วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

นางตานี


นางตานี เป็นผีผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เช่นเดียวกับนางตะเคียน นางตานีจะสิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยตานี และต้องเป็นกล้วยตานีตายพราย (ต้นกล้วยตานีที่ออกปลีแล้วตาย) เล่ากันว่ามักปรากฏร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวง คนโบราณไม่นิยมปลูกกล้วยตานีไว้ในบ้าน

นางตานีจะมีรูปร่างหน้าตาสวยสด หมดจด งดงาม ห่มสไบสีเขียว และนุ่งโจงกระเบนแบบหญิงโบราณชอบล่อชายไปลวนลาม เเละนางตานียังมีเเรงหึงหวงที่น่ากลัวอีกด้วย เพราะถ้าชายที่มีอะไรกับนางเเล้ว เมื่อไปมีผู้หญิงคนอื่นนางตานีก็จะตามไปหักคอชายผู้นั้นทันที ด้วยเเรงหึงหวงนั้มเอง

โดยเหตุที่พรายนางตานีเป็นผี ชาวบ้านจึงไม่กล้าปลูกกล้วยตานีไว้ใกล้เรือน แม้จะปลูกไว้ใกล้เรือน ถ้าจะตัดเอาใบตองไปใช้ ก็ห้ามไม่ให้ตัดเอาไปทั้งใบ ต้องเจียนเอามาแต่ใบตองเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องหักก้านเสียก่อน เพราะถ้าตัดเอาเข้ามาในเรือนทั้งใบ ถือเป็นลางร้ายว่าจะมีใครในบ้านนั้นตายลงในไม่ช้า ทั้งนี้เห็นจะเนื่องจากคติเดิมที่ใช้ใบตองกล้วยตานีสามใบรองก้นโลงศพ

กล้วยตานีนี้ถ้าคราวออกปลี จะมีพิธีพลีพรายนางตานี เครื่องพลีมีหัวหมูบายศรี สำรับคาวหวาน ของหวานก็มีขนมต้มแดงต้มขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน น้ำหอมและเครื่องหอม มีแป้งกระแจะจันทน์ เป็นต้น เอาแหวนและสร้อยทองคำไปคล้องที่งวงปลีกล้วยเป็นเครื่องประดับ และนำผ้าผืนหนึ่งจะเป็นสีแดงหรือสีอะไรก็ได้ ไปพันรอบต้นกล้วยตานี เป็นต่างว่าได้นุ่งห่มให้แก่พรายนางตานี ขอให้คุ้มครองรักษาคนในบ้าน และให้มีลาภ บางทีมักนิยมนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดมนต์ทำบุญด้วย บางทีหมอที่ทำพิธี เมื่อเซ่นวักแล้ว นำดอกในปลีกล้วยตานีไปตากแดดให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงผสมกับผงอิธเจ คือผงของดินสอขาวที่ลงยันต์ซึ่งเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับใช้ในทางให้เกิดเสน่ห์ เป็นเมตตามหานิยม บางทีก็เอาดอกในปลีกล้วยตานีไปใส่ไว้ในตลับสีผึ้งสีปากซึ่งปลุกเสกแล้ว ใช้สำหรับสีปากเพื่อให้เกิดเสน่ห์เป็นเมตตามหานิยมเช่นเดียวกัน เมื่อใช้สีผึ้งนี้สีปากแล้ว แย้มปากพูดออกมาก็มีเสน่ห์ กระทำให้ผู้ใหญ่มีเมตตา ถ้าเป็นผู้หญิงสาวก็ทำให้เกิดความรักขึ้นมาได้ทันที ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้หญิงทาสีผึ้งนี้แล้ว เมื่อแย้มปากพูดออกมา ผู้ชายก็จะเกิดความรักขึ้นในทันทีเช่นเดียวกัน

ถ้ากล้วยตานีที่ทำพิธีเซ่นวักแล้วออกปลีกลางต้น ก็ถือกันว่ากล้วยตานีนั้นเกิดมีพรายนางตานีขึ้นแล้ว กล้วยตานีที่ออกปลีกลางต้นนี้ พวกชายหนุ่มที่ยังเป็นโสดอยู่ ถ้าเป็นผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับพรายนางตานี ก็จะไปทำพิธีเซ่นวัก เป็นทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วไปที่ต้นกล้วยตานีนั้นในเวลากลางคืนทุกคืน สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้ พอไปถึงก็กล่าวคำเกี้ยวประเล้าประโลมพรายนางตานี ต้องตั้งความเพียรไปเกี้ยว จนกว่าพรายนางตานีจะใจอ่อนเห็นอกเห็นใจ แล้วเอามีดเฉือนตอนโคนกล้วยที่มีลักษณะเป็นเหมือนเหง้า เอามาก้อนหนึ่งแกะสลักเป็นรูปผู้หญิงใส่ตลับหรือภาชนะอื่นไว้ และต้องเซ่นวักทุกเช้าเย็น ทำอย่างนี้อยู่หลาย ๆ วัน พรายนางตานีก็จะมาปรากฏร่างให้เห็นในความฝัน เป็นผู้หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม สมดั่งใจที่เคยนึกเคยพะวงเป็นจินตนาการมาก่อน แล้วนางจะยอมตนเป็นเมียผู้นั้น อันเป็นความฝันอีกเหมือนกัน เมื่อได้นางพรายตานีเป็นเมียแล้ว ชายคนนั้นจะไปมีเมียอื่นอีกไม่ได้ ถ้ามีก็มักเป็นอันตราย ถ้าต้องการจะมีเมียจริง ๆ ก็อาจทำได้ โดยบอกกล่าวขออนุญาตพรายนางตานีเสียก่อน พรายนางตานีเป็นเมียที่ดี เมื่อเห็นสามีซื่อสัตย์ไม่ปิดบังความจริง ก็จะอนุญาตให้มีได้ ซ้ำยังจะช่วยเหลือเพื่อให้การนั้นสำเร็จไปด้วยดีอีกด้วย ไม่มีหึงหวงแยกเขี้ยว หรือร้องไห้ตีโพยตีพายเหมือนเมียมนุษย์
Share:

10 เรื่องผีในมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา


1.ที่มาของชื่อ "ศาลายา"

เชื่อกันว่าชื่อ "ศาลายา" นี้มาจาก ในสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เกิดโรคระบาดหรือโรคห่าลง เด็ก ผู้ใหญ่ ฯลฯ ผู้คนมากมายนอนตายทับถมเป็นกองสูง
ศพที่ไม่ได้นำไปเผาก็ถูกทิ้งให้แร้งจิกกินเป็นที่น่าสังเวช เช่นเดียวกับประตูผีที่ วัดสระเกศ บริเวณภูเขาทองในปัจจุบัน ทางการจึงตั้งศาลาแห่งหนึ่ง
ไว้เพื่อส่งมอบยาแก่ชาวบ้าน ต่อมาจึงเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "ศาลายา"


2.เพลงรักน้อง "เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม..."

นั่นคือเนื้อเพลงรักน้องหรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปาก เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายา มีเรื่องเล่ากันว่านักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง
ถูกผู้เป็นพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ ด้วยความเสียใจกอปรกับคิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้ว นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า
ของหอพักและเขียนข้อความสั้นๆนี้ไว้ จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพลงรักน้อง จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษา
พยาบาลคนนั้น ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง >มิฉะนั้น
จะเท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียง ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระ
โดดลงจากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วย พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆอยู่เลย


3.SI วันมหิดล เตียงC

อีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งกล่าวถึงนักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช(ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่าSI)ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียน
หอพักในวันนี้ของทุกๆปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความเฮี้ ยนสุดยอด
ในวิทยาเขตศาลายา นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัยอาจเป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึง
ไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้วห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่องถูกปิดตาย ทราบแต่เพียงว่า เตียงCของนัก
ศึกษาSIในคืนวันมหิดลเท่านั้นที่จะพบเห็นเค้าได้ ถ้าอยากทราบว่าความเฮี้ยนนั้นจัดขนาดไหน? ก็ลองสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดถึง
เรื่องนี้ในคืนนี้ >ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นที่สนุกปากขนาดไหนก็ตาม


4.เชือกในห้องน้ำ

เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆมีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า ช่วงปิดเทอมเดือนตุลา แม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชาย ห้องดังกล่าว
ได้ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า "ห้องน้ำเสีย" นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจาก
ประตูเจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง แม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตา
ไป เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า>"เค้ากลับต่างจังหวัด" ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้าน
ผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบหล่อนด้วย คุณคือผู้โชคดีแล้ว


5.ผีถ้วยแก้ว

ขอยกเรื่องเล็กๆให้ฟังพอหอมปากหอมคอละกัน ก็มีอยู่ว่า... นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เล่นผีถ้วยแก้วในบริเวณหอพัก ทีนี้เมื่อเล่นจบก็ถกเถียงกันว่า
ใครเป็นคนดันแก้ว เมื่อไม่มีข้อสรุป และด้วยความไม่เชื่อในเรื่องผีสางทั้งหมดก็เดินออกไปหน้า ม.เพื่อหาข้าวกิน เพื่อนต่างคณะที่นั่งรถแท็กซี่
เข้ามาได้สวนกับนักศึกษากลุ่มนั้นพอดี ภาพที่เห็นก็คือ ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณศาลใกล้คณะอินเตอร์ และได้ยกมือชี้ ร้องไล่ให้
ผู้หญิงในกลุ่มออกไป แต่ทุกคนกลับไม่มีใครใส่ใจ เมื่อมาถึงหอนักศึกษาคนหนึ่งก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า "นี่ เมื่อกี๊เล่นผีถ้วยแก้ว มันบอกว่าเป็นผู้หญิง
ว่ะ อย่าให้กูจับได้นะว่าใครเป็นคนดัน" เพื่อนก็รีบเล่าเรื่องที่ชายแก่ไล่หญิงสาวในกลุ่มให้ฟัง ทุกคนก็ยืนยันว่ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ ชายแก่คนดังกล่าว
อาจเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางที่รู้จักกันในนาม"พ่อปู่จันธูป"หรือ "เจ้าขุนทุ่ง" ส่วนผู้หญิงคนดังกล่าว >จะเป็นคนเดียวกับในถ้วยหรือเปล่า? โฮะๆ
คิดเอาเอง


6.เรือนไทย

เรือนไทยเป็นเรือนสีแดงสดตั้งอยู่ตรงข้ามตึกวิทย์เก่า เดินเข้ามาไม่ไกลก็จะพบได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสวยงามและอากาศเย็นสบาย ทำให้
เรือนไทยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม นักศึกษาหลายกลุ่มมานั่งติวหนังสือกันที่นี่ และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือนไทยมีมากมาย เพราะความคลุมเครือในที่มาของเรือนไทยโบราณหลังนี้ เมื่อ2ปีก่อน นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปอ่านหนังสือ
บริเวณเรือนไทย เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆคล้ายผมของใครบางคน
ปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้ม
แสยะเห็นฟันดำขลับ นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันที>พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือ-ทำการปฐมพยาบาล >รุ่นพี่เล่าต่อๆกันมาว่าเสา
ต้นหนึ่งในเรือนไทยตกน้ำมันได้ >ถ้าคุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ"ความแรง"ของที่นี่ >มีเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าที่เรือนไทยนี้อากาศเย็นสะท้านตลอดเวลา
ไม่ว่าจะฤดูอะไร และวันนั้นแดดจะแรงขนาดไหนก็ตาม:-)


7.หอชาย

เชื่อหรือไม่? ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความ
เป็นมาตรงนี้เลย หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10) ก็มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย
ภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวน
มากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือ 1.บันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดิน
ทางนี้บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี นอกจากวิ่งชนหรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง2.ทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่าง
ของหอ นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน โถฉี่ในหอพักหญิงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี แต่อย่าหวังคำตอบจากเจ้าหน้าที่หอเกี่ยว
กับสาเหตุที่ย้ายมา เพราะต่อให้ตาย "...เค้าก็ไม่ตอบคุณหรอก"


8.คอนโดC ห้องxxxx

คอนโดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโดCซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์ และประไว้ที่หน้าประตูอีก
หนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี
ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า ช่วงปิดเทอมเมื่อ4-5ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย กว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่า เฟะ เละจน
แทบจำไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี2 น้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลก พองานศพเสร็จ เพื่อนๆทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คน
ที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆไม่รู้เรื่องรู้ราว ตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำบางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆที่ไม่มีใคร แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่า
นักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้อง
เจ้าปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!!! รูมเมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่
ถูกทอดทิ้ง หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า-ข้าวของ >เปิดปิด เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอทสุดๆและเฮี้ยนสุดๆ
ในรั้วศาลายา


9.ตู้ผี

ฟังชื่อแล้วต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังผีเกาหลีเกรดบี แต่นี่คือเรื่องจริงของนักศึกษาดวงซวยสุดๆในคืนวันมหิดล เมื่อสองปีก่อน ช่วงสอบกลาง
ภาคตรงกับวันมหิดลพอดี >นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ภายในห้องพัก กำลังจะไขกุญแจตู้เสื้อผ้าไปอาบน้ำ เครียดก็เครียด
อ่านก็ไม่ทัน ไหนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ความซวยก็เข้าเยือนต่อทันที ขณะเดียวกันเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใน คว้า
ท่อนแขนนักศึกษาโชคร้ายและพยายามดึงเข้าไปในตู้ เท่านั้นแหละ...เสียงกรี๊ดดังลั่นมาถึงหอชาย เพื่อนร่วมห้องได้ยินก็กระวีกระวาดมาดู เห็น
เจ้าหล่อนเป็นลมนอนฟุบอยู่กับพื้นห้อง จึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่หอให้รับตัวไปโรงพยาบาลทันทีสอบถามจากเจ้าหน้าที่หอพักก็ตีหน้าซื่อ แก้ตัว
กับเหตุการณ์นี้ว่า "สงสัยเค้าจะเครียดมากไป" เป็นอันว่าเรื่องสยองในคืนวันมหิดลก็ยังเป็นปริศนาต่อไป ยาวไปหน่อย แต่อ่านแล้วขนลุกได้เลย
Share:

อาถรรพ์ นรกซานติก้า ที่แห่งนี้มีตำนาน

จากที่ดินทำเลทองย่านเอกมัย เพียงชั่วข้ามคืนของวันแรกที่ย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2552 กลับกลายเป็นสุสานของเหยื่อเพลิงนรก นำมาสู่การผูกโยงถึงความเชื่อของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับ "สุสานซานติก้าผับ" ด้วยความหวาดผวา และบอกเล่าถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงลางร้ายบอกเหตุที่อาจจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้
แม้ลางร้ายบอกเหตุจะมีหลายประการ แต่ข่าวลือที่พูดกันว่า ที่ดินบริเวณนี้เคยเป็น "กุโบร์เก่า" หรือ "สถานที่ฝังศพชาวมุสลิม" มาก่อนนั้น กลับไม่ใช่เรื่องจริง!! ตามที่ "ซินแส" ท่านหนึ่งออกมาเปิดเผยต่อสังคม
"สุธี ผลทวี" ทายาทของเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่รุ่นดั้งเดิม ออกมายืนยันว่า แม้ที่ดินแถวนี้จะเป็นชุมชนของพี่น้องมุสลิม แต่ที่ดินทั้งหมดนี้เป็นที่มีโฉนด ไม่ใช่ที่สาธารณะ จึงไม่มีทางเป็นกุโบร์เก่ามาก่อนได้

ถึงแม้จะไม่ใช่ที่กุโบร์เก่า แต่ทายาทของเจ้าของที่ดิน เล่าว่า เรื่องราวความเฮี้ยนบนที่ดินผืนนี้ มีการเล่าขานกันมาตลอด โดยเกิดขึ้นหลังจากขายที่ดินให้แก่แม่ทัพเรือที่เข้ามาอยู่เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้น ชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด ต่อมาแม้จะมีความพยายามเข้ามาใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และปล่อยรกร้างว่างเปล่ามานาน ก่อนจะมาเปิดเป็นสถานบันเทิง "ซานติก้าผับ" เมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว
"ที่ตรงนี้เป็นของคุณยายมาก่อน ซึ่งคุณยายขายต่อให้แม่ทัพเรือ ซึ่งท่านเป็นคนเจ้าชู้ ภรรยาจึงเกิดการหึงหวง ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้นชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาของคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องมีการทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด แม้กระทั่งซานติก้าก็เหมือนกัน ที่ดินตรงนี้แต่เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นกุโบร์เก่านั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ดินเดิมของซานติก้าเป็นของคนญี่ปุ่นมาก่อน แต่เจ้าของคนเดิมตายไป ลูกหลานก็เลยให้ซานติก้าเช่าที่ดินผืนดังกล่าว ซานติก้าก็ยังเชิญไปอ่านบทสวดให้ประจำ โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ แต่ก็ไม่ลบหลู่ แม้ทางซานติก้าไม่ได้ทำพิธีพวกเราก็ทำให้อยู่ดี เพราะอยู่ใกล้กัน ต้องช่วยเหลือกัน" ทายาทเจ้าของที่ดินกล่าว

นอกจากเรื่องราวความอาถรรพณ์ของที่ดินตามความเชื่อแล้ว ลางร้ายบอกเหตุที่เกี่ยวกับการออกแบบภายในซานติก้าผับ ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่งที่เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามซานติก้าผับรายนี้บอกว่า การปรับโฉมใหม่ มีการตกแต่งภายในร้านด้วยไม้กางเขนขนาดใหญ่และทำเลียบแบบโลงศพ ซึ่งเขามองว่าไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับป้ายประชาสัมพันธ์งานกู๊ดบาย และเคานท์ดาวน์ขนาดใหญ่ ที่ทางผับออกแบบให้ดีเจมีน้ำตาเป็นสายเลือดและนักร้องมีคราบน้ำตาเป็นสีดำ

"เห็นภาพที่ออกมาเห็นแล้วก็ตกใจ กลัวว่าจะเป็นการบ่งบอกถึงลางร้าย แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นขนาดนี้" สุธีกล่าวด้วยอาการสลด

ขณะเดียวกัน ชาวบ้านแถวนี้หลายคนถึงกับนอนไม่หลับ พวกเขายอมรับว่า กลัวเจอผี บ้างก็ยังติดตากับภาพสลดใจที่เกิดขึ้น การแผ่เมตตา หรือแม้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า เหตุร้ายครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุและความประมาท มากกว่าจะเป็นเพราะเรื่องราวความอาถรรพณ์ แต่ถึงจะไม่เชื่อ ชาวบ้านละแวกนี้ก็ไม่เคยหลบหลู่ โดยตั้งใจว่าจะหมั่นทำบุญให้ผู้ตายอย่างสม่ำเสมอ และหากเป็นไปได้ ที่ดินผืนนี้ไม่อยากให้มีใครมาสร้างเป็นผับอีก

"เราก็อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาก็ปฏิบัติกับเราดี เด็กในละแวกนี้ก็มีงานทำ ถึงเวลาที่ร้านของเขาครบรอบก็มีเลี้ยงละแบร์ตามศาสนา ช่วงงานวันเด็กก็มีแจกจักรยานทำอะไรให้ ช่วยเหลือกัน ที่จริงที่ดินตรงนี้เป็นของ ผบ.ทร.เก่า สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในความรู้สึกผมปล่อยวางนะ มีฝรั่งคนหนึ่งมาจากภูเก็ต ผมก็ถามว่าญาติเสียหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามาสวดมนต์ให้ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติ เจ้าของเดิมตั้งใจทำเป็นคอนโด แต่ไม่ได้ทำ เพราะเจอพิษทางเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของซานติก้านะ แต่ทางซานติก้าเขาเช่าอยู่ ไม่ใช่ที่ของเขา" ฉลอม เพ็ชรหิน ชาวบ้านในพื้นที่ซานติก้าผับ ย้อนเรื่องราวในอดีต

ไม่ต่างไปจาก ภาณุภัทธ มีสถานทรัพย์ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงซานติก้าผับ สะท้อนความเชื่อว่า ลางบอกเหตุก็ดูที่รูปดีเจภูมิ ที่มีเหมือนเลือดไหลออกจากตา แล้วพื้นหลังก็สีดำหมดเลย เห็นตั้งแต่แรกก็ว่าจะไปทักว่ามันไม่เป็นมงคลเลย ก็ไม่นึกว่าเรื่องมันจะขนาดนี้ เวลาเคานท์ดาวน์เขาก็จะจุดพลุลุกใหญ่ๆ จุดเรื่อยๆ เป็นระยะ ปกติวันที่ 31 มกราคม เขาจะเปิดถึง 6 โมงเช้า แต่ปีนี้เขาเลิกกิจการพอดี ก็เลยมีนักท่องเที่ยวแอบเอาไปจุดข้างในลูกหนึ่ง

"เขาว่าในร้านที่เพิ่งตกแต่งปรับโฉมใหม่ไม่นานนี้ ก็มีรูปเหมือนโลงศพ แล้วก็มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่งข้างใน มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเจ้าของเองยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วคนก็ไม่รู้ว่าทางด้านหลังก็มีประตูทางออกอีกทาง ก็เลยมากรูกันอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านหน้าหมดเลย" ภาณุภัทธกล่าวในตอนท้าย

ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ "ซานติก้าผับ" ในค่ำคืนแห่งการฉลองเทศกาลปีใหม่ จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นอาถรรพณ์ ทว่าความจริงคือ เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องสังเวยด้วย 61 ชีวิต และเจ็บกว่า 2 ร้อยคน
Share:

สุดยอด13สถานที่เฮี้ยน

1. สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี
สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วยเหนี่ยว ถูกบังคับให้รับแขกอย่าทารุณ ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้าย จนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมาย จนถูกเรียกว่าเป็น “สุสานโสเภณี” ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้นมักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเข้าไปดูก็ไม่พบใคร
2. บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี
คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากนั้นยังมีศพชาวกะเหรี่ยง 9 ศพ ที่ถูกวิสามัญ ฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้
3. บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี
หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านตัดสินใจลาบวชชีด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายไปทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้นนึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้วจึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฎว่ามีเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน
4. โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง
ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ต้องปิดกิจการลงกลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนก็เข้าไปเห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้ กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน
5. สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี
ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ถูกนำมาขุดหลุมฝัง เป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพันขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว หลายๆ คนเล่ากันว่า สถานที่แห่งนี้เป็นฮวงซุ้ยที่เฮี้ยนมาก
6. บ้าน 4 ศพ จ.ชลบุรี
ครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก 2 คน เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกัน แต่ระหว่างทางได้ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนั้นจึงกลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาจะเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา และยังมีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้านหลังนั้น
7. บ้านผีนายพล จ.ชลบุรี
เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักตากอากาศหลังนี้ มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย
8. บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา
หญิงชราเจ้าของบ้านผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน พร้อมกับโลงศพที่ถูกพบภายในบ้าน จนถึงทุกวันนี้ ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน
9. บ้านผีท่านขุน จ.อยุธยา
เป็นบ้านไม้สักเก่าสมัย ร.5 หลังจากที่เจ้าของบ้านเสียชีวิต บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นบ้านร้าง วันหนึ่งมีชาวบ้านพายเรือผ่านมา เห็นมีผู้หญิงอยู่บนเรือนแต่งชุดโบราณสมัย ร.5 เคยมีคนมาลองของที่บ้านหลังนี้ก็เจอดีกันทุกคน จนต้องมาขอขมากราบไหว้กัน
10. บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม
เกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย พ่อตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังคงมีคราบเลือดแห้งติดอยู่ที่ขอบกำแพง
11. บ้านผีตายโหง เขตหนองจอก
เป็นบ้านร้างมาเกือบ 10 ปี มีการเล่ากันว่านอกจากจะมีการฆ่ากันตายในบ้านแล้ว ยังมีผู้หญิงเข้ามาผูกคอตายในบ้านหลังนี้อีก และยังมีการนำเอาศพมาทิ้งไว้ใต้บันไดเพื่ออำพรางคดีอีกกด้วย
12. บ้านตรอมใจ เขตหนองจอก
หญิงสาวเจ้าของบ้าน นับถือศาสนาพุทธ รับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้านจนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจและเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ
13. บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี
บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหลจากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้างก็มีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านที่เข้าไปเก็บก็ปรากฎว่าเจอผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่
Share:

ตำนานความอาถรรพ์ สุสาน7หลุม

สุ สาน 7 หลุม มีนามการัณตีถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยนอันน่าสะพรึงกลัว กับตำนานอาถรรพ์ที่บัดนี้ยังคงเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัด บ้างก็ว่า เป็นครอบครัวเดียวกันโดนฆ่าตาย บางคนก็ว่าเป็นฝรั่ง บางคนก็ว่าเป็นพวกเด็กขายยาเสพติดที่ถูกฆ่าตาย ไม่มีใครรู้อะไรไปมากกว่านี้ และการลองของครั้งแล้วครั้งเล่าของบรรดาผู้กล้าท้าพิสูจน์ แทบทุกครั้งที่ต้องเจอดี บางคนถ้าไม่โชคดีได้เห็นอย่างจะ จะ ก็ถึงกับได้เลือดไปบ้างก็มี..


สุสาน 7 หลุม ทางเข้าจะอยู่แถววิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย จังหวัดขอนแก่น ถ้าตรงมาจากบ.ข.ส. เลยบัณฑิตเอเซียไปจะเป็นสามแยกเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 500เมตร จะข้ามคลองส่งน้ำเลยไปหน่อยจะเจอวัดชื่อวัดไตรประสิทธิ์ สุสาน 7 หลุมจะอยู่หลังวัดนี้แหละครับ


เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของผู้ไปลองของ สุสาน 7 หลุม

เสียงเปรต

ผมเคยไปวัดใจกันกับเพื่อนประมาณ10คน ที่นี่สองครั้ง ครั้งแรกตอนเที่ยงคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ออกมารถหม้อน้ำแตก ครั้งที่สอง ตอนตี1ได้ยินเสียงเปรต ภายในสุสาน 7 หลุม จริง ๆ มี 9 หลุม แต่ละหลุมจะมีไม้หน้าสามปักอยู่บนหลุม ข้างๆสุสานจะมีศาลอยู่ 2 ศาล อยู่ใต้ต้นโพธิ์พวกผมไปก็จะจุดธูป1ดอก บอกขอขมาที่มารบกวนอยากเห็นโปรดออกมาให้เห็นหน่อยประมาณนี้ครับพอปักธูปเสร็จจากที่ภ
ายในไม่มีลม เกิดลมพัดมาอย่างแรงจนใบต้นโพธิ์ไหวอย่างแรง พวกผมเริ่มมองหน้ากันนั่งนิ่งอยู่ประมาณ 10 นาทีเริ่มไม่ไหวเลยยกมือไหว้ศาลแล้วพากันกลับ ออกมาเลยวัดแค่หน่อยเดียวเท่านั้นแหละครับ รถหม้อน้ำแตกดังฟู่เลย ครั้งที่ 2 ก็ทำแบบเดิม คราวนี้ได้ยินเสียงตอนแรกคิดว่าเสียงนกแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงนี้เลยครับมันเป็น
เสียงเล็กๆแหลมๆ เลยอัดเสียงมาใส่โทรศัพย์ไว้อีกวันมานั่งเปิดฟังดูกันไปถามผู้ใหญ่แถวในหมู่บ้านเขาบ
อกไม่ใช่เสียงนก แต่มันเป็นเสียงเปรต


วิญญาณมุงดู

คือว่ามีวันนึงผมกับเพื่อนๆได้พากันไปสุสาน 7 หลุมกัน(คงจะรู้จักกันดี)ไปประมาณ 7 คนพอไปถึงที่จอดรถ (ทางมันต้องเดินเข้าไป) แฟนเพื่อนที่มาด้วยถึงกับต้องร้องไห้....เพื่อนเลยถามว่าเฮ้ยเป็นไรว่ะ....แฟนเพื่อนตอบว่า..มีคนมาดูเราเต็มไปหมดเลยอ่ะ....ถามต่อว่าอยู่ไหนอ่ะ....เขาบอกว่า อยู่กำแพงข้าง ๆ วัด ฮ้า!! (กรรม แล้วเราจอดรถอยู่ข้างวัดพอดี) พวกเราจึงไม่สบายใจเลยกลับบ้านโดยยังไม่ได้เข้าไป
วันต่อมาเราไปกันอีกโดยไม่เอาเพื่อนคนนั้นไปด้วย เอาล่ะวันนี้เราต้องเข้าไป (พวกเพื่อนๆคิดในใจ) แล้วเราก็เดินเข้าไป บรรยากาศน่ากลัวมาก ๆ เรามีไฟฉายอันเดียว ผมคือ 1ใน 3 คนผู้นำหน้า เดินไปสักพักใหญ่ ๆ เพื่อนที่รู้ทางเอ่ยขึ้นมาว่า เฮ้ย!!!!กุมีอะไรจะบอกพวกมืง (ไอ้เราก็กลัวเลยพูดไปว่า) ไม่เอาหน่ากลับไปบอกอยู่บ้านดีกว่าว่ะเด๋วเพื่อน ๆ จะกลัว....มันบอกว่า..กุต้องบอกพวกมืงจริงๆ (เอาแล้วไง) กุ...กุ...กุ...พาพวกมืงมาผิดทาง กรรมเอาล่ะเดินกลัมมาทางใหม่ เอ่อเจอแล้วคราวนี้ถูกทางแน่ ๆ (จะเป็นทางตัว Y) เราก็เข้าไปกันบรรยากาศเริ่มขนหัวลุก มืดมาก ๆ และมีลมแผ่ว ๆ และเสียงน้ำคลองชลประทานและแล้วเราก็เดินมาถึงสุสาน มองไปรอบ ๆ ก็มีหลุมฝังศพและศาลอยู่ด้านหลังมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม เอาหละมาแล้วก็กลับกันเหอะเพื่อน ๆ พูดกัน
Share:

ตำนานศุกร์ 13

เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี


ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน


จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13

และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ
Share:

39ข้อ ที่บางคนอาจจะยังไม่รู้ อิอิ

เรื่องที่คนอาจยังไม่รู้

1.อเล็กซานเดอร์มหาราชค้นพบกล้วยหอมเป็นครั้งแรกก่อนปี ค.ศ.327 ขณะทำสงครามที่อินเดีย

2.แอปเปิ้ลเป็นพืชตระกูลเดียวกับกุหลาบ

3.จำนวนแถวของข้าวโพดแต่ละฝักเป็นเลขคู่เสมอ

4.ยีราฟที่ตัวโตเต็มวัยสามารถเตะหัวสิงห์โตจนหลุดได้

5.ถ้าพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อไปที่หมีขั้วโลกขนของมันจะเปลี่ ยนเป็นสีม่วง

6.ช้างเป็น!โลกพันธุ์เดียวที่กระโดดไม่ได้

7.ปลาฉลามเป็นปลาชนิดเดียวที่กระพริบตาได้

8.บ้านของบิลล์เกตส์ออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์แมคอินทอช

9.ฮิตเลอร์และนโปเลียนมีลูกอัณฑะเพียงข้างเดียว

10.ลีโอนาโด ดาวินชี สามารถใช้มือข้างหนึ่งวาดรูปและใช้มืออีกข้างหนึ่งเขียนหนังสือไปพร้อมๆ กันได้

11.เมืองAieaในฮาวายเป็นเมืองเดียวที่สะกดด้วยชื่อสระเพียงอย่างเดียว

12.เมืองอิสตัลบูลเป็นเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีปคือยุโรปและเอเชีย

13.สัตว์เลี้ยงในบ้านชนิดเดียวที่ไม่มีชื่ออยู่ในคัมภีร ์ไบเบิ้ลคือแมว

14. 111,111,111×111,111,111=12345678987654321

15.เดือนที่ขึ้นต้นด้วยวันอาทิตย์จะมีวันศุกร์ที่ 13 เสมอ

16.โทรศัพท์สาธารณะกลางทะเลทรายที่ซาอุดิอารเบียใช้พลัง งานแสงอาทิตย์

17.ลีโอนาโดดาวินชีเป็นผู้คิดค้นกรรไกร

18.ทอม แฮงก์เป็นลูกหลานของประธาณาธิบดีลินคอร์น

19.ในนมเปรี้ยวยาคูลท์ 1 ขวดมีจุลินทรีย์ แอล คาเซอิ ชิโรต้า ที่มีชีวิต 8000 ล้านตัว

20.อาหารมื้อแรกที่โทมัส อัลวาเอดิสันทานตอนที่เดินทางมาถึงนิวยอร์กครั้งแรกคือน้ำชา

21.ชาวไทยที่เป็นเจ้าของรถยนต์คันแรกคือพระยาสุรศักดิ์ม นตรี แต่คนไทยที่ได้ขับรถเป็นคนแรกคือพระยา อนุฑูตซึ่งเป็น น้องชาย

22.ตวนอู อับดุลราหมานอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเคยเป็นศิษย์เก ่าของเทพศิรินทร์

23.กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 ปีจุลศักราช 931(9+3+1=13) ครั้งที่ 2 ปี 1129(1+1+2+9=13)

24.คำว่า BYTE เป็นคำย่อมาจาก By Eight

25.คำว่า set ถูกนิยามความหมายไว้มากกว่าคำอื่นๆ

26.คำว่า stewardesses เป็นคำที่ยาวที่สุดในการพิมพ์ด้วยมือซ้ายข้างเดียว

27.คำว่า typewriter เป็นคำที่สามารถพิมพ์ได้ยาวที่สุดในบรรทัดตัวอักษรบน สุดของแป้นพิมพ์

28.คำศัพท์ที่สามารถอ่านได้จากทั้งหน้าไปหลังและหลังไปห น้าที่ยาวที่สุดในโลกคือคำว่า

29.Saippuakivikauppias เป็นภาษาฟินนิช แปลว่าคนขายสบู่หิน

30.คาราเต้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอินเดีย

31.ไพ่คิงโพธิ์แดงเป็นคิงคนเดียวที่ไม่มีหนวด ส่วนไพ่แจ๊คที่ไม่มีหนวดคือ แจ๊คดอกจิก

32.รหัสโทรศัพท์ของรัสเซียคือ 007

33.ประธานาธิบดีลินคอร์นมีเลขาชื่อเคนเนดี ส่วนประธานาธิบดีเคนเนดีมีเลขาชื่อลินคอร์น

34.ค่าโดเมนเนมที่แพงที่สุดคือ business.com มีราคา 7.5ล้านดอลล่าร์

35.กำไร 40% ของแมคโดนัลมาจากการขายชุดแฮปปี้มีล

36.แมคโดนัลเป็นผู้จัดจำหน่ายของเล่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก

37.ดิสนีย์แลนด์มีขนาดใหญ่กว่าประเทศที่เล็กที่สุดในโลก 5 ประเทศรวมกัน

38.เจ้าของดิสนีย์แลนด์กลัวหนู

39.โดนัลดั๊กถูกแบนในประเทศฟินแลนด์เพราะไม่ได้ใส่กางเกงในโทมัส
Share:

เรื่องเล่าจากมช.

ในมช มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีเยอะมาก โดยเฉพาะผีในหอพัก เนื่องจาก หอพักของ มช สร้างขึ้นมานาน จึงมีประวัติ ตำนานได้เล่าขานสืบทอดกันมายาวนาน
เมื่อวาน มีน้องคนหนึ่งอยากฟังเรื่องผีในมช เราเลยถือโอกาสเล่าผ่านบอร์ด เลยแล้วกัน เอามาแค่เรื่องหนึ่งจากเป็นสิบๆ เรื่องที่เราได้ยินมาแล้วกัน แต่ออกตัวก่อนว่า ไม่รู้จะเล่าได้น่ากลัวไหม

กระจกผี
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหอพักหญิง เมื่อนานมาแล้ว หอไหนจำไม่ได้ มีผู้หญิง 2 คน เป็นเมทกัน คนนึงเป็นคนกลัวผี อีกคนนึงเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีเท่าไร

คืนหนึ่ง เพื่อนคนที่กลัวผีไปอาบน้ำ แล้วมาแต่งตัว หยิบหวีมาหวีผมของตัวเองอยู่ในห้อง ส่วนเพื่อนเมทอีกคนกำลังหลับอยู่ ขณะนั้นที่กำลังหวีผมอยู่แล้วจ้องมองไปที่กระจก เพื่อนคนนั้นก็ได้เห็นผู้หญิงอีกคนนึงที่ไม่ใช่เมทตัวเอง อยู่ในกระจก ตำแหน่งด้านหลังของเธอ เพื่อนคนนั้นตกใจมากร้องกรี๊ดจนเพื่อนเมทตื่นขึ้นมา

เพื่อนเมทที่ตกใจตื่นมา ถามเพื่อนว่าเป็นอะไร เพื่อนที่เจอผีบอกว่ากำลังหวีผมอยู่ดีๆ ก็เจอผู้หญิงใครก็ไม่รู้อยู่ในกระจกด้วย แต่เพื่อนคนนี้คิดว่าเพื่อนเธอตาฝาดไปเอง เพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้เท่าไร แต่ก็ปลอบใจเพื่อนหญิงที่เจอ แล้วชวนไปนอนด้วยกัน

ผ่านไปซักพักหนึ่ง เพื่อนที่ไม่ได้เจอ ตื่นขึ้นมา แล้วมองไปที่กระจกบานนั้น ที่เพื่อนตัวเองเจอผู้หญิงโผล่ในกระจก ด้วยความสงสัยและอยากทดลอง เธอจึงไปยืนตรงหน้ากระจกแล้วหยิบหวีมาหวีผมของตัวเอง

เธอหวีอยู่อย่างนั้น ก็ไม่เห็นเจออะไรเลย !!!!!!!!!!!!!!
เธอจึงกลับไปนอน
รุ่งเช้ามา เธอตื่นขึ้นมาเห็นกระจกบานนั้นหายไป จึงแปลกใจและได้ เล่าให้เพื่อนหญิงที่เจอผีในกระจกว่า เมื่อคืนเธอได้ลองหวีผมแล้งส่องกระจกบานนั้นดู ก็ไม่เห็นมีอะไร
แต่เพื่อนผู้หญิงที่เจอเมื่อคืนถึงกลับตะลึง อ้าปากค้าง ด้วยความกลัวสุดขีด เพื่อนสงสัยจึงถาม เพื่อนผู้หญิงจึงเล่าให้ฟังในที่สุดว่า

เมื่อคืน ตอนที่เธอกับเพื่อนไปนอนนั้น เธอ (เพื่อนหญิงที่เจอ) แอบไปหยิบเอากระจกบานนั้นไปทิ้งแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกระจกในห้องให้ส่องอีกแล้ว !!!!!!!!!!!!!!!!!
Share:

เรื่องราวของบ้านพักกับเสาตกน้ำมัน**

เรื่องนี้เราไม่ได้ประสบมาเองเพาะตอนนั้นเรายังไม่ ทันเกิด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่ของเราเล่าให้เราฟังอีกที คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ที่บ้านพักหลังหนึ่งของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ (เราไม่ขอบอกนะว่าที่ไหน) ตอนนั้นพ่อของเราที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ย้ายไปทำงานที่นั้นแล้วได้ไป พักที่บ้านพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น
ขนาดนั้นแม่เราซึ่งกำลังตั้งท้องพี่ชายของเรานั้น ก็ได้ย้ายตามพ่อเราไปอยู่ที่บ้านพักหลังนั้นด้วย ซึ่งบ้านหลังนั้นมีเสาตกน้ำมันอยู่ที่ห้อง ห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสองของบ้านแม่เราก็ไม่ได้อะไรมากก็อยู่ปกติแต่แม่เรา บอกว่าเวลาอยู่บ้านคนเดียวแม่เรารู้สึกแปลก ๆ
บางทีก็เหมือนมีคนมองอยู่ตลอดเวลา บางที่ก๊เหมือนมีคนเดินอยู่ในบ้านซึ่งในบ้านมีแม่เราอยู่แค่คนเดียวแล้วก็มี อยู่วันหนึ่ง วันนั้นรุ่นน้องพ่อเราซึ่งก็ทำงานป่าไม้เหมือนกันมาดูงานที่เขตที่พ่อเราทำ งานอยู่
พ่อเราก็เลยชวนรุ่นน้องของพ่อมาค้างที่บ้านพักของพ่อเพาะพ่อเราเห็นว่า ถ้าจะไปพักที่อื่นมันก็ไกลจากเขตที่รุ่นน้องพ่อเค้ามาดูงานแล้วเค้าก๊มาค้าง แค่คืนเดียวคงไม่มีปัญหา รุ่นน้องพ่อเค้าก็เห็นด้วยเลยมาพักที่บ้านของพ่อเรา
พอ่เราก็เลยชวนรุ่นน้องดื่มกันเพาะเห็นว่าไม่ได้เจอกันนานเลยมาสังสรรค์ กันหน่อย ตอนนั้นประมาณตี 1 ตี 2 ได้พ่อเรากับรุ่นน้องของพ่อเราก็เลยพากันไปอาบน้ำนอนกันพอพ่อเรานอนไปก็ไม่ ได้รู้เรื่องอะไรเพาะว่าเมา พอตอนประมาณสักตี 3 กว่า ๆ
แม่เราเกิดปวดปัสสะวะเลยลงมาเข้าห้องน้ำด้านล่าง พอแม่เราเข้าห้องน้ำอยู่แม่เราก็เห็นเป็นเงาคนเดินไปเดินมาตรงหน้าประตูห้อง น้ำ (ที่เห็นเพราะแม่เราไม่ได้ปิดประตูห้องน้ำสนิทแค่แง้ม ๆ ไว้เฉย ๆ เพาะว่าถ้าเกิดลื่นล้มจะได้มีคนมาช่วยได้) แม่เราก็นึงว่าเป็นพ่อเราแม่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร
พอแม่เราเข้าห้องน้ำเสร็จแม่เราก็ขึ้นไปนอนแต่แม่เราก็เห็นพ่อเรานอนอยู่ ในห้องก็สงสัยขึ้นมาว่าแล้วมะกี้ใครหละที่อยู่ตรงหน้าห้องน้ำแต่เป็นเพาะตอน นั้นแม่เราง่วงมาเลยไม่ค่อยได้สนใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่แต่พอแม่เรากำลัง จะนอนอยู่ ๆ
ก็มีเสียงเอะอะเคาะประตูห้องนอนของพ่อกับแม่เราแม่เราก็เลยออกไปดูปรากฏ ว่าเป็นรุ่นน้องของพ่อเราที่มาเคาะประตูแม่เราบอกว่าตอนนั้นรุ่นน้องพ่อเรา คนนั้นทำหน้าตาตื่นมาก ๆ เหมือนหนีอะไรมาแม่เราก็เลยถามเค้าว่ามีอะไรหรอมาเคาะห้องดึก ๆ ดื่น ๆ
เค้าก็พูดแต่ว่าไม่ไหวแล้วไม่ไหวแล้วอยู่ไม่ไหวแล้ว แม่เราก็ถามว่าเป็นอะไรเค้าก็ไม่พูดเค้าบอกว่าเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังตอนเช้า แต่เค้าก็บอกให้แม่เราเรียกรถให้หน่อยเค้าจะไปนอนโรงแรมในตัวเมืองเค้าอยู่ ไม่ไหวแล้วแม่เราก็เลยโทรไปบอกลูกน้องพ่อเราที่สำนักงานให้เอารถมารับรุ่น น้องพ่อเราไปส่งในตัวอ.เมือง
เพาะเขตที่พอเราทำงานอยู่นั้นอยู่อีกอำเภอนึงที่อยู่ติด ๆ กับอ.เมืองพอวันรุ่นขึ้น (เช้านั้นแหละ 555') ก่อนจะกับรุ่นน้องพ่อเราก็แวะมาคุยกับพ่อเราแล้วพ่อเราก็ถามเค้าว่า "ทำไมเมื่อคืนออกไปนอนที่โรงแรมหละเห็นแม่เค้าเล่าให้ฟัง"
รุ่นน้องพ่อเราก็เลยเล่าให้พ่อเรากับแม่เราฟังว่าเมื่อคืนพออาบน้ำเส็ด แล้วเข้ามานอนในห้องนั้นก็นอนไปได้สักพักก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผู้หญิง คนนึงอยู่ในห้องนั้นรุ่นน้องพ่อเราคนนั้นเค้าบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ สวยมาก ๆ
เค้าบอกว่าจะมาขอนอนด้วยได้มั้ย ด้วยความที่รุ่นน้องพ่อเราเมาแล้วผู้หญิงคนนั้นก็สวยมาก ๆ ก็เลยตอบตกลงว่าได้ ๆ พอผู้หญิงคนนั้นเข้ามานอนข้าง ๆ รุ่นน้องพ่อเราเค้าก็ถามรุ่นน้องพ่อเราว่า "กินเหล้าหรอ" รุ่นน้องพ่อเราก็ตอบว่า "อื้ม ใช่พอดีสังสรรค์กันนิดหน่อย" อยู่ ๆ
เสียงของผู้หญิงคนนั้นก็พูดขึ้นมาน้ำเสียงเหมือนโกรธจัดว่า "รู้มั้ยว่าฉันไม่ชอบคนกินเหล้าเมายามันเหม็น" แล้วหน้าผู้หญิงคนนั้นก็แปลเปลี่ยนจากใบหน้าที่สวยงามไปเป็นใบหน้าที่แก่ แล้วก็เหี่ยวมาก ๆ
รุ่นน้องพอเราก็ตกใจมากแล้วก็รีบวิ่งมาเคาะประตูห้องนอนพ่อแม่เราเค้า บอกว่าตอนนั้นเค้ารู้สึกกลัวมากกลัวสุดขีดเพราะตั้งแต่เกิดมาเค้ายังไม่เคย เจออะไรอย่างงี้มาก่อน พอเล่าจบรุ่นน้องพ่อเราก็รีบล่ำลาพ่อเราแล้วก็ขึ้นรถกลับบ้านไป
แม่เราก็เลยรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีชอบมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นจึงไปนิมนต์พระในวัดแถวนั้นมาทำพิธีขึ้นบ้านใหม่เพราะเค้าบอกว่า ตั้งแต่สร้างบ้านนี้มายังไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ที่มาพักคนไหนทำพิธีขึ้นบ้าน ใหม่สักครั้ง
แล้วจากคำบอกเล่าของแม่เราที่ได้เล่าให้พระท่านฟังท่านก็เลยลองนั่งสมาธิ ดูแล้วท่านก็ถามว่า"บ้านนี้มีเสาตกน้ำมันอยู่ใช่มั้ย ?" แม่เราเลยบอกว่าใช่ แล้วพระท่านก็บอกว่าที่เสามีนางไม้สิงอยู่แต่แม่เราไม่เคยทำบุญให้เค้าเลย เพาะแม่เราไม่รู้ว่ามีนางไม้สิงอยู่
พระท่านก็เลยบอกว่าให้เอาพวกเสื้อผ้าสวย ๆ กับเครื่องสำอางไปถวายเค้าเค้าจะได้ปกป้องคุ้มครองเรา แล้วให้ทำบุญให้เค้าบ่อย ๆ ตั้งแต่นั้นมาแม่เราก็ทำตามที่พระท่านบอกตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีเรื่องราว ประหลาด ๆ แบบนี้เกิดขึ้นอีกเลย
ตอนนี้เราพ่อแม่และพี่ชายได้ย้ายมาอยู่ที่อีกจังหวัดนึงแล้วพ่อเราเคยพา เราไปทำธุระที่แถวบ้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่พ่อเราเคยอยู่นั้นตอนนี้บ้านหลัง นั้นไม่มีคนอยู่แล้วแล้วก็ถูกปล่อยให้ร้างไปแล้ว เรื่องราวของเราอาจจะยาวไปหน่อยแต่ก็ขอบคุณที่ท่านผู้อ่านอ่านจนจบนะฮะ
Share:

หาดผีสิง!!

คุณ ยุทธ สามย่าน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่หาดแม่รำพึง

เมื่อราวสองปีก่อน ผมไปเที่ยวระยองตามคำชวนของเพื่อนชื่อสมชัยที่ทำงานธนาคารอยู่บ้านฉาง ได้ไปเที่ยวบ้านแกลง อนุสาวรีย์สุนทรภู่ สวนสน ชายหาดสวยงามหลายแห่ง เช่น หาดทรายปากน้ำเมืองระยอง หาดแม่พิมพ์ หาดบ้านเพที่ลงเรือข้ามไปเกาะเสม็ดได้

เพื่อนเล่าว่าเกาะเสม็ดนั้น ชาวบ้านเรียกกันว่าเกาะแก้วพิสดาร ที่เป็นฉากในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี

หาดแม่รำพึงชื่อดังมากในเรื่องผีดุ เชื่อว่าเป็นหาดผีสิง หรือหาดกินคน!

สาเหตุเพราะมีคนจมน้ำตายทุกปี บางปีก็หลายคน โดยธรรมชาติก็คือ คลื่นลมแรง กับพื้นทรายใต้น้ำยุบลงเป็นแอ่งลึก แม้จะเล่นน้ำตื้นๆ ก็อาจหลุดลงไปในแอ่งมรณะได้ง่ายดาย

หลายๆ คนอาจทะลึ่งตัวขึ้นมาได้ทัน แต่หลายคนก็ชะตาขาด เมื่อโผล่ขึ้นมาจะโดนคลื่นลูกโตๆ โหมซัดจนจมหายลงไปใต้น้ำ ขาดใจตายกลายเป็นผีเฝ้าหาดมานับไม่ถ้วน...เหตุนี้เองจึงเรียกว่าหาดผีดุ หาดกินคน!

เชื่อกันว่าคนที่ตายซับตายซ้อน วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่นั่น เรียกว่าผีน้ำบ้าง พรายทะเลบ้าง คอยเรียกคนชะตาขาดไปอยู่ด้วยกัน บ้างก็เชื่อว่าเมื่อเอาชีวิตคนอื่นได้ตัวเองก็จะได้ไปผุดไปเกิด แต่บ้างก็เชื่อว่ามีผีเจ้าถิ่นดุร้ายมาก คอยคร่าวิญญาณดวงใหม่ๆ เพื่อเอาไปเป็นบริวาร

สมชัยเล่าว่ามีคนโดนผีหลอกหลายคนมาเล่าให้ฟัง ว่าเห็นเดินวนเวียนอยู่ตามชายหาดตอนกลางคืน พอเห็นหน้าดำมะเมื่อม นัยน์ตาแดงจ้าราวถ่านไฟก็รู้ว่าเป็นผีเจ้าถิ่นแน่นอน

ไม่ว่าใครที่เห็นภาพสยองขวัญก็ล้วนแต่แผดร้องโหยหวน ออกวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตกันทั้งนั้น บางคนถึงกับสลบคาที่ บางคนก็จับไข้เพ้อคลั่งไปหลายวัน

วันสุดท้ายที่ระยอง เพื่อนก็พาผมไปเที่ยวหาดแม่รำพึง

ตอนสายวันอาทิตย์มีผู้คนคึกคัก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย นักท่องเที่ยวขวักไขว่หนาตา บ้างก็เดินเล่นกันบ้าง หยุดชมวิวและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันบ้าง สายลมพัดโชยไม่ขาดระยะ ชายหาดกว้างขวางร่มรื่น ดูแล้วน่าสบายใจมากกว่าน่ากลัว

ผมเห็นผู้คนลงไปเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างสนุก หนุ่มสาวสาดน้ำใส่กันเสียงหัวเราะร่าเริงดังอยู่ตลอดเวลา

สมชัยเล่าว่าช่วงนี้ไม่ใช่หน้ามรสุม คลื่นลมสงบ ถือว่าปลอดภัยสำหรับคนที่จะลงไปเล่นน้ำ แม้จะมีป้ายบอกให้ระวังอันตรายก็ตาม เพราะถ้ามีคลื่นลมแรงจะปักธงสีแดงไว้เตือนภัยและห้ามลงเล่นน้ำด้วย

เมื่อนึกถึงภาพชายหาดตอนกลางคืนคงเปล่าเปลี่ยวน่าดู คนที่ต้องไปหาหอยหาปูต้องใจกล้าพอสมควร ได้ข่าวว่ามีคนถูกผีหลอกจังๆ หลายราย ทำให้ต้องไปกันเป็นกลุ่มพอให้อุ่นใจ หรือไม่ก็เลิกไปเดินท่อมๆ ที่ชายหาดอีกแล้ว เพราะไม่อยากเสี่ยงกับการขวัญหนีดีฝ่อโดยใช่เหตุ

ทันใดนั้นเอง เสียงผู้หญิงหวีดร้องก็ดังก้องไปทั้งชายหาด คนอื่นๆ หันขวับไปด้วยความตกใจ

ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน!

นั่นคือ ชายคนหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำใกล้ๆ หาด สองมือชูว่อนขอความช่วยเหลือ นัยน์ตาเหลือกลานบอกความหวาดกลัวสุดขีด ก่อนจะจมวูบลงไปในคลื่นลูกใหญ่ที่โหมซัดบัดดล

ชายหนุ่มสองคนนุ่งกางเกงอาบน้ำยืนอยู่บนหาด รีบพุ่งตัวลงน้ำเข้าไปช่วยเหลือทันที ขณะที่คนอื่นๆ ก็วิ่งเข้าดูด้วยความตื่นเต้น ผู้หญิงสูงอายุสอง-สามคนถึงกับเป็นลมไปด้วยความตกใจกลัวสุดขีด

เราวิ่งเข้าไปดูด้วยใจเต้นระทึก เกือบพร้อมๆ กับที่ชายทั้งสองช่วยกันลากคนจมน้ำขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล แล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่หรา หอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหน็ดเหนื่อยตื่นเต้นทั้งสามคน

ท่ามกลางไทยมุงที่ถามกันแซดว่าเกิดอะไรขึ้น? ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า? เล่นน้ำตื้นๆ คลื่นก็ไม่แรง คงจะหลุดลงไปในแอ่งมรณะที่เป็นกับดัก ทะลึ่งตัวขึ้นมาโดนคลื่นลูกโตๆ ซ้ำเติม...ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการกลืนกินชีวิตผู้คนมาแล้วมากมายอย่างแน่นอน

...ชายหนุ่มที่รอดตายอย่างหวุดหวิดลุกขึ้นมาเสยผม มองเห็นไหล่กว้างอกกำยำ เล่าว่าพวกเขาทั้งสามคนมาจากกรุงเทพฯ ว่ายน้ำแข็ง และไม่ได้เท้าหลุดพื้นแน่นอน

เขากลืนน้ำลาย ก่อนจะเล่าต่อด้วยเสียงแหบเครือ

"ผมยืนอยู่ในน้ำตื้นๆ เหนือเอวขึ้นมานิดหน่อย กำลังกวักมือเรียกเพื่อนให้ลงมาเล่นน้ำด้วยกัน จู่ๆ ก็มีอะไรไม่รู้มาพันขา แล้วดึงวูบจนผมจมดิ่งลงไปเลย...มันคล้ายกับมือคนจริงๆ"

เสียงผู้หญิงวี้ดว้าย บางคนก็ยกมือปิดปาก...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในน้ำแม้แต่คนเดียว เสียงคลื่นลมสาดซ่าฟังเผินๆ เหมือนมีใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะเย้ยหยันมาจากใต้ทะเล ฟังแล้วขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเลยครับ
Share:

วันปล่อยผี

"สมศรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยนามบัญญัติ

ถึงแม้ว่าภาพสยองขวัญวันนั้นจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่มันก็ติดตาติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ!

สมัยก่อน ตรอกนามบัญญัติที่ถนนประชาธิปไตยใกล้ๆกับวัดมกุฏฯ ยังเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว แม้ว่าเข้าไปราว 100 เมตรจะเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านเล็กเรือน น้อยอยู่ติดๆ กันก็จริง แต่เมื่อเลี้ยวขวาจะไปออกทางด้านหลังวัดอินทร์ จะมีที่รกร้างรอบๆ บึงที่มีต้นอ้อกอพงรกทึบ

ตอนเย็นๆมักจะมีเด็กท่อมๆไปหาปลากัดบ้าง ช้อนลูกน้ำบ้าง...พอตกค่ำก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ

ผู้คนในซอยนั้นมักเป็นข้าราชการ หรือไม่ก็ทำงานบริษัทห้างร้าน คนที่อยู่บ้านก็มักหาลำไพ่ด้วยการรับจ้างกะเทาะเม็ดบัวบ้าง ฟั่นธูปบ้าง...ตอนนั้นมีบ้านที่ยึดอาชีพฟั่นธูปขายหลายบ้าน ส่วนมากจะส่งเจ้าประจำที่ปากคลองตลาดเกือบทั้งหมด

ดิฉันเป็นหลานป้ากิมไล้ที่เป็นม่ายสามีตายมาหลายปีแล้ว อยู่เกือบกลางซอยเป็นบ้านไม้สองชั้น ตอนเช้าๆ จะ มีลูกจ้างฟั่นธูปมาจากบ้านในซอยเดียวกันบ้าง มาจากเทเวศร์ บ้าง ชื่อน้าสมรกับน้าบังอรและน้าเดือน...ดิฉันเองชื่อสมศรีค่ะ

นึกถึงชื่อสมัยนั้นถือว่าเก๋มากนะคะ แต่มาสมัยนี้แทบจะหาคนชื่อแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว...ถือว่าตามยุคตามสมัยก็แล้วกัน!

บ้านป้ากิมไล้น่ะอะไรๆ ก็ดีหมด ชั้นล่างหน้าห้องดิฉันเป็นที่นั่งฟั่นธูปแล้วปักม้าไม้ที่เจาะรูเอาไว้หลาย สิบ พอธูปเต็มม้าดิฉันก็มีหน้าที่ยกไปตากแดด อาหารการกินมีพร้อม ก๋วยเตี๋ยวหมูที่เจ๊กเตี้ยหาบมาขายตอนบ่ายๆก็อร่อยมาก ...ชามละบาทเดียวเอง

...เสียอย่างเดียวที่ชั้นบนอันเป็นห้องนอนของป้ากิมไล้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ ถูก แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างและประตูไปสู่ระเบียงแคบๆ หน้าบ้าน...สาเหตุมาจากรูปถ่ายของอาก๋งที่อยู่บนหิ้งข้างฝานั่นเองค่ะ!

รูปถ่ายบานใหญ่ของเตี่ยป้ากิมไล้คล้ายจะจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายาวเรียว หนวดเฟิ้มแทบจะปิดริมฝีปาก นัยน์ตาดุมาก มองเห็นทีไรเล่นเอาดิฉันเสียวสันหลังทุกครั้ง...ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยอมขึ้นไป ชั้นบนเด็ดขาด

วันเกิดเหตุ ตอนบ่ายแก่ๆ มีฝนพรำแต่ก็เป็นอุปสรรคอย่างแรงสำหรับคนทำอาชีพฟั่นธูป เพราะไม่มีแสงแดดก็ต้องหยุดงาน...หลังจากตั้งโต๊ะผึ่งลมไว้ในบ้าน

แม้ฝนหยุดแต่แดดไม่ออกก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ได้แต่นั่งคุยกันแก้รำคาญไปเท่านั้น...

พอดีเจ๊กเตี้ยมาตั้งหาบที่หน้าบ้านตรงข้ามพอดี!

ลูกค้ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยืนเกาะหาบกินก็มี เอาชามมาใส่ไปกินที่บ้านก็มี...ป้ากิมไล้บอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง...สั่งมากินกันเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาล้างชาม!

เสร็พสรรพป้ากิมไล้ก็เรียกเจ๊กเตี้ยมาเก็บเงิน สั่งให้ดิฉันขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ชั้นบน...ดิฉันกลัวเจ๊กเตี้ยจะรอก็วิ่ง ขึ้นบันไดไปทันที ก่อนจะหยุดชะงักที่กลางห้อง

กลิ่นควันธูปลอยกรุ่นมากระทบจมูก อากาศเย็นเฉียบจนดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ที่ท้ายทอย หันขวับไปเงยหน้ามองรูปเตี่ยป้ากิมไล้บนหิ้งข้างฝาเหมือนมีอะไรดลใจ...ผงะ หน้าด้วยความตกตะลึงในพริบตานั่นเอง

คุณพระช่วย!ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนตายไปหลายต่อหลายชาติเต็มที!

ใบหน้าผอมซูบคล้ายมีแต่กระดูกในรูปนั้นเคยเห็นแต่หน้าตรง บัดนี้กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนคนที่มีชีวิตจิตใจ ...หันมามองดิฉันช้าๆ นัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งจนกระทั่งกลายเป็นใบหน้าด้านข้าง ปากที่คลุมด้วยหนวดดกหนาอ้าเผยอส่งเสียงออกมาว่า...เข้ามาในห้องข้าทำไม?

ดิฉันกรีดร้องเหมือนคนบ้า รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ กระโจนออกจากห้องลงบันได แทบจะชนกับป้ากิมไล้ที่วิ่งมาดู...ดิฉันโผเข้ากอดป้าแล้วร้องไห้โฮ... เพิ่งรู้ว่าวันนั้นตรงกับวันพระใหญ่ ซึ่งเขาถือว่าเป็นวันปล่อยผีค่ะ!
Share: