบงก์จากกระเป๋าส่งมาให้

?โอ.เค.ครับ อย่าลืมเรียก เคเอฟซีดิลีฟเวอรี่ มาให้บริการในครั้งต่อไปอีกนะครับ..อืมม์พวกคุณคงอยู่กันหลายคนเห็นมีเด็กเล็กเด็กน้อยด้วย?สายตาดนัยจ้องไปที่มุมมืดของห้อง

?เด็กที่ไหน มึงอย่าเสือกรุ้มากแส่ไปบอกใครว่ากูมั่วสุมกันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวถูกตบบ้องหูเอานะโว้ย!?

?ผมกลัวแล้วลูกพี่ ไปล่ะครับ? ดนัยทำเสียงล้อเลียน

6 ทุ่มก่อนได้เวลารวมพล กับแกล้มข้าวปลาที่ซื้อมาจากข้างนอกก็แล้วเสร็จพอดี เจ้าโย่งมวนยาเส้นกัญชาเข้าที่ยัดใส่บ้อง สูดควันเข้าเต็มปอด ปากคาบขาน่องไก่ขบเคี้ยวไปมา แล้วพ่นแต่กระดูกที่เหลือลงพื้น เพื่อนชายและหญิงจัดเรียงโซฟาใหม่ให้ชิดผนัง เอาน้ำแข็งจากตู้เย็นมาเคาะเทใส่กระติก ข้างล่างมอเตอร์ไซคล์ 4-5 คัน วิ่งเข้ามาจอดใต้ถุนแฟลต สักพักลิฟท์ก็พาแขกรับเชิญขึ้นจากชั้นล่างมาส่งถึงชั้น 5 พอประตูลิฟท์เปิดเหล่าพลพรรคแฟนปีศาจแดงต่างแย่งกรูกันออกมา ราวกับนักฟุตบอลวิ่งออกจากห้องเก็บตัวมุดอุโมงค์วิ่งขึ้นสู่สนาม

?มาทันเวลาถ่ายทอดสดพอดีพรรคพวกเชิญคร้าบ?..เชิญเข้ามาข้างใน? เจ้าโย่งยืนทักทายเพื่อน ๆ ที่โถงทางเดิน

?กูเอาแมนยูต่อครึ่งควบลูก ไอ้โย่งมึงกล้ารองหรือเปล่าวะ? บักน้อยผู้มาเยือนท้าทาย

?ได้เลย ถ้าไม่อั้นเท่าไหร่เท่ากัน?

พอเข้าไปสุมหัวกันในห้องนับได้รวม 12 คน แรกๆ ก็เชียร์บอลกันสนั่นหน้าทีวีโปรเจ็คเตอร์จอยักษ์ พอพักครึ่งแรกเสียงเพลงเฮฟวี่เมทัลก็ดังกระหึ่มเสียงแต่ละคนแหกปากร้องตามฟังไม่ได้ศัพย์ ราวกับเสียงปีศาจจากนรกกำลังร้องดิ้นกันให้พล่านคาน้ำร้อนในกระทะทองแดง ชายหญิงจับคู่เคล้าคลึงกอดก่ายขึ้นขย่มกันบนโซฟา ควันบุหรี่ตลบอบอวน ที่เมาเหล้าหนักควบคุมตัวเองไม่ได้ก็คลานกลิ้งไปมากับพื้น และแล้วไฟในห้องก็ดับพรึ่บ สิ้นเสียงเพลงปีศาจทุกอย่างอยู่ในภาวะเงียบงัน เจ้าโย่งอาศัยแสงสลัวจากกระจกช่องแสงภายนอกเดินไปหยิบไฟฉายใกล้ชั้นวางแผ่นซีดี มีมือเล็ก ๆ เกาะยึดตามแข้งขาและเป้ากางเกง ทำให้มันเสียอารมณ์

?เฮ้ยอย่าเล่นพิเรนทร์ กูกำลังหาไฟฉายอยู่?

เมื่อคว้าไฟฉายได้กดส่อง สำแสงสว่างกระจายไปกลางห้อง ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าถึงกับทำให้เจ้าโย่งตะลึงจังงังกับศพเด็กชายหญิงอายุไล่เลี่ยกัน 2-3 ขวบ 3 คน นอนน้ำลายฟูมปากตาถลน ข้าง ๆ คงเป็นมารดาในสภาพไม่ต่างกัน รอบคอเขียวช้ำลิ้นจุกปาก ใบหน้าขาวซีด เส้นเลือดโปนเขียว กลอกตาหันมามอง เจ้าโย่งเบี่ยงลำแสงจากไฟฉายไปผนังระเบียงข้างห้องน้ำก็เห็นเงามืดของผู้ชายห้อยต่องแต่งผูกคอตายคาขื่อ

?ผะ?.ผี?ผีหลอกโว้ย!?

เจ้าโย่งกระโจน ตีนเหยียบลำตัวเผ่นข้ามพรรคพวกบางคนที่ยังนอนเมาอ้อแอ้สลบไสล เปิดประตูโกยอ้าวลงบันไดหนีไฟโดยไม่ต้องยืนรอลงลิฟท์ สวนทางตำรวจสายตรวจที่ระดมกำลังปิดล้อมทางขึ้นลงและเตรียมเข้าตรวจค้นห้องที่มีพลเมืองดีแจ้งทางโทรศัพท์ว่า มีกลุ่มวัยรุ่นจัดปาร์ตี้ยาอีมั่วเซ็กส์กันในแฟลตกลางกรุงใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

พอลงมาถึงถนนข้างล่างเจ้าโย่งโบกมือแล้วเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่

?ไปลงที่ไหนครับ? โชเฟอร์แท็กซี่ถามขณะนิ้วมือกดปุ่มมิเตอร์ขึ้นต้นที่ตัวเลข 35 บาท

?เออ?ปะ?ไป?สะพานควาย..แถวแยกสุทธิสารนะ? ?สั..ก..พั..ก?

?คุณ?คุณ..ถึงสุทธิสารแล้วคุณจะลงตรงไหน?

เจ้าโย่งลุกขึ้นนั่งตัวตรง หายจากอาการสะลึมสะลือมองออกไปนอกกระจกรถ

?เฮ้ย นี่มันยังอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ นี่หว่า! มึงขับรถประสาอะไรกันวะ?

ภาพจากกระจกข้างรถสะท้อนใบหน้าโชเฟอร์คนขับรถแท็กซี่ ศีรษะแหว่งหายไปครึ่งซีก ตาอีกข้างโบ๋ ลูกตาทะลักลงมาใต้กระดูกโหนกแก้ม เลือดสดๆไหลออกจากรูจมูกและปาก เจ้าโย่งพยายามเปิดประตูรถแต่เปิดไม่ออก มันจึงแหกปากร้องตะโกนสุดเสียง

?ช่วย?.ช่วยด้วย!!!?

สักพักเหมือนกับมีผ้าชุบน้ำเย็น ๆ มาเช็ดรอบคอและหน้าผากทำให้โย่งรู้สึกตัวตื่นขึ้น

?นี่?นี่..กูฝันไปหรือเปล่าวะ แล้วเพื่อน ๆ เราหายไปไหนกันหมด?

?ไอ้โย่งเอ็งเมากัญชาจนเพี้ยนหนักไปแล้ว บอกว่าอย่าริไปลองก็ไม่เชื่อ พรรคพวกเราน่าจะอยู่ในเธ็คสวอนอินน์แถวพญาไท ยังมาไม่ถึงว่ะ?

?ไอ้เบื๊อกกูอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ กูกลัว พวกเราเผ่นกันเถอะ ที่นี่มันแฟลตผีสิงชัด ๆ?
Share:

ผีเฝ้าศาลาหน้าวัดตูม อยุธยา

วัดตูม ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพระ-นครศรีอยุธยา ริมถนนสายประตูชัย- แยกป่าโมก ทางทิศเหนือของเกาะเมือง ริมคลองวัดตูม ถนนอยุธยา-อ่างทอง ห่างจากตัวเมืองอยุธยา ประมาณ 6-7 กิโลเมตร เลยทุ่งลุมพลีไปหน่อยเดียว ในท้องที่ตำบลวัดตูม มีเนื้อที่วิสุงคามสีมาประมาณ 15 ไร่เศษ เป็นวัดหนึ่งในหลายวัดของอยุธยา ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยใด ได้แต่สันนิษ-ฐานกันว่า น่าจะเป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่สมัยเมืองอโยธยา ก่อนที่จะตั้งกรุงศรี-อยุธยา วัดนี้เคยร้างมาครั้งหนึ่งนานนับสิบๆ ปี ช่วงสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2310

พระบาทสมเด็จพระพุทธ- ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้ ผู้รั้งเมืองร่วมกับประชาชนปฏิสังขรณ์ วัดตูมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และโปรดให้มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษามาจนถึงปัจจุบัน

วัดตูม มีความสำคัญในประวัติ- ศาสตร์ไทย คือเป็นวัดที่มีอายุมานาน ไม่น้อยกว่า 1,000 ปี และเป็นสถานที่สำหรับลงเครื่องพิชัยสงคราม มีพระ-พุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ชื่อ หลวงพ่อสุข ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะพิเศษคือ พระเศียร ตอนเหนือพระนลาฏ(หน้าผาก) เปิดออกได้ และพระเกศมาลาถอดออกได้ ภายในพระเศียรเป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึง พระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลาเหมือนหยาดเหงื่อ แต่เป็นน้ำใส เย็นชุ่ม บริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน และสามารถดื่มกินได้โดยปราศจากอันตราย ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาโรคทุกอย่างได้

วัดตูม เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทางการทหาร ด้วยในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จ-พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้าง ธงพระกระบี่ธุชซึ่งเป็นธงประจำตำแหน่ง จอมทัพ โดยโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระ-บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศ-รานุวัดติวงศ์ จัดทำขึ้น โดยมีพระครูธรรมเสมาจารย์ (พระวิสุทธาจารย์เถร-เลื่อง) รองเจ้าคณะเมืองกรุงเก่าแห่งวัดประดู่ทรงธรรม พระนครศรีอยุธยา ได้ทำพิธีลงยันต์และอักขระที่วัดตูมนี้

ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาท-สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาถวายผ้าพระกฐินที่วัดนี้อยู่ หลายครั้ง จึงถือเป็นวัดหลวงมาแต่สมัยรัชกาลนี้ ภายในวัดนั้นจะมีสระน้ำสำคัญอยู่ข้างพระอุโบสถ ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดฯให้นำน้ำในสระนี้ไปใช้ในพิธีลงเครื่องพิชัย-สงคราม ชุบพระแสง

มีบันทึกไว้ในหนังสือพระราช- หัตถเลขา เรื่อง เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า เมื่อปี พ.ศ. 2451 ในรัชกาล ที่ 5 ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 127 มีเรื่องราวเกี่ยวกับวัดตูมปรากฏว่า

“...วัดตูมนี้ ลานวัดมีต้นไม้ร่มชิด เป็นวัดอย่างสมถะแท้ พระอุโบสถใหญ่ แต่มีหน้าต่างข้างละช่อง จั่นหับหน้าหลัง หน้าบันเทพนมก้านขดโตๆ ปั้นลมเป็นรูปตุ๊กตา... แต่พระเจดีย์เป็น 2 องค์ องค์หนึ่งตรงหลังโบสถ์ องค์หนึ่งไม่ตรงพระพุทธรูปในนั้นมีแถวหน้า 3 แถว แถวหน้ามีพระทรงเครื่องที่มีน้ำในพระ-เศียรองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งว่าเชิญลงไปวัดเบญจมบพิตร แท่นว่างจะให้หาพระขึ้นมาตั้งเปลี่ยน พระ 3 องค์แถวใน ปิดทองแต่เฉพาะที่พระองค์ ผ้าทาชาด...”

สภาพของวัดตูมยุค 50 ปีล่วงมาแล้วครั้ง หลวงปู่ถนอม เป็นเจ้าอาวาส สภาพพื้นที่วัดยังมีความรกร้างอยู่มาก และด้วยเหตุที่เป็นวัดเก่าโบราณอายุ นับพันปีมาก่อน จึงมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่จนรกทึบ แลดูน่ากลัว แม้ในเวลากลางวันก็ยังหาสิ่งที่มีชีวิตผ่านไปได้ยาก ยิ่งตกเวลาเย็นค่ำด้วยแล้ว จะหาผู้คน เดินผ่านวัดไปมาสักคนยังยาก แม้กระทั่งพระในวัดที่มีจำพรรษาอยู่ไม่เกิน 5 องค์ ค่ำลงก็เข้ากุฏิ ไม่ยอมโผล่ออกมาจนกว่า จะเช้าออกมาบิณฑบาต

ด้วยความรกทึบของต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณวัดที่มีทั้งต้นรัง ต้นโพ ต้นไทร ต้นกร่างต้นไม้เต็ง ไม้รัง ฯลฯ นานาชนิด จึงเกิดคำร่ำลือกันว่า วัดตูมนี้ผีดุ ขนาดที่กลางวันยังกล้าออกมาหลอกผู้คน

สภาพของวัดตูมก็เหมือนกับสภาพของวัดเก่าแก่ วัดร้างในอยุธยาทั่วๆ ไป คือ มีเสนาสนะที่ทรุดโทรม มีป่าช้าอยู่ด้านหลังของวัด มีเชิงตะกอนอยู่ติดกับ ป่าช้า คั่นด้วยศาลาธรรมศพ หน้าวัดเป็นคลองกว้างเรียกว่าคลองวัดตูม เป็นคลองเชื่อมกับคลองกบเจาที่ไหลจากแม่น้ำเจ้า- พระยาผ่านเข้ามาสู่คลองวัดตูมที่ประตูชัย ไหลไปออกแม่น้ำลพบุรีที่ทุ่งทะเลหญ้า

ที่คลองนี้ ช่วงหน้าวัดตูมจะมีศาลาท่าน้ำเก่าหลังคามุงกระเบื้องดินเผาอยู่หลังหนึ่ง และมีเรือบิณฑบาตของหลวงปู่ เจ้าอาวาสจอดประจำอยู่ลำหนึ่ง ทุกเช้า หลวงปู่ถนอมกับเด็กวัดคนหนึ่งก็จะมา ลงเรือพายไปโปรดสัตว์ตามบ้านชาวบ้าน ที่อยู่ริมคลองสองฝั่งเป็นประจำ

ที่ศาลาท่าน้ำนี่แหละ มีเสียงร่ำลือกันว่ามีผีดุ ปรากฏให้เห็นว่านั่งห่มผ้าขาว คลุมโปง โผล่หน้าดำๆ อยู่ตรงที่ริมศาลา ข้างบันไดท่าน้ำเป็นประจำ ชาวบ้านย่านท่าวัดตูมที่พายเรือผ่านท่าน้ำตอนเย็นๆ โพล้เพล้เคยเห็นมาเกือบทุกคน

สาเหตุที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา หลวงลุงของผม ท่านขึ้นจากวัดตึกไปเยี่ยมหลวงปู่ถนอมที่เป็นอาจารย์ของท่านในคราวหนึ่ง หลวงปู่ถนอมเล่าให้หลวงลุงของผมฟังว่า

ตอนที่ท่านเข้ามาครองวัดได้สัก 5 พรรษา วันหนึ่งมีคนเสียสติพเนจรเดินมา จากไหนไม่ปรากฏ เข้ามาอาศัยนอนที่หน้าโบสถ์ หลวงปู่เห็นก็เวทนา ให้ข้าวก้นบาตรมันกินอาศัยประคองชีวิตไปวันๆ คนบ้าคนนั้นสติเสื่อม ขนาดที่เสื้อผ้าไม่ยอมใส่ เดินแก้ผ้าอยู่ในวัด หลวงปู่สงสารเลยเอาจีวรเก่าๆ ผืนหนึ่งให้มันห่มกันอุจาดตา ตั้งแต่ได้จีวรหลวงปู่ เจ้าคนบ้านั่นก็เลยผูกพันกับจีวรเก่า ห่มไปห่มมาตลอด เลยหายอุจาดตาไปได้

หลวงปู่เรียกคนบ้านั่นว่า “ไอ้คง” ท่านบอกว่ามันจำได้เพียงชื่อ และจำบ้าน ที่มันอยู่เดิมตอนเกิดได้ว่าอยู่ที่บ้านแพน การที่ไอ้คงเดินทางเร่ร่อนจากบ้านแพนมาถึงวัดตูมนี่ ถ้านับระยะทางก็หลายกิโลเมตรอยู่ แต่มันก็มาถึงจนได้และอยู่ที่นี่จนเกิดเหตุประหลาดอย่างหนึ่ง คือ วันดีคืนดี ไอ้คงก็ห่มจีวรขาดขึ้นไปกราบหลวงปู่ถึงกุฏิ พูดจารู้เรื่องเหมือนคนสติดีทั่วไป มันเล่าให้หลวงปู่ฟังว่า

มันกินน้ำมนต์ในเศียรพระพุทธ-รูปที่ในโบสถ์ จึงหายจากอาการบ้า

หลวงปู่เห็นว่าเป็นเรื่องที่แปลก ก็ให้ไอ้คงพาไปที่พระพุทธรูปที่เรียงรายอยู่ในโบสถ์เกือบ 10 องค์ ไอ้คงพาไปที่พระ- พุทธรูปองค์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุด แล้วก็หมุนพระเกศมาลาและพระเศียรตอนเหนือพระนลาฏออก หลวงปู่ชะโงกดูก็เห็นน้ำใสบริสุทธิ์ในพระเศียรจริงๆ ท่านถามไอ้คงว่า รู้ได้ยังไง มันก็บอกว่า มีเทวดามาบอก และว่ามันหมดกรรม จะต้องจากโลกนี้ไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็เลยอาราธนายกพระ- พุทธรูปขึ้นไปตั้งไว้บนกุฏิ คนทั่วไปได้ข่าว ก็แห่กันมาดู และขนานนามพระพุทธรูปองค์นั้นว่า “หลวงปู่สุข” (ซึ่งยังมีปรากฏอยู่จนปัจจุบันนี้)

ข้างไอ้คงนั้น หลังจากมันหายจากสติฟั่นเฟือนได้แค่ 7 วัน อยู่มาวันหนึ่ง เด็กวัดก็พบมันนอนสิ้นใจอยู่ที่ศาลาท่าน้ำโดยไม่มีสาเหตุใดๆ เรียกว่านอนหลับตายไปเฉยๆ หลวงปู่ท่านก็เวทนามัน เอาศพไอ้คงมาเผา แล้วสวดอุทิศส่วนกุศลให้มันไปสู่สุคติ

ไอ้คงตายไปได้ 7 วัน ก็เกิดมี ผีไอ้คงที่หน้าศาลาท่าน้ำหน้าวัดอาละ-วาด

วันหนึ่ง ทิดมากับทิดมี สองคน พี่น้องคนบ้านกบเจา เอาไก่ชนที่มีอยู่ ลงเรือ พายไปบ้านเพื่อนที่ลุมพลี เพื่อจะเอาไก่ไปซ้อม กะไว้ว่าจะเอาลงสังเวียน ที่ลุมพลี ตอนวันพระหน้า ขากลับสองคนก็พายเรืออีป๊าบผ่านหน้าวัดตูม ช่วงนั้นเป็นเวลาเย็นโพล้เพล้ แดดผีตากผ้าอ้อมเหลืองคล้ำ ทำให้มัวหน้ามัวตา สองคน พี่น้อง พี่พายท้าย น้องพายหัวผ่านบ้านผู้คนที่บางตา มาจนเข้าเขตวัด

และกระทั่งผ่านเข้ามาที่ศาลา ท่าน้ำหน้าวัดตูม สองคนพี่น้องพาเรือกันมาเงียบๆ และทุกอย่างก็เงียบจริงๆ ได้ยินแต่เสียงจ๋อมๆ ของพายจุ่มน้ำ นานๆ จะมีเสียงปลาผุดบ้าง เสียงนกกลางคืน บินผ่านมาส่งเสียงร้องบ้าง ลมเย็นจากท้องทุ่งไกลๆ พัดมากระทบผิวน้ำ พาลเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง และ..ทันใดนั้น ทั้งสองพี่น้องก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว เพราะ....

ที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัดมีร่างๆ หนึ่ง ห่มผ้าขาวคลุมทั้งตัว เหมือนผีถูกมัดตราสัง นั่งตะคุ่มๆ อยู่บนยกพื้นศาลา หันข้างมาทางสองพี่น้องที่กำลังพายเรือผ่าน

ทิดมาคนน้องหันหน้ามามองทิดมีพี่ชายที่พายท้าย ก็เห็นพี่ชายกำลังตาเขม็ง มองดูร่างที่คลุมผ้าขาวนั้น ไม่มีสรรพเสียงใดๆ ออกมาจากปากของชายทั้งสองคน แต่มือต่างก็กำพายจนแน่น

เรืออีป๊าบของสองพี่น้องถูกคัดท้าย ให้พายเลาะไปทางฝั่งตรงข้ามของศาลา แต่ระยะความกว้างมันก็ไม่ห่างจากศาลา สักเท่าไหร่ พอเรือเลยบันไดท่าน้ำของศาลามาได้ไม่เกินวา ร่างที่ห่มผ้าขาวคลุม ทั้งร่างก็หันมาสบตา ไอ้สองคนพี่น้อง ตกตะลึง ตัวชาไปทั้งคู่ เพราะหน้า..ที่หันมานั้นมันดำสนิท เห็นแต่ลูกนัยน์ตาสีขาว กลวงโบ๋

ทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกันว่า

“ผี...หลอกโว้ย”

เท่านั้นล่ะ เสียงจ้วงพายลงน้ำดังพรึบ ไม่ต่างอะไรกับการจ้วงพายแรกของเรือยาวที่แข่งกันกลางน้ำ เรืออีป๊าบลำนั้นแล่นฉิวไปยิ่งกว่ามีแรงฝีพายสักสิบพาย ถึงบ้านกบเจาเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว พอถึงก็เอาหัวเรือเกยตลิ่ง วิ่งขึ้นไปนั่งหอบแห่กซี่โครงบานอยู่บนบ้าน ไม่ยอมพูดยอมจากับใคร พูดแต่ว่า “ผี...ผี...ผี”

หลวงลุงเล่าให้ผมฟังว่า ผีที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัดตูม เป็นวิญญาณสัมภเวสีของไอ้คง มันมานั่งรอเพื่อขอส่วนบุญ ถ้ามีคนอุทิศให้ มันก็จะได้ไปผุดไปเกิด เสียที แต่ก็ยังไม่มีใครอุทิศให้ เพราะเห็นมันทีไร ก็โกยอ้าวอย่างไม่รั้งรอไปด้วยกันทั้งนั้น จนหลวงปู่ท่านมาพบกับมันเองตอนเช้ามืดวันหนึ่ง มันมานั่งรอขอส่วน-บุญตอนที่ท่านจะไปบิณฑบาต ท่านก็เลยกรวดน้ำให้ วิญญาณไอ้คงเลยได้ไปเกิด ไม่มาวนเวียนต่อไปแล้ว

“ที่ข้าขึ้นไปวัดตูมคราวนั้น ก็จะไปพิสูจน์น้ำในเศียรหลวงปู่สุขนั่นแหละ อ๋อ...ของจริงซีวะ ถ้าเอ็งไม่เชื่อจะไปดูด้วยกันก็ได้” หลวงลุงว่า

ผมเองนั้นขอบอกตามตรงเลยว่า “เชื่อครับ” เพราะได้ไปดูและเห็นกับตามาแล้ว
Share:

วิญญาณสร้อยมาลาจมน้ำเมื่อ745ปีเข้าสิง

ชาวบ้าน ต.ปอภาร อ.เมืองร้อยเอ็ด ทำพิธีมอบชุดไทยและเสื้อหม้อฮ่อม ให้วิญญาณนางสร้อยมาลา กลางป่าดอนสิม หลังเข้าสิงชาวบ้าน ขอเสื้อผ้า และต้องการขึ้นจากที่จมน้ำ พร้อมให้ช่วยขุดเรือขายเพชรพลอย ที่จมเมื่อ 745 ปีก่อน ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ ( 7 มิ.ย.) นายสมุทร์ สงไพรสน อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 หมู่ 13 ต.ปอภาร อ.เมืองร้อยเอ็ด ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพเชื่อถือเป็น 'พ่อเฒ่าขะจ้ำ' หรือพิธีกรในพิธีไสยศาสตร์ ของหมู่บ้าน นำชาวบ้านทุกวัยจำนวนมาก ทำพิธีมอบชุดไทยสีเหลือง สำหรับผู้หญิง จำนวน 1 ชุด และ เสื้อหม้อฮ่อม จำนวน 19 ตัว ให้วิญญาณนางสร้อยมาลา ในบริเวณกลางป่า 'ดอนหนองสิม' ข้างสำนักงานการประปาบ้านปอภารด้านทิศตะวันออก และมีชาวบ้านจำนวนมากจากหลายหมู่บ้านมาร่วมพิธีด้วย เสร็จจากการทำพิธีแล้ว

นายสมุทร์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เป็นเวลากว่า 15 ปี มาแล้ว ชาวบ้านที่เข้าไปหาอาหารป่า ในบริเวณป่า'ดอนหนองสิม' ชาวบ้านพากันขุดพบวัตถุโบราณจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ในบ้านซึ่งมีทั้งแบบเครื่องเคลือบดินเผา และวัตถุที่ทำจากทองสำริด แต่ชาวบ้านไม่ทราบคุณค่า มีผู้มาขอซื้อก็พากันขายไปหมด และเมื่อ 30 ปี ที่ผ่านมาตนพร้อมกับเพื่อนบ้านหลายคน พากันขุดในบริเวณป่าดอนหนองสิม พบซากเรือโบราณที่ทำด้วยไม้ แต่ไม่กล้าเอาขึ้นมา จึงฝังกลบไว้ตามเดิม

ต่อมาเมื่อตอนบ่ายวันที่ 6 มิ.ย. มีชาวบ้านหลายคนที่พากันไปเทคอนกรีต บริเวณที่สร้างศาลเจ้าปู่อยู่ใกล้ตลิ่งหนองสิม ซึ่งอยู่ห่างจากป่า 'ดอนหนองสิม' ไปทางด้านทิศตะวันออก 180 เมตร ในขณะที่ชาวบ้านพากันนั่งพักผ่อน นางพิศมัย คำสุวรรณ อายุ 45 ปี ชาวบ้านหมู่ 7 ต.ปอภาร เกิดอาการผิดปกติ พูดสำเนียงเป็นหญิงทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งอาการลักษณะนี้ ชาวบ้านเรียกว่า อาการของผีเข้า ซึ่งนางพิศมัย คำสุวรรณ พูดว่า เมื่อประมาณ 745 ปี ที่ผ่านมา นางสร้อยมาลา ซึ่งเป็นชาวภาคเหนือ ได้นำเอาเพชร พลอย เดินทางจะไปขายที่เมืองสาเกตนคร ปัจจุบันคือ เมืองร้อยเอ็ด แต่ช่วงผ่านบ้านปอภารในสมัยก่อนนั้น ยังมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบ นางสร้อยมาลาพร้อมพวกจึงพากันนั่งเรือพาย เพื่อจะข้ามแหล่งน้ำ แต่เรือล่ม ทำให้นางสร้อยมาลาพร้อมพวกจมน้ำตายหมด มาถึงวันนี้ นางสร้อยมาลา อยากได้เสื้อผ้าให้ตนเอง จำนวน 1 ชุด และเสื้อหม้อฮ่อม สำหรับพวก จำนวน 19 ตัว และต้องการขึ้นจากที่จมน้ำ เพื่อจะกลับไปบ้านซึ่งอยู่เมืองเหนือ แต่ขอให้ชาวบ้านช่วยกันขุดบริเวณซึ่งเป็นที่เรือล่ม ในวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ที่กำลังจะถึง จะทำให้นางสร้อยมาลาพร้อมพวกกลับไปบ้านได้
หลังจากนางพิสมัย พูดจบ จึงได้สติ นายสมุทร์ กล่าวต่อว่า ต่อมาเวลา 21.00 น. วันเดียวกัน นางประลอม บุตรแสน อายุ 36 ปี ชาวบ้าน หมู่ 13 ต.ปอภาร ขณะอยู่ในบ้านของตนเอง เกิดอาการผิดปกติแล้ว พูดในลักษณะเดียวกันกับที่นางพิสมัยพูดเมื่อตอนบ่าย ชาวบ้านจึงพากันบริจาคเงินนำไปซื้อชุดไทยสีเหลืองจำนวน 1 ชุด พร้อมด้วยเสื้อหม้อฮ่อม จำนวน 19 ตัว ทำพิธีบริจาคให้วิญญาณนางสร้อยมาลาพร้อมพวก ที่บริเวณกลางป่าดอนหนองสิม ตรงบริเวณที่นายสมุทร์ พร้อมเพื่อนบ้านเคยขุดพบซากเรือโบราณ เมื่อ 30 ปี ที่ผ่านมา สำหรับวันที่วิญญาณนางสร้อยมาลาบอกให้ขุด คือ วันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ที่กำลังจะถึงนี้ ได้ตรวจสอบตามตำราปฏิทินร้อยปีแล้ว ตรงกับวันที่ 1 เดือน ก.ค. ซึ่งนายสมุทร์ สงไพรสน พร้อมชาวบ้านที่มีความเชื่อ จะนำเรื่องไปหารือกับคณะกรรมการหมู่บ้านเพิ่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
Share:

ประวัติของนายแพทย์อิชิอิ ชิโร แผนการโหด

ประวัติของนายแพทย์อิชิอิ ชิโร ผู้เขียนได้อ่านแล้วเกิดความรู้สึกอย่างกระทืบหมอนี้ให้จมดินจริงๆ ..................

อิชิอิ ชิโร เกิดวันที่ 15 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1892 ในหมู่บ้าน ชิโยดะ มูระ จังหวัดชิบะ เป็นลูกคนที่สี่ในครอบครัวที่มั่งคั่ง เป็นเศรษฐีที่นาที่ใหญ่ที่สุดในเมือง

ใน ด้านการศึกษาของหมออิชิอินั้น เรียกว่าถึงขั้นอัจฉริยะ เขามีพรสรรค์พิเศษในเรื่องความจำตั้งแต่เด็ก เขาสามารถท่องบทกวีที่ยาวๆและซับซ้อนได้อย่างเหลือเชื่อ

อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆ เขาเขานั้นมักพูดถึงหมออิชิอิว่า เป็นคนอวดดี ก้าวร้าว และยโสโอหัง ชอบเบ่งว่าเป็นลูกคนรวย

เมื่ออิชิอิจบมัธยมในเดือนเมษายน ปี 1916 เขา ก็ไปสอบนายแพทย์ต่อในมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งอาจารย์ทั้งหลายชื่นชมเขามาก ว่าเป็นคนขยันและฉลาดปราดเปรื่อง ถึงขั้นให้หมออิชิอิทำงานวิจัยระดับสูง ในขณะที่เพื่อร่วมรุ่นยังศึกษาวิชาพื้นฐานทางการแพทย์อยู่เลย

ด้วย เหตุนี้ เขาจึงยิ่งยโสโอหังเกินกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความยโสโอหังนี้เป็นของจริง เพราะผลงานทางวิชาการของเขาใครๆ ต่างชื่นชม จนสามารถจบโรงเรียนแพทย์ได้ในเดือนธันวาคม 1920 เมื่ออายุ 28 ปี

หมอ อิชิอิเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขามีโครงสร้างคล้ายฝรั่ง เป็นคนสูงใหญ่ ใส่แว่นบางครั้ง พูดภาษาอังกฤษเก่ง เขามักพูดเสียงดังสนั่นไม่สนใจหรือกลัวใคร มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ เพื่อนร่วมงานหลายคนเชื่อว่าหมออิชิอิแข็งแรงผิดมนุษย์

ใน ช่วงเวลาที่หมออิชิอิจบโรงเรียนแพทย์นั้นญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่สงครามโลก ซึ่งตระกูลชิโรเป็นตระกูลใหญ่ที่รักชาติและองค์สมเด็จพระจักรพรรดิยิ่งชีวิต ไม่น่าแปลกอะไรที่อิชิอิ ชิโรจะแสดงบทบาทรักชาติสมัครเข้าเป็นแพทย์ทหารทันที

เขาใช้เวลาไมกี่เดือนก็ได้รับยศ "อิชิอิ ชิโร" และถูกส่งเข้าไปรับการฝึกฝนเป็นแพทย์ทหารเพื่อเตรียมเข้าสู่สนามรบ โดยสังกัดอยู่ในกองพลรักษาองค์พระจักรพรรดิที่ 3

เมื่อ เขาเข้าร่วมเป็นแพทย์ทหารประจำกองทัพญี่ปุ่นเขารู้สึกสนใจอาวุธชีวภาพมาก เนื่องจากมันเหมาะกับญี่ปุ่นที่เป็นประเทศเล็กที่ไม่เหมาะในการสู้รบแบบปะทะ กัน อีกทั้งอาวุธเชื้อโรคและเคมีนั้นเป็นอาวุธที่มีพิษสงรุนแรง ราคาถูก

วันที่ 9 เมษายน 1921 อิ ชิอิ ชิโร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดได้รับยศเป็นร้อยเอกของกองทัพโดยสมบูรณ์ และเพื่อสานฝันงานด้านวิจัยมนุษย์เขาขอย้ายตัวเองไปศึกษาที่โรงพยาบาลทหารใน กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 1922

ชีวิตในโตเกียวนั้น หมออิชิอิ ได้รับฉายานามจากเพื่อนๆ ว่า "เสือผู้หญิง" "พ่อบุญทุ่ม" "นกเค้าแมว" และ "คอทองแดง"

หมออิชิอิ เป็นพวกโลลิคอน ชื่นชอบเด็ก เขายินดีจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อบริการเกซิซามือใหม่วัยไม่ถึง 19 ปี อีกทั้งเป็นคนชอบเที่ยวยันสว่างทุกคืน แต่สามารถทำงานโดยไม่หยุดพัก แต่ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง

แต่ ด้วยความสามารถ ความฉลาด และเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับสูง ทำให้ไม่มีใครกล้าตักเตือนอะไรกับเขามากนัก ตรงกันข้าม หัวหน้ายังส่งหมออิชิอิไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในโตเกียวอีกครั้งในปี 1924

ที่ เกียวโต หมอชิโรศึกษาและทำงานด้านวิจัยทางด้านจุลชีววิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา พยาธิวิทยา และเวชศาสตร์ป้องกันโรค และที่นั้นเขาก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของนายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ค้นพบไวรัสระบาดสายพันธุ์ใหม่ ที่ต่อมาใช้ชื่อว่า "โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดบี" ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทั้งสายการเมือง ทหาร และวิชาการแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก

หมอ ชิโรจึงกลายเป็นคนดังด้วยเหตุนี้ แต่ในขณะที่เพื่อร่วมงานมักพูดถึงเขาว่า เขาเป็นคนฉลาดมาก ทำงานหนัก แต่ไม่มีวิญญาณของนักวิชาการอยู่ในจิตใจ แต่เขามีความทะเยอทะยาน อยากจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่นึกถึงความถูกต้องดีงาม บ่อยครั้งเลยที่เขามักแสดงความยโสต่อผู้ที่อาวุโสต่อเขา"

ยกตัวอย่างเลย มีครั้งหนึ่งสมัยที่เขาเรียนเกียวโตอุปกรณ์เครื่องมือในห้องปฏิบัติการมีจำนวนจำกัดมาก นักศึกษาทั้งหมดมีตั้ง 30-40 คน ต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกัน และด้างล้างเครื่องมือให้สะอาดหลังเสร็จงานทดลอง ซึ่งเป็นงานที่เบื่อหน่ายมาก กินแรงและเวลาอย่างยิ่ง เพราะถ้าเครื่องมือไม่สะอาดจะทำให้ผลการทดลองผิดเพี้ยนได้

แต่ หมออิชิอินั้นเล่า เขามักย่องเข้าไปห้องปฏิบัติการหลังจากเสร็จงานล้างเครื่องมือแล้ว เขาทำการทดลองด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ที่นักศึกษาล้างไว้ เมื่อเสร็จงานเขาก็กองอุปกรณ์ไว้ที่อ่างล้างมือ ไม่ล้างซักแอะ

มันเป็นคนเห็นแก่ตัวชัดๆ

อีก ตัวอย่างหนึ่ง หมอชิโรเป็นนักเที่ยวราตรีตัวฉลาก ไม่ว่างานหนักเพียงใด เขามักหนีไปเที่ยวกลางคืนเสมอ ทั้งๆ ที่ในครอบครัวมีลูกตั้ง 7 คน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดปัญหาเรื่องการแพทย์เร่งด่วน เขาได้รับคำสั่งประชุมเพื่อแก้ปัญหานั้นทันที ตอนตีสาม แต่เขายังท่องราตรีอย่างหนำใจ ไม่สนว่าเพื่อนร่วมงานตอนตี 3 จะรู้สึกอย่างไร

อ้อ........คนเรา

ในปีค.ศ. 1927 นาย แพทย์อิชิอี ชิโร ได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก กลายเป็นพันตรีนายแพทย์ด็อกเตอร์อิชิอิ ชิโร พร้อมนิสัยเห็นแก่ตัวและหยิ่งยโสที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย

ในช่วงนี้ ดร.อิชิอิ ได้คบค้าสมาคมกับเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดนิยมหัวรุนแรง คลั่งความเป็นญี่ปุ่น ต่อต้านระบบทุนนิยม ต่อต้านแนวคิดเสรี คลั่งนาซี ฯลฯ

เขาติดนิสัยจากพวกนี้เต็มๆ เลย.....

และแล้ววันที่เขารอมาถึง...........วันที่เขาจะฆ่าคนอย่างถูกกฎหมาย


จุดเริ่มต้นของหน่วยปฏิบัติการ 731

ปีค.ศ.1925 ที่ ประชุมระดับโลกได้มีมติห้ามผลิตและใช้อาวุธชีวภาพโดยเด็ดขาด แต่หมอชิโรกลับมองเห็นว่านี้คือช่องทางเดียวที่จะทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศมหา อำนาจได้

เขาเริ่มขายความคิดในเรื่องการผลิตอาวุธชีวภาพกับผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพ โดยเขามักพูดว่า "อาวุธชีวภาพน่ะต้องได้ผลแน่นอน ไม่งั้นพวกประเทศใหญ่ๆ เขาคงไม่ต่อต้านขนาดนี้หรอก"

หมออิชิอิเริ่มทำการหว่านล้อมนายแพทย์โค่ยสุมิ ชิกาฮิโกะ ซึ่งเป็นบิดาแห่งวงการสงครามชีวภาพและสงครามเคมีของญี่ปุ่น

และหมออิชิอิก็เบาหูแกได้สนิท เพราะนายแพทย์โค่ยสุมิแกก็ชาตินิยมเหมือนกัน

หลังจากนั้น นายแพทย์โค่ยสุมิก็มอบอาคารสูงให้หมออิชิอิ โดยไม่รู้ว่าอาคารนี้ใช่ทำอะไรอยู่ภายใน

ความลับนี้เริ่มเปิดเผยออกเมื่อผ่านมานานกว่า 60 ปี เมื่อทางวิทยาลัยได้ทำการรื้ออาคารแห่งนี้ คนงานขุดพบหลุมศพขนาดใหญ่ ซ่อนศพไว้ไม่ต่ำกว่า 100 ศพ เมื่อดูจากโครงสร้างทางสรีระที่หลงเหลืออยู่บ่บอกว่าเขาไม่ใช้คนญี่ปุ่น สภาพศพถูกทารุณกรรมจากการผ่าตัดส่วนต่างๆ ในร่างกาย

เชื่อ กันว่าน่าจะมีจุดฝังศพอื่นๆ อีก แต่รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีคำสั้งออกมาว่าห้ามขุดคุ้ยประเด็นนี้ และให้นำศพเหล่านั้นไปทำการฌาปนกิจเพื่อทำลายหลักฐานและทำลายภาพลักษณ์อัน น่าสพรึงกลัวในอดีต

ย้อน กลับไปในช่วงเวลาของหมออิชิอิ เขาได้ชักชวนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผลสำเร็จโดยงานวิจัยที่ใครๆ ไม่ทราบรายละเอียด แต่เขาเรียกร้องที่จะทำการทดลองขนาดใหญ่และต้องการวัตถุดิบจำนวนมากๆ

แผนการโหดของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเขาเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลับที่ประเทศจีน................
Share:

อาถรรพณ์ศาลแดง

ผมมีโอกาสได้ประสบกับเรื่องราวอาถรรพณ์เป็นเรื่องที่ผมจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว สมัยนั้นถนนสุขุมวิทสายเก่า เป็นถนนราดยางมะตอยที่รถต้องวิ่งสวนทางกันจึงมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่เลยตลาดตำหรุมาถนนช่วงนี้จะมืดและเปลี่ยวไปจนถึงคลองด่าน จุดที่เกิดเหตุบ่อยๆ มีการทำพิธีตั้งศาลขึ้นโดยตัวศาลมีสีแดง ชาวบ้านแถวนั้นจึงเรียกกันติดปากว่าศาลแดง ผู้คนที่สัญจรไปมาจะยกมือไหว้หรือบีบแตรเพื่อแสดงความเคารพ ส่วนตัวผมเองจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนแถวนั้น ผมเป็นคนลาดกระบังโดยกำเนิด ในช่วงนั้นผมศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยย่านลาดกระบัง แต่เหตุที่ผมต้องมาเจออาถรรพณ์ครั้งนี้เพราะบังเอิญผมมีแฟนเป็นคนบางปูจึงต้องใช้เส้นทางสายนี้เป็นประจำ แต่ส่วนมากจะใช้ในเวลากลางวัน เวลาที่ขับรถผ่านศาลแดง แฟนผมมักจะเล่าเรื่องราวอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตให้ผมฟังและพยายามบอกให้ผมบีบแตรเพื่อแสดงความเคารพต่อศาลแดง แต่โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องราวด้านนี้เท่าใดนัก คำที่มักจะหลุดจากปากผมออกไปคือ “งมงายไร้สาระ” นี้คงเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สยองที่เกิดกับผม
ผมยังคงใช้เส้นทางนี้เพื่อไปรับและส่งแฟนเป็นประจำ จนวันหนึ่งผมกับแฟนไปงานอุปสมบทของเพื่อน กว่างานจะเลิกก็เป็นเวลาเกือบ 4 ทุ่ม ผมขับรถมาส่งแฟนตามปกติ หลังออกจากบ้านงานได้สักพักฝนก็เริ่มลงเม็ดและเมื่อขับมาได้ครึ่งทางก็ตกหนักเอามากๆ จนมองเส้นทางแทบไม่เห็น ผมขับมาเรื่อยๆ จนเลยตลาดตำหรุถนนมืดสนิทเพราะไม่มีไฟทาง นานๆ จะมีรถสวนมาซักคัน พอขับมาได้ซักระยะก็มีรถขับแซงผมไปด้วยความเร็ว ผมเอ่ยปากบอกแฟนว่า “สงสัยจะรีบไปตาย” ยังไม่ทันขาดคำรถคันดังกล่าวเหมือนจะหักหลบอะไรซักอย่างแล้วแฉลบลงข้างทางไปชนกับต้นไม้ เสียงดังสนั่น ผมพยายามจอดรถเพื่อลงไปช่วยผู้ประสบเหตุแต่แฟนผมบอกว่ากลัวและไม่ให้ผมจอดผมจึงจำใจต้องขับรถต่อไป แต่ในใจคิดว่าขากลับจะแวะดูเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง จึงรีบขับรถเพื่อไปส่งแฟน หลังจากออกจากบ้านแฟน ผมรีบขับรถเพื่อให้ถึงที่เกิดเหตุเร็วๆ เมื่อมาถึงเห็นคน 3-4 คนยืนล้อมรถอยู่ ผมจอดรถบริเวณไหล่ทางและเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าจุดที่จอดรถนั้นอยู่หน้าศาลแดงพอดี แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะต้องการลงไปช่วยคนมากกว่า ผมวิ่งข้ามถนนฝ่าสายฝนไปยังรถที่เกิดอุบัติเหตุ จากการสังเกตสภาพรถระหว่างที่กำลังวิ่งอยู่นั้น ด้านหน้ารถพังยับเยิน กระจกและไฟหน้ารถแตกละเอียดในใจคิดว่าคนขับจะรอดหรือเปล่า เมื่อไปถึงรถผมเห็นคนขับฟุบหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถ คนที่ยื่นอยู่ก่อนหน้าผมไม่มีใครทำอะไรเลย ผมถามออกไปว่า “คนขับเป็นยังไงบ้าง” โดยที่ไม่ได้ทันสังเกตหน้าคนเหล่านั้นเพราะตาผมจ้องอยู่ที่คนเจ็บ คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองพวกที่มุงอยู่ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุประมาณ 3-4 ขวบมายืนตากฝนอยู่ด้วย ในกลุ่มคนที่มุงอยู่นี้มีผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน อายุจากเท่าที่สังเกตในความมืดทุกคนคงจะไม่เกิน 30 ปี ผมถามออกไปอีกครั้งว่า “มีใครแจ้งตำรวจหรือมูลนิธิบ้างหรือยัง” เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ อีกเช่นเคย ผมไม่สนใจผมเริ่มสำรวจคนเจ็บแล้วจับร่างที่ฟุบอยู่กับพวงมาลัยรถให้หงายมาพิงเบาะสังเกตในความมืดรู้สึกว่ามีเลือดไหลมาจากศีรษะ ผมจับที่ข้อมือเพื่อดูชีพจรปรากฏว่าชีพจรยังเต้นอยู่ จึงหันไปบอกพวกที่มุงดูอยู่อีกครั้งว่า “เค้ายังไม่ตายนะ ผมจะพาไปโรงพยาบาล ช่วยอุ้มคนเจ็บหน่อย” ทุกคนยืนก้มหน้านิ่งผมแอบสบถในใจว่า “ไอ้พวกไร้น้ำใจ” ผมพยายามค้นตามตัวคนเจ็บก็พบกระเป๋าสตางค์แต่ด้วยความมืดจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้จึงตัดสินใจอุ้มคนเจ็บข้ามถนนไปยังรถผมที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วว่างคนเจ็บลงที่เบาะนั่งข้าง ๆ คนขับ ผมเริ่มสำรวจคนเจ็บอีกครั้ง เพราะแสงไฟในรถที่สว่างพอสมควร พบว่าศีรษะแตก และมีเลือดไหลออกมาจากจมูกจึงเอาทิชชูในรถเช็ดเลือดแล้วเปิดกระเป๋าสตางค์ดูพบว่าคนเจ็บมีบัตรประกันสังคมของโรงพยาบาลปากน้ำอยู่เห็นดังนั้น ผมจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูด้านคนขับ สายตาก็ชำเลืองดูฝั้งตรงข้ามอีกครั้งก็เห็นว่าพวกที่มุงอยู่เมื่อตะกี้กำลังเดินข้ามถนนมา ผมขึ้นรถแล้วติดเครื่องยนต์ พอเงยหน้ามาอีกครั้งก็เห็นว่าคนพวกนั้นเดินอยู่หน้ารถห่างออกไปซัก 5 เมตร ผมเปิดไฟหน้ารถและไฟเลี้ยว เมื่อแสงไฟหน้ารถปะทะเข้ากับร่างคนเหล่านั้นทำให้ผมตกใจสุดขีด เพราะภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือ ภาพของศพที่เดินได้ดี ๆ นี้เอง หน้าตาของแต่ละคนนั้นพุพอง เน่าเฟะ เสื้อผ้าสีช้ำเลือดช้ำหนอง ผมตัดสินใจหักพวงมาลัยให้พ้นพวกปีศาจเหล่านั้นแล้วเหยียบคันเร่งออกรถอย่างรวดเร็ว เมื่อพ้นระยะผมมองที่กระจกมองหลังก็พบแต่ถนนว่างเปล่า ในใจคิดว่าเจอดีเข้าแล้วจึงเหยียบรถอย่างเต็มที่เพื่อหนี้ไปให้พ้นๆ รู้สึกใจคอสั่นไปหมดเพราะภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ยังติดตาอยู่มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผมขับมาจนถึงที่ชุมชนจึงจอดรถเพื่อตั้งสติและหันไปมองคนเจ็บที่ยังสลบอยู่จึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องพาไปโรงพยาบาล ผมพาคนเจ็บไปยังโรงพยาบาลปากน้ำ หลังจากส่งคนเจ็บถึงมือแพทย์แล้วผมก็พยายามตรวจดูกระเป๋าสตางค์อีกครั้งเพื่อหาทางติดต่อกับญาติผู้บาดเจ็บ หลังจากดูที่อยู่ในบัตรประชาชนพบว่าเป็นซอยเดียวกับบ้านแฟนผมจึงโทรหาแฟนเพื่อถามว่ารู้จักคนเจ็บไหม ซึ่งแฟนผมก็รู้จักจึงไปแจ้งข่าวให้ญาติรู้ หลังจากนั้นผมก็กลับบ้านโดยไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง อีกสองสามวันต่อมาผมมีโอกาสได้ไปที่บ้านแฟน เมื่อไปถึงผมเห็นแฟนนั่งคุยอยู่กับคนที่ผมช่วยเอาไว้พอดี ทราบชื่อเล่นภายหลังว่าพี่ก้อง แกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเลยมาขอบคุณแฟนผมที่ช่วยส่งข่าวให้ญาติของเค้าทราบและต้องการจะขอบคุณผมอยู่พอดีเลยได้นั่งคุยกันมีพี่ก้อง แฟนผม และพ่อพี่ก้อง โดยพี่ก้องเล่าว่า “คืนนั้นไปงานเลี้ยงที่บริษัทจัดขึ้นจึงดื่มไปนิดหน่อย ระหว่างทางขับรถกลับบ้านพอมาถึงจุดเกินเหตุตนขับรถแซงคันหน้าแล้วกำลังกลับเข้าเลนเดิม แต่อยู่ๆ ก็เห็นคน 3-4 คนซึ่งจำได้ว่ามีผู้หญิงอุ้มเด็กอยู่ด้วยยืนขวางถนนอยู่ จึงหักรถหลบลงข้างทางแล้วพุ่งชนต้นไม้ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย” หลังจากได้ฟังพี่ก้องเล่าผมขนลุกซู่ทันทีในใจนึกถึงเรื่องที่เกิดกับตัวเองคืนนั้น มาสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพี่ก้องถามว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทุกคนฟัง แฟนผมถามว่าทำไมไม่เล่าให้เธอฟังผมจึงให้เหตุผลไปว่ากลัวเธอจะกลัว ส่วนพ่อพี่ก้องบอกว่า “เมื่อ 2 เดือนก่อนมีอุบัติเหตุรถเก๋งพลิกคว่ำหน้าศาลแดงตายทั้งคัน เป็นคู่สามีภรรยา 2 คู่ อายุประมาณ 25-30 ปี และรู้สึกจะมีเด็กผู้หญิงอายุ 3-4 ขวบอีกคน” แม้เรื่องราวทั้งหมดจะผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วแต่ภาพเหตุการณ์คืนนั้นยังตรึงใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ และผมก็หลีกเลี่ยงการใช้ถนนเส้นนี้ในเวลากลางคืนมาตลอด
Share:

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

งูอนาคอนดา

งูอนาคอนดา (Anaconda) เป็นชื่อของงู 4 สปีชีส์ในกลุ่มงูหลามที่อาศัยอยู่ในหนอง บึง และแม่น้ำในป่าดิบชื้นในทวีปอเมริกาใต้และเกาะตรินิแดด อนาคอนดาเหลืองยังสามารถพบได้ที่อาร์เจนตินาอีกด้วย



ชื่อ อนาคอนดา นั้นมีที่มาที่อาจเป็นไปได้อยู่ 2 แหล่ง โดยอาจแปลงมาจากคำภาษาสิงหลคำว่า เหนกานเทย (henakanday) ที่แปลว่า งูหางแส้ หรืออาจมาจากคำภาษาทมิฬว่า อเนกันทราน (anaikondran) แปลว่า นักฆ่าช้าง ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าชื่อของมันมีที่มาห่างไกลจากแหล่งที่อยู่มากได้อย่างไร แต่ก็เป็นไปได้ว่าเพราะมันมีลักษณะคล้ายกับงูหลามเอเชีย
อนาคอนดาเขียว (Eunectes murinus) ซึ่งมีรายงานว่ามีความยาวถึง 10 เมตร (แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีขนาดเล็กกว่านี้) ถึงแม้สปีชีส์ชนิดนี้จะมีความยาวน้อยกว่างูเหลือม ซึ่งเป็นสปีชีส์ที่มีบันทึกว่ายาวที่สุด แต่ก็ยังมีน้ำหนักมากกว่า จัดว่าเป็นงูที่หนักที่สุดที่ยังดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ อาจมีน้ำหนักถึง 250 กิโลกรัม และมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวมากกว่า 30 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยตัวเมียจะมีความยาวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 6.6-7.8 เมตร ขณะที่ตัวผู้มีความยาวเฉลี่ย 3.6-4.8 เมตร สปีชีส์นี้มักจะพบทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ อย่างเช่นในเวเนซุเอลา โคลัมเบีย บราซิล เอกวาดอร์ ทางตอนเหนือของโบลิเวีย ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเปรู กายอานา และตรินิแดด แม้ว่าจะเป็นที่สนใจมาก แต่ก็ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับงูชนิดนี้อยู่น้อยมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2535 จึงได้มีการศึกษาสปีชีส์นี้ในทางชีววิทยาเป็นครั้งแรกในเวเนซุเอลา โดย Dr. Jesus Rivas
อนาคอนดาเหลือง (Eunectes notaeus) มีขนาดโดยเฉลี่ยเมื่อโตเต็มวัยค่อนข้างเล็กกว่าอนาคอนดาเขียว โดยมีความยาวเพียง 3 เมตร สปีชีส์นี้อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของโปลิเวีย ปารากวัย อุรุกวัย ทางตะวันตกของบราซิล และทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา
ส่วนอีก 2 สปีชีส์นั้นจะเป็นที่รู้จักน้อยกว่า ได้แก่

อนาคอนดาจุดดำ (Eunectes deschauenseei) พบทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
อนาคอนดาโบลิเวีย (Eunectes beniensis) พบเป็นครั้งแรกในโบลิเวีย ได้รับการตั้งชื่อเมื่อปี พ.ศ. 2545 โดย Lutz Dirksen และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษา
อนาคอนดามีหัวขนาดใหญ่และลำคอหนา ตาและรูจมูกอยู่ที่ส่วนบนของหัว ทำให้สามารถหายใจและมองเห็นเหยื่อในขณะที่อยู่ใต้น้ำได้ ฆ่าเหยื่อโดยใช้ลำตัวบีบรัด เป็นงูที่ไม่มีพิษ แต่ยังมีฟันและขากรรไกรที่แข็งแรงที่ใช้กัดเหยื่อ มันจะคาบเหยื่อแล้วลากลงไปในน้ำเพื่อให้เหยื่อจมน้ำตาย


อนาคอนดาเขียว, Eunectes murinusโดยปกติแล้ว อนาคอนดาจะกินสัตว์จำพวกหนูขนาดใหญ่ สมเสร็จ กวาง หมูป่า ปลา เต่า นก แกะ สุนัข และสัตว์เลื้อยคลานในน้ำอย่างจระเข้ไคแมน ส่วนอนาคอนดาที่ยังไม่โตเต็มที่จะกินหนูขนาดเล็ก ลูกไก่ กบ และปลา โดยสัญชาตญาณแล้ว เมื่ออนาคอนดารู้สึกว่ามีมนุษย์อยู่ใกล้ มันจะหนีไปในทิศทางอื่น การตายของมนุษย์ที่เกิดจากอนาคอนดาจึงพบได้ยาก ขณะที่พวกมันเองก็จะถูกล่าโดยเสือจากัวร์ จระเข้ไคแมนขนาดใหญ่ และอนาคอนดาตัวอื่น และเมื่อมันบาดเจ็บก็จะตกเป็นเหยื่อของปลาปิรันย่าได้เช่นกัน
Share:

ผีเหรียญ


การสื่อสาร ติดต่อ วิญญาณระหว่างมนุษย์วิญญาณเรื่องราวศาสตร์เร้นลับที่มนุษย์พยายามค้นหา เรื่องผีถ้วยแก้วนี้ท่านอาจเคยได้ยินมาแล้ว หรืออาจจะเคยร่วมเล่นมาแล้วก็ได้ เพราะเป็นที่นิยมเล่นกันในหมู่เด็ก และผู้ใหญ่มานานแล้วที่เรียกว่าเล่นก็เพราะระหว่างดำเนินการนั้นเต็มไปด้วยความครื้นเครงนับว่าเป็นการ กล้าเผชิญหน้ากับ \"ผี\"

อย่างองอาจและเป็นมิตรมาทีเดียวดพราะตามปกติแล้วไม่ว่า เด็กหรือผู้ใหญ่เป็นต้องขยาดผีจนขนหัวลุกเคยถามไถ่เรื่องผีถ้วยแก้วกับเกจิ อาจารย์ท่านหนึ่งว่า\"ผี\" หรือ \"วิญญาณ\" ที่เข้ามาสิงอยู่ในถ้วยแก้วนั้น\"จริง\" หรือ \"เท็จ\" ท่านบอกว่า \"จริง\" แต่วิญญาณของผีเร่ร่อน เพราะฉะนั้นในบางคราวจึงทำนายทายทักอะไรไมค่อยตรง

ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวบางทีเชิญวิญญาณหนึ่ง แต่อีกวิญญาณหนึ่งกลับรีบสวมรอยมาแทนก็มีพึงสังวรณ์ไว้ว่า การเรียกดวงจิต วิญญาณ การสื่อสารก็เหมือนกับการที่เราโทรศัพท์ไปหาใครสักคนหรือไปเคาะประตูบ้านใคร สักคน

ถ้าเจ้าของอยู่หรือต้นสายปลายทางอยู่แน่นอนย่อมมีการรับสายหรือเปิดประตูออก มาต้อนรับพร้อมที่จะยอมสนทนาด้วยอย่างแน่นอน และเมื่อกระทำด้วยความบริสุทธิ์ด้วยแล้วก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่ายินดี และน่าสนุกไปกับการสื่อสารอันอัศจรรย์นี้ด้วยข้อควรระวัง!!

การเล่นผีถ้วยแก้วพึงระวังและสำเหนียกอยู่เสมอว่า เมื่อตัดสินใจที่จะเล่นสื่อสารกับวิญญาณบางสิ่งที่มองไม่เห็นตัวแล้วนั้น ต้องระมัดระวังให้ดี ผู้เล่นควรจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีและมีจิตแน่วแน่ในการที่จะเรียนรู้และสื่อ สารอย่างบริสุทธิ์ใจอย่าให้ถ้วยแก้วเปิดก่อนจบการเล่นเพราะเชื่อถือกันว่าวิญญาณจะอยู่ในถ้วยแก้วนั้นจนกว่า

จะจบการเล่น ทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อวิญญาณที่ออกจากถ้วยแก้วไปแล้วอาจมีใจอยากติดต่อ สื่อสารกลับมาบ้างหรอืออาจมีมิตรใจที่ไปเยี่ยมเยือนเพื่อนสนิทที่ร่วมคุย ร่วงสนทนานั้นบ้าง ผู้เล่นก็ควรจะเตรียมพร้อมและทำใจเพราะของอย่างนี้มันแล้วแต่กรณีวิธีการเล่นผีถ้วยแก้ว โดยสังเขปอุปกรณ์

- กระดาษขาวสำหรับเขียนตารางตัวอักษร- ถ้วยแก้วขนาดเล็ก- ธูป เทียน- เครื่องเซ็นวิธีเล่น- จุดธูปเชิญวิญญาณ- นำถ้วยแก้วใส่ควันธูปและปิดให้สนิท นำมาคว่ำลงบนแผ่นกระดาษ- ตั้งจิตอธิฐานและสมาธิให้แน่วแน่- ใช้นิ้วแตะขอบถ้วยแก้วเพียงเบา ๆ- ถามไถ่และดูการขยับ เคลื่อนไหวของถ้วยแก้ว

- พูดคุยและถามไถ่- เชิญวิญญาณออกจากถ้วยข้อควรระวัง- อย่าให้ควันออกจากถ้วยแก้ว- อย่าเปิดถ้วยแก้วให้ขณะที่เล่น- ตั้งจิต สมาธิให้แน่วแน่และสำรวมด้วยความบริสุทธิ์ใจหมายเหตุเตรียมตัวและทำใจให้พร้อม กับการที่ต้องพบเจอเหตุการณ์ในทุกสภาวะรูปแบบ คนจิตอ่อนขวัญอ่อนไม่สมควรที่จะเล่น
Share:

การป้องกันผีหลอกในโรงแรม


โรงแรมทุกๆ แห่งนั้น ย่อมจะมีอย่างน้อยหนึ่งห้องที่ซึ่งถูกปล่อยให้ว่างไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าโรงแรมห้อง เต็มขนาดไหน พวกเขาจะไม่ขายห้องนั้นให้กับแขกคนใดทั้งสิ้น ว่ากันว่าห้องพิเศษห้องนั้นได้ "สงวนไว้" สำหรับ "แขกพิเศษเหล่านั้น" ฉะนั้น เมื่อคุณมีแผนที่จะเข้าพักในโรงแรมแห่งใดแห่งหนึ่ง ควรจองล่วง หน้าไว้ก่อนเสมอ

พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าพักแบบวอล์คอิน (Walk in) ถ้าพนักงานต้อนรับได้บอกคุณไปแล้วว่าไม่เหลือ ห้องว่างอีกต่อไปแล้ว จงอย่าได้ดื้อดึงอยู่ต่อหรือพยายามติดสินบนพวกเขาเพื่อที่จะให้พวกเขาให้ห้องพักแ ก่คุณ ถ้าหากคุณทำอย่างนั้น เกือบทุกครั้งที่ห้องที่คุณได้ไปจะเป็น "ห้องพิเศษ"ที่ว่านั่น และอีกเช่นกันที่ บางครั้ง "แขกพิเศษ" เหล่านั้น อาจจะโผล่ไปที่ห้องอื่นๆ ด้วย ดังนั้นนี่คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าคุณจะป้องกันตัวคุณเองได้อย่างไร

- ก่อนที่จะเข้ายังห้องพักของคุณ จงเคาะประตูก่อนทุกครั้ง แม้คุณจะรู้ว่านี่เป็นห้องว่างก็ตาม

- หลังจากที่เข้าไปอยู่ในห้องแล้ว หากคุณรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในทันทีทันใด และมีอาการ "ขนลุก" จง ออกจากห้องไปเงียบๆ และโดยทันที แล้วไปหาพนักงานต้อนรับเพื่อขอเปลี่ยนห้องใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับจะเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

- หลังจากอยู่ภายในห้องแล้ว จงเปิดไฟให้ครบทุกดวงในทันที พร้อมกับเปิดผ้าม่านเพื่อ ปล่อยให้แสงแดดส่องเข้ามา

- ก่อนเข้านอน จัดวางรองเท้าของคุณให้อยู่ในลักษณะกลับหัวกลับหางกัน บางคนบอกเอาไว้ว่านี่เป็น การแสดงถึงหลัก "หยิน-หยาง"เพื่อคุ้มครองคุณขณะที่คุณหลับ

- จงเปิดโคมไฟทิ้งไว้อย่างน้อยดวงหนึ่งขณะที่คุณหลับ ยิ่งเป็นไฟในห้องน้ำยิ่งดี

- หากคุณพักคนเดียว และห้องคุณเป็นเตียงคู่ อย่าเข้านอนโดยปล่อยให้อีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า พยายามนำสิ่งของไปวางไว้เช่น กระเป๋าเดินทาง ที่เตียงว่างอีกเตียงหนึ่งก่อนที่คุณจะหลับ
Share: