วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พระพุทธไตรรัตนนายก(หลวงพ่อโต) วัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา


วัดพนัญเชิงวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ตำบลคลองสวนพลู เป็นวัดที่มีมาแต่โบราณ ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่จากหนังสือพงศาวดารเหนือ กล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ขอพระธิดากรุงจีน มาอภิเษกด้วย ขณะที่พระนางสร้อยดอกหมาก เดินทางมาถึงบริเวณหน้าวัด พระเจ้าสายน้ำผึ้งมาปลูกพลับพลารออยู่ ได้ส่งทหารไปเชิญพระนางขึ้นมาที่พลับพลา พระนางสร้อยดอกหมาก น้อยใจที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่มารับด้วยพระองค์เอง จึงกลั้นใจตาย พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เสียพระทัยมาก จึงสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึก แด่พระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพระนางเชิง" ในพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐกล่าวว่า แรกสถาปนาวัด ได้มีการสร้างพระพุทธรูป เมื่อปี พ.ศ. 1867 คือก่อนพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา 26 ปี เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 14 เมตรเศษ สูง 19 เมตร พระพุทะรูปองค์นี้ ชาวจีนนับถือมาก เรียกว่า "ซำปอกง" แปลว่า รัตนตรัย คนไทยทั่วไป เรียก "หลวงพ่อโต" หรือ "หลวงพ่อพนัญเชิง" เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ลงรักปิดทองในสมัยอู่ทอง

องค์หลวงพ่อได้รับการบูรณะซ่อมแซมตลอดมา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และรัชกาลที่ 4 ทำการซ่อมแซมใหม่ทั้งองค์ แล้วถวายพระนามว่า "พระพุทธไตรรัตนายก"

สมัยรัชกาลที่ 7 ได้เปลี่ยนพระอุณาโลมเดิมมาเป็น ทองคำหนัก 47 บาท ในปี พ.ศ. 2472
ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า "เมื่อกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่า ครั้งที่ 2 พระพุทธรูปองค์นี้ มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง" มีผู้นับถือกันมากจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ที่เจ็บป่วย จะถวายให้เป็นลูกของหลวงพ่อแล้วจะหายป่วยไข้ หรือไม่ก็จุดธูปเทียนอธิฐาน ขอให้หลวงพ่อคุ่มครองรักษา บารมีของหลวงพ่อจะแผ่มาปกป้องคุ้มครองรักษาให้

นอกจากนี้บริเวณด้านข้างวิหารหลวงพ่อโต ติดริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก เป็นที่ตั้งศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากเป็นอาคารแบบเก๋งจีน มีพระรูปเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ประดิษฐานอยู่บนชั้นสองของศาล ให้ทุกคนแวะเวียนไปไหว้กันด้วย

บริเวณด้านหน้าพระวิหาร หลวงพ่อโต มีพระอุโบสถ ที่ภายในมีสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง คือ พระพุทธรูป ประดิษฐานเรียงรายอยู่ 5 องค์ องค์กลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่อยู่ด้านซ้าย และองค์ที่อยู่ด้านขวาของพระประธาน คือ พระพุทธรูปทองคำ และนาค สมัยสุโขทัย
ปัจจุบัน ที่วัดนี้กลางเดือนสิบ จะมีงานทิ้งกระจาด และ งานนมัสการประจำปี

ประวัติหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง(ซำปอกง)
หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง พระพุทธไตรรัตนนายก จ.พระนครศรีอยุธยา ตาม"ประวัติหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง"สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1867 หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย
พระพุทธไตรรัตนนายก เรียกกันเป็นสามัญว่า หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง (ซำปอกง)ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดพนัญเชิง ริมฝั่งแม่น้ำป่าสัก ตรงข้ามกับมุมตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมืองอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ตามพระศาวดารกล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1867 ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสร้างกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี 26 ปี ตอนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาได้บูรณะซ่อมแซมให้อยู่ใน สภาพดีมาโดยตลอด กล่าวกันว่าเมื่อคราวจะเสียกรุงศรีอยุธยาได้ปรากฎมีน้ำพระเนตรไหลออกมาจาก พระเนตรทั้งสองข้างเป็นที่อัศจรรย์

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงบูรณะองค์พระพุทธรูปใหม่ทั้งองค์และถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนายก ชาวจีน ซึ่งขนานนามหลวงพ่อโต องค์นี้ว่าซำปอกง

ตำนานหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง กล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ทรงสร้างขึ้น ณ บริเวณที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก ส่วนที่มาของคำว่าพนัญเชิงนั้น ตามตำนานมูลศาสนากล่าวว่าเป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า พะแนงเชิง ซึ่งแปลว่า การนั่งพับเพียบ ซึ่งเป็นอาการที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมากใช้ในวาระสุดท้าย ของเรื่อง นอกจากนั้น จากการวิเคราะห์ศัพท์ที่ใกล้เคียงพบว่า คำว่าพะแนงเชิง ทางภาษาปักษ์ใต้หมายถึงอาการนั่งแบบขัดสมาธิ

หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตักกว้างประมาณ 20 เมตร สูง 19 เมตร เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไปมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน ซึ่งขนานนามหลวงพ่อโต องค์นี้ว่าซำปอกง ประวัติพระพุทธรูปที่สำคัญของไทย พระพุทธรูปปางต่างๆ

วัดพนัญเชิงวรวิหาร พระนครศรีอยุธยา
วัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นที่ประดิษฐานของ “หลวงพ่อโต” หรือ “พระพุทธไตรัตนนายก” พระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัย ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีหน้าตักกว้างกว่า 14 เมตร สูงกว่า 19เมตร ซึ่งได้รับความนับถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เป็นที่เคารพสักการะของขาวไทย และจีนอย่างกว้างขวาง

วัดพนัญเชิงวรวิหารนั้นไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด มีเพียงที่ปรากฏในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่า มีการสถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง หรือหลวงพ่อโตแห่งวัดพนัญเขิงนี้ขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 1867 ซึ่งเป็นเวลาก่อนหน้าการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง 26 ปี โดยปรากฏตำนานการสร้างวัดว่าเจ้าชายสายน้ำผึ้งเป็นผู้ทรงโปรดให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระนางสร้อยดอกหมาก หลังจากที่พระนางได้กลั้นพระทัยจนสิ้นชีพลงในเรือสำเภาที่ลอยอยู่หน้าวัดแห่งนี้ด้วยความน้อยพระทัย และสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเมื่อเสร็จพิธีปลงพระศพพระนางแล้ว มีผู้สันนิษฐานกันว่าวัดแห่งนี้มาจากคำว่า “พระนางเอาเชิง” ขณะที่มีความเชื่ออีกแนวทางหนึ่งว่ามาจาก “พแนงเชิง” ซึ่งหมายถึงนั่งขัดสมาธิ ด้วยหลวงพ่อโตองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิงนั้น ในพงศาวดารกล่าวว่าก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียทีแก่ข้าศึกนั้น องค์หลวงพ่อโตมีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้างเป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น หรือ หรือไม่ในช่วงสงครามโลกนั้นก็มีตำนานว่าท่านได้ปัดป้องระเบิดให้ชาวอยุธยาอยู่รอดปลอดภัย โดยหลวงพ่อโตนั้นเป็นที่เคารพสักการะ ทั้งในหมู่ชาวไทย รวมทั้งชาวจีนที่พากันเรียกขานองค์หลวงพ่อโตนี้ว่า “หลวงพ่อซำปอกง”
หลวงพ่อโตนั้นได้รับการบูรณะมาหลายรัชสมัย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบุรณะองค์พระพุทธรูปใหม่ทั้งองค์ และถวายนามว่าพระพุทธไตรรัตนนายก ตั้งแต่นั้นมา ถือเป็นพระพุทธรูปที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 600 ปี
สถานที่ตั้ง
ริมแม่น้ำป่าสัก ต. คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ความเชื่อและวิธีการบูชา
ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตเป็นที่กล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่าหากทำการค้าขายใดๆ แล้วมาตั้งอธิษฐานจิตต่อหน้าหลวงพ่อ จะทำให้ซื้อง่าย ขายคล่อง การค้าร่ำรวย และการงานรุ่งเรือง ถ้ามีเด็กเล็กที่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย นำมาถวายให้เป็นลูกของหลวงพ่อ หรือจุดธูปเทียนอธิษฐาน บารมีของท่านจะปกป้องคุ้มครองช่วยให้หายวันหายคืน ส่วนใหญ่นิยมบนบานด้วยการถวายผ้าห่มหลวงพ่อโต ซึ่งเชื่อว่าท่านจะอวยพรให้สัมฤทธิผลดังใจหมาย
คาถาบูชาพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) วัดพนัญเชิง

(ท่องนะโม 3 จบ) อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ ทุติยัมปิ อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ ตะตะยัมปิ อิมินา สักกาเรนะ พุทธัน อะภิปูชยามิ

เทศกาล งานประเพณี
งานประเพณีทิ้งกระจาดจัดเป็นประจำทุกปี ในช่วงกลางเดือน 7 ของจีน หรือตรงกับเดือน 9 ของไทย(ประมาณเดือนสิงหาคม ถึงต้อนเดือนกันยายน) เพื่อทำบุญตามตามคติความเชื่อของชาวจีน และอุทิศส่วนกุศลให้แก่ภูตผีที่ไม่มีญาติทั้งหลาย ซึ่งจะออกมารับส่วนบุญบนโลกมนุษย์ปีละครั้ง ก่อนกลับไปรับผลกรรมที่เคยสร้างไว้เมื่อคราวเป็นมนุษย์
Share:

พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร


ประวัติพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ที่ 34 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงวัดอรุณฯ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ มีพระปรางค์เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหมาะสมเป็นวัดประจำรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงได้รับการยกย่องจากองค์กรศึกษาวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ให้ทรงเป็นบุคคลผู้สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของโลก

พระปรางค์ ที่สูงสง่าเป็นหน้าเป็นตาของกรุงเทพฯ องค์นี้ เดิมสูงเพียง 8 วา หรือประมาณ 16 เมตรเท่านั้น แต่พระปรางค์ที่เห็นกันในปัจจุบันนี้ได้มีการต่อเติมขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พระปรางค์องค์ที่บูรณะใหม่นี้มีขนาดความสูงถึง 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1 คืบ กับอีก 1 นิ้ว หรือประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ องค์พระปรางค์ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามมาก

พระปรางค์วัดอรุณฯ ตั้งอยู่หน้าวัดทางทิศใต้ หลังโบสถ์น้อยและวิหารน้อย เดิมสูง 8 วา หรือประมาณ 16 เมตรเท่านั้น เป็นปูชนียวัตถุที่สร้างขึ้นพร้อมกับโบสถ์และวิหารน้อย ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 โปรดให้เสริมสร้างพระปรางค์สูงถึง 1 เส้น 1 คืบ 1 นิ้ว และล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศและมณฑปทิศ ปรางค์ทิศเป็นปรางค์องค์เล็กๆ อยู่ทิศละองค์ คือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้

ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ฝีมือของช่างในสมัยก่อนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ในการสร้างพระปรางค์องค์สูงใหญ่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ และยังคงแข็งแรงมาจนตราบถึงทุกวันนี้ได้

นอกจากความสวยงาม นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินขึ้นไปชมบนยอดพระปรางค์ได้อีกด้วย สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบวัด มองเห็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดไปจนถึงฝั่งพระนคร อย่างไรก็ดี บันไดขึ้นยอดพระปรางค์มีความชันสูงมาก จำต้องระวังในการเดินให้ดี อาจพลัดตกลงมาได้รับบาดเจ็บ

นอกจากพระปรางค์วัดอรุณฯ ใครที่มาถึงวัดอรุณแล้วก็ควรต้องแวะไปกราบนมัสการ พระพุทธรูปสำคัญศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชน ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดอรุณฯ มีความงดงาม ไม่แพ้พระอารามหลวงที่ไหนๆ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"

พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุโลหะผสมทอง ขนาดหน้าตัก 3 ศอกคืบ หรือ 1.75 เมตร ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์

พระประธานองค์นี้ เล่าขานกันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง

พระพุทธรูปองค์นี้ เดิมยังไม่มีพระนาม ประดิษฐานบนฐานชุกชี โปรดให้หล่อพัดแฉกใหญ่ตั้งไว้เบื้องพระพักตร์เช่นเดียวกับพระพุทธเทวปฏิมากร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

ในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บรรจุในพระบรมอาสน์ ตกแต่งผ้าทิพย์ประดับลายพระราช ลัญจกรเป็นรูปครุฑ แล้วถวายพระนาม พระพุทธรูปองค์นี้ ว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"

ในรัชกาลที่ 5 ไฟไหม้พระอุโบสถวัดอรุณฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปบัญชาการดับไฟด้วยพระองค์เอง อัญเชิญพระบรมอัฐิออก จากนั้นบูรณปฏิสังขรณ์ให้มั่นคงแข็งแรง แล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิคืนดังเดิม

สิ่งที่น่าสนใจของวัดอรุณฯ ยังมีอีกมาก อาทิ ภายในพระอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของครูคงแป๊ะและครูทองอยู่ ช่างเขียนจิตร กรรมฝีมือชั้นครู พระอรุณหรือพระแจ้ง พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์
Share:

ประวัติหลวงพ่อวัดน้ำรอบ วัดโคกกลอย จ.พังงา


ประวัติหลวงพ่อวัดน้ำรอบ วัดโคกกลอย จ.พังงา "หลวงพ่อวัดน้ำรอบ" เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานภายในมณฑปวัดไตรมารคสถิต (วัดโคกกลอย) อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา หลวงพ่อวัดน้ำรอบ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย วัสดุปูนปั้นปิดทอง ขนาดหน้าตักกว้าง 98 เซนติเมตร สูง 146 เซนติเมตร

หลวงพ่อวัดน้ำรอบ เดิมเป็นพระพุทธรูปมีแต่เศียร และเดิมทีประดิษฐานอยู่ที่วัดน้ำรอบ (โรงเรียนวัดไตรมารคสถิตปัจจุบัน) เป็นที่เคารพสักการบูชาของคนทั่วไปในยุคนั้น

ต่อมาเกิดเหตุภัยธรรมชาติ เศียรหลวงพ่อถูกดินทับถม ผ่านไปหลายสิบปี วันหนึ่งเกิดฝนตกหนัก น้ำได้พัดพาหน้าดินออกไป เกตุของหลวงพ่อจึงโผล่ขึ้นมา เด็กที่ไปเลี้ยงควายไม่ทราบว่าเป็นอะไร ได้เอาเชือกไปผูกไว้กับเกตุหลวงพ่อ ตกเย็นเด็กคนนั้นเกิดไม่สบายโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ต่อมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มาบอกกล่าวตักเตือนให้พ่อเด็กได้รับรู้ จึงไปขอขมา เด็กก็หายเป็นปกติ

เมื่อทุกคนทราบว่าเป็นเศียรของหลวงพ่อ พระและชาวบ้านจึงช่วยกันขุดขึ้นมา จากนั้นได้หาช่างมาปั้นองค์หลวงพ่อ

ตามประวัติระบุไว้ว่า เศียรหลวงพ่อกับองค์หลวงพ่อถูกปั้นขึ้นมาคนละยุคสมัย สำหรับเศียรนั้นเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย ส่วนองค์ก็น่าจะถูกปั้นขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ดูแล้วเศียรจะโตกว่ารูปร่าง

ชาวบ้านในยุคนั้นนิยมบนบานศาลกล่าวหลวงพ่อวัดน้ำรอบมี 2 วิธี คือ 1.บนบานมุงหลังคา (หลังคามุงจากคล้ายเพิงข้าว) 2.บนบานห่มผ้าขาวม้าสีแดง

ได้มีเรื่องเล่าด้วยว่า มีคนจีนซึ่งขนสินค้าจากบ้าน ท่าเรือ จ.ภูเก็ต ไปอำเภอท้ายเหมือง มีความศรัทธาต่อหลวงพ่อวัดน้ำรอบอย่างมาก เมื่อผ่านหน้าวัดจะแวะจุดประทัดทุกครั้ง การบนบานหลวงพ่อจึงมีเพิ่มอีกวิธีหนึ่ง คือ จุดประทัด

ปัจจุบันการบนบานหลวงพ่อวัดน้ำรอบ วัดโคกกลอยมีอยู่ 3 วิธี คือ จุดประทัด ห่มผ้าและปิดทอง

ก่อนที่หลวงพ่อวัดน้ำรอบจะมาประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรมารคสถิต เดิมที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดน้ำรอบ ต่อมาวัดได้ทรุดโทรมมากและกลายเป็นวัดร้าง ท่านพระครูอ๋อง เจ้าอาวาสวัดไตรมารคสถิต รุ่นที่ 5 ได้ชักชวนชาวบ้านอาราธนาหลวงพ่อไปอยู่ที่วัดปากช่อง หมู่ 3 ต.โคกกลอย

แต่เมื่อขบวนแห่องค์หลวงพ่อผ่านถึงประตูวัดไตรมารคสถิต ทางทิศตะวันตก ไม้คานที่ใช้หามมาเกิดหัก ไม่สามารถจะหามต่อได้ ชาวบ้านทุกคนในขบวนนั้นต่างลงความเห็นว่าหลวงพ่อวัดน้ำรอบไม่ประสงค์ไปอยู่ วัดปากช่อง ท่านต้องการอยู่วัดไตรมารคสถิต จึงอาราธนา หลวงพ่อวัดน้ำรอบประดิษฐานอยู่วัดไตรมารคสถิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลวงพ่อวัดน้ำรอบมีอภินิหารมากมาย ผู้มีศรัทธาในองค์หลวงพ่อก็มักจะบนบานให้หลวงพ่อช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ เช่น การเดินทาง การประกอบการค้า มีชาวบ้านหลายคนเล่าให้ฟังว่า หากนิมนต์หลวงพ่อวัดน้ำรอบให้คุ้มครองในการเดินทาง จะทำให้เดินทางโดยปลอดภัย หากเกิดอุบัติเหตุก็มักจะผ่อนหนักเป็นเบา

ในบันทึกประวัติพระพุทธรูปยังมีเรื่องเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อวัดน้ำรอบ ไว้ อีกเรื่องหนึ่งว่า เมื่อปี พ.ศ.2521 ตำบลโคกกลอยขณะนั้นมีการดำแร่บริเวณบ้านนาใต้ จะมีคนต่างถิ่นมากมายมาประกอบอาชีพ วันนั้นมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 20 ปีเศษ สักเสือเผ่นที่หน้าอก ได้นั่งขัดสมาธิหลับตานิ่งต่อหน้าองค์หลวงพ่อในอุโบสถ เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที ชายคนนั้นมีอาการคล้ายเสือ ได้ตะกรุยเสื่อหน้าองค์หลวงพ่อจนเสื่อขาดกระจุย

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ชายคนนั้นก็ได้สงบนิ่ง แต่ทำอย่างไรก็ไม่ฟื้น ชาวบ้านที่พบเห็นจึงเอาน้ำมนต์หลวงพ่อประพรมที่ร่างของชายคนนั้น พร้อมทั้งกล่าวคำขอโทษต่อองค์หลวงพ่อที่แสดงอาการไม่เหมาะสม ปรากฏว่าชายผู้นั้นค่อยรู้สึกตัว เมื่อฟื้นขึ้นมาเป็นปกติได้บูชาผ้ายันต์หลวงพ่อวัดน้ำรอบ



มีชาวบ้านหลายคนได้ถามชายผู้นั้นด้วยความสงสัยว่า "เกิดอะไรขึ้น" ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไร พูดแต่เพียงว่า "หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มาก" พระพุทธรูปที่สำคัญของไทย พระพุทธรูปปางต่างๆ
Share:

ประวัติคาถา ความหมายของคาถา และ พระคาถาต่างๆ

ประวัติคาถาและความเป็นมาของ พระคาถา: คาถา ความหมายของคำว่า “คาถา”และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบัน ประวัติ คาถา และความเป็นมาของ พระคาถาต่างๆ การใช้ คาถา ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากการสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3 (ตติยสังคายนา) แล้ว พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียเริ่มร่วงโรยลง และต่อมาได้ย้ายไปประดิษฐานในลังกา ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียสมัยนั้น ได้ผสมผสาน กันมา จนเกิดมีลัทธิ พุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้คาถา-อาคม พระคาถา)เกิดขึ้น อีกลัทธิหนึ่ง

ศาสนาพราหมณ์ในขณะนั้น มีความมั่นคงเลื่อมใสในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์"คาถา"เป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพณ์ต่างๆแม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะพระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็น ปาฏิหาริย์ไว้ 2 อย่าง คือ

1. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์

2. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์ถึงกับ พระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่อง พระโมคคัลลานะ เถระไว้เป็น ยอดของพระภิกษุที่ทรงอิทธิฤทธิ์ หากแต่ พระองค์ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์เท่ากับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์

การใช้เวทมนตร์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดบนฐาน แห่ง วิปัสสนาญาณถึงแม้หาก ว่าปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูงไม่เกินฌานสมาบัติก็ตามกระนั้นก็สามารถที่จะแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิของตน เช่น พระเทวทัตต์หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอก็ยังสามารถบิดเบือน แปลงกายกระทำอวด ให้อชาตศัตรูกุมารหลงใหลเลื่อมใสได้

ส่วนอารมณ์ของรูปฌานนั้น ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ โดยเฉพาะ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตามนั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น

เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา พระคาถาและการทำสมาธิแบบนี้ ได้เจริญ แพร่หลาย มากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่งสั่งสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ ของพราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์นั้นออกเสีย บรรจุพระพุทธมนต์ แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยังเรืองอานุภาพถึงอย่างนี้ ถ้าหากว่า เป็นพุทธมนต์ คงจะยิ่งกว่าเป็นแน่
ฉะนั้นในการใช้เวทมนตร์คาถาที่พวกเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันทุกวันนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธมนต์ที่ท่าน โบราณาจารย์ดัดแปลง แก้ไขเลียนแบบอย่างวิธีทางลัทธิไสยศาสตร์เดิมมาเท่านั้นหาใช่เป็นลัทธิไสยศาสตร์ ของพราหมณ์ดังที่บางท่านเข้าใจกันไม่

การรวบรวมคัมภีร์พระเวทพระคาถา อย่างจริงจังเกิดขึ้นในสมัย เจ้าพระคุณพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ แต่เมื่อครั้ง ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสัจจญาณมุนีอยู่นั้นพระคุณท่านเป็น ผู้สนใจในศาสตร์ ประเภทนี้อยู่มาก จึงได้พยายามรวบรวมขึ้นไว้จากสรรพตำราต่างๆ ส่วนมากเป็นของ สมเด็จ พระสังฆราช (แพ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของท่าน อันได้รับสืบต่อมาจาก สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านได้ตั้ง ปณิธานที่จะให้วิชาเหล่านี้ได้เผยแพร่ต่อไปเพราะเกรงว่าจะสาบสูญเสียหมด

ในการรวบรวมคัมภีร์พระเวท พระคาถาต่างๆเหล่านี้ข้อความบางแห่งพอที่จะมี ต้นฉบับสอบทาน ก็ได้จัดการ สอบทานแก้ไข ให้ถูกต้อง ตามต้นฉบับเดิม ซึ่งได้คัดลอกสืบต่อกันมา แต่ก็ยังมีอักขระพระคาถา เนื้อมนต์นั้นบางทีก็มีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง สำหรับบทที่หาต้นฉบับ สอบทานไม่ได้ ก็คงไว้ ตามรูปเดิม ซึ่งถ้าหากได้ผ่านสายตาท่าน ผู้รู้ทั้งหลายก็ได้โปรดกรุณา แก้ไขต่อเติมเสีย ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้เป็นตำราที่ถูกต้องบริบูรณ์ ดุจต้นฉบับ ของเดิมเพื่อเป็นการเทิดทูน วิทยาการอันประเสริฐ รวมทั้งได้ดำรงคงอยู่เป็นแนวศึกษาของชั้นหลังสืบต่อไป

ความหมายของคาถา และ เวทมนต์คาถา
ความหมายของคำว่า “คาถา” พระคาถา และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบันการใช้ "คาถา" ให้มีความศักดิ์สิทธิ์ คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต ในนี้จะมีบท คาถาต่างๆ ทั้ง คาถาชินบัญชร คาถาทางเมตตามหานิยม คาถาทางคงกระพันชาตรี คาถาแคล้วคลาด คาถาแผ่ส่วนกุศล คาถาแผ่เมตตา คาถากันของไม่ดี หัวใจพระคาถาต่างๆ คาถาบูชาเทพเจ้า คาถาบูชาพระพุทธรูปต่างๆ ซึ่งคาถาต่างๆเป็นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ สมัยก่อนคนจะใช้คาถาต่างๆได้สัมฤทธิผลกันมากเนื่องจากมีความเชื่อความศรัทธาและสัจจะเป็นสำคัญ ส่วนการท่องหรือตัวอักษรอักขระการออกเสียงต่างๆ อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำคัญอยู่ที่ความมั่นใจและตั้งมั่นมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆแค่ บทสวดมนต์ต่างๆ การออกเสียงในส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ก็ต่างกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันละ ก็เพราะความตั้งมั่น ไม่สงสัยในครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมา

เวทมนต์คาถาใดๆ ก็ตามถ้าหากว่าเราจะต้องท่องให้จำได้ ก็จะต้องทำใจให้บริสุทธิ์ อาบน้ำชำระล้างสิ่งโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องได้ง่ายจำได้แม่น แล้วก็กราบตำรานั้น 3 ครั้ง ต่อจากนั้นก็เปิดขึ้นมาท่องจำ หนังสือนั้นอย่าเหยียบอย่าข้าม อย่านั่งทับหรือนอนทับ ขณะท่องอย่านอนหลับให้หนังสือทับคาอก จะทำให้ปัญญาเสื่อม

เมื่อจะท่องหรือจะใช้พระคาถาใด ๆ ทุก ๆ พระคาถา จะต้องตั้ง นะโม 3 จบก่อน

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ความหมายของคำว่า คาถา
แต่คาถาและวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบัน ยังมีนัยอีกหลายประการนัยแรกตรงกับความหมายของพระเวท ใช้อ้อนวอนเซ่นสรวงบูชาและขอพรอำนาจแม้แต่การเชื่อว่าเป็นรหัสที่ได้รับจาก เทพเจ้าเป็นพิชอักขระมีความหมายในตัวเองต้องท่องบ่นให้ถูกต้องทุกคำ ห้ามแก้ไขการเรียนควรเรียนจากปากเพื่อรักษาสำเนียงโบราณไว้ ซึ่งทำให้คาถาเพี้ยนอยู่ทุกวันนี้นัยที่สองเป็นสิ่งลึกลับ มีอำนาจและมีตัวตน ใช้ได้เหมือนเครื่องมือสำเร็จรูปคาถาเมตตา คาถามหาเสน่ห์ บริกรรมภาวนาแล้วเมตตา คาถาทรหดบริกรรมภาวนาแล้วอยู่คงคาถาทั้งปวงมีอาถรรพณ์ เรียนแล้วไม่เจริญ มีพลังสร้างโทษแก่ผู้ใช้ได้สามารถสูบตัวตนของอาคมได้ คล้ายกับตำนานอสูรสูบพระเวทของพระพรหมตอนหลับแผลงฤทธิ์วุ่นวายจนพระนารายณ์ ต้องอวตารไปปราบ เกิดเป็นคำว่าอาคมเข้าตัว (เข้าหัวใจเข้าสมอง) เป็นที่เกรงกลัวกันมากสำหรับคนเรียนคาถายุคใหม่ สับสนกับคำว่าของถ้าเข้าตัวแล้วจะทำให้อายุสั้น บ้าใบ้วิกลจริต ตาบอดฉิบหายตายโหง คล้ายกับผิดครู ซึ่งโบราณนั้นต้องการให้อาคมเข้าตัวอย่างที่สุดก่อนทำการใดๆ ท่านให้เรียกอาคม เรียกอักขระเข้าตัวก่อนเรียนวิชาต้องเรียนจนกว่าอาคมเข้าหนัง เนื้อ และกระดูกไม่มีใครเลยที่กลัวอาคมเข้าตัว แต่กลัวผิดครูถ้าใช้คาถาแล้วฉิบหายตายโหงทันตาแสดงว่าผู้เรียนนั้นใช้คาถา ไปในทางเลวอย่างแน่นอนเพราะกรรมไม่ใช่เพราะตัวอาคม การเรียกอาคมเข้าตัวนี้สนับสนุนว่า อาคม หมายถึงวิชาความรู้ แต่การสูบอาคมหรือคัดทิ้งแท้จริงเป็นการสูบปราณหรือลดพลังปราณคุ้มครองตัว ของฝ่ายตรงข้ามการจะทำได้ต้องมีปราณที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันเป็นอย่างน้อย (ให้ศึกษาบทความเรื่องจิตและกายทิพย์) การให้โทษต่อสุขภาพร่างกายของปราณอย่างที่เรียกว่าอาคมเข้าตัวนั้นเกิดจาก การที่ปราณแตกกระจายหรือถูกกระแทกโดยปราณของผู้อื่นอย่างรุนแรงการกระทำ ย่ำยี การคัดของก็ใช้หลักการเดียวกันนี้

แรกเริ่มของการเรียนไสยศาสตร์ทั่วไปจะได้รับคาถาไหว้ครูบทไม่ยาวนักเพื่อ ฝึกความจำ จากนั้นจะได้รับคาถายาวขึ้น จนกระทั่งถึงโองการและแม่บทคัมภีร์ต่างๆ เมื่อเข้าใจเรื่องการใช้ภูต ปราณ และจิต อย่างคล่องแคล่วแล้วคาถาไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่อาจจะมีความเคยชินว่าในการใช้พลังจิตต้องมีคาถาบูรพาจารย์มักยกคาถา สั้นๆมาใช้ ดังคำว่าสูงสุดคืนสู่สามัญจากกระบวนท่าเป็นไร้กระบวนท่า คาถาที่ได้รับตอนแรกเรียนเช่น พุทโธ นะมะพะทะนะโมพุทธายะ ฯลฯจึงเป็นคาถาที่บูรพาจารย์นำกลับมาใช้แสดงฤทธิ์จนเลื่องลือถึงทุกวันนี้ เคยพบหลายท่านที่คล่องแคล่วในการวางอารมณ์และถ่ายปราณไม่ได้ใช้คาถาใดในการ แสดงวิชาเลย

เมื่อเข้าใจว่าการใช้คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต ในตนสร้างความเชื่อมั่น และโน้มน้าวจิตตามวัตถุประสงค์ เราจะพบเห็นการแปลงคาถา เช่นสวาหะ แปลงเป็นสวาหาย สวาหับ สวาโหม ฯลฯ การนำคำพ้องเสียงมาใช้โดยไม่สนใจความหมายเช่น อุทธังอัทโธ แปลว่า เบื้องล่างเบื้องบน นำมาใช้ในวิชามหาอุด เป็นต้นดังนั้นหลักใหญ่ของการใช้คาถาคือความสม่ำเสมอของอารมณ์ในขณะนั้น( ไม่ใช่ความนิ่งไร้อารมณ์)ความเชื่อมั่นไร้ความลังเลสงสัยในกระแสทั้งสามและ อำนาจของกระแสจิตในตนคาถาทั้งปวงจะขลังหรือไม่ขึ้นอยู่กับอุปาทานข้อนี้ และ ๑.อำนาจสัจจะ๒.อำนาจคุณพระและ ๓.อำนาจเคราะห์กรรม (พึงศึกษาบทความเรื่องคุณพระต่อไป)การใช้คาถาทั้งปวงเมื่อเข้าถึงคุณพระได้ ย่อมเกิดอานุภาพความยาวและความยากของภาษาที่ใช้มีผลต่อการเข้าถึงคุณพระพอ สมควรดังนั้นควรเลือกบทที่ชอบ จิตเกาะได้ดี อารมณ์สม่ำเสมอ หรือเกิดปีติ
Share:

มีดหมอ อันดับ1 มีดเทพศาสตราวุธ

มีดหมอ มีดเทพศาสตราวุธด้ามนี้เป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของ ช่างไข่ เป็นแบบมีดสองกษัตริย์ ลวดลายสกุลช่างเป็นมีดของหลวงพ่อเดิมโดยแท้ ตามประวัติ มีดหมอที่หลวงพ่อเดิมท่านสร้างไว้มี ๒ ขนาด มีดหมอขนาดใหญ่ เรียกว่า มีดควาญช้าง ขนาดเล็กลงมาเรียกว่า มีดหมอปากกา ใช้พกพาติดตัวได้
หลวงพ่อเดิม ท่านได้เริ่มสร้าง มีดหมอ มาตั้งแต่ปี ๒๔๕๖ บ้างก็ว่า สร้างราวๆ ปี ๒๔๖๐ ก็แล้วแต่ตำราแต่ละเล่มที่ค้นคว้าหาหลักฐานมาได้ คงไม่ได้ต่างกันมากนัก

ในสมัยแรกๆ ศิษย์แต่ละคนต่างว่าจ้างช่างทำกันเอง แล้วเอามาให้หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ลงจารอักขระ และปลุกเสกให้ต่อมามีคนสนใจมากขึ้น ทางวัดก็ได้ได้จ้างช่างชาวอำเภอพยุหะคีรี ให้ตีมีดส่งวัดโดยตรง

ช่างตีมีดมีหลายคน อาทิ ช่างไข่ ช่างฉิม ช่างสอน ช่างแม้น โดยจะเน้นแกะสลักใบมีด เป็นลายต่างๆ เช่น ลายเทพพนม ลายนาคเกี้ยว ลายน่องสิงห์ ลายกระหนกผีเสื้อ และ ลายเสมาใบโพธิ์ มีดหมอหลวงพ่อเดิม ที่ท่านสร้างนั้น ได้ออกแบบใช้งานอื่นด้วย สำหรับชาวบ้านในยุคนั้น คือ มีดใหญ่ใช้ควาญช้าง บังคับช้างให้เชื่องเพราะ ว่ากันว่า หลวงพ่อเดิม ท่านชำนาญวิชาคชสาร ใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ รวมทั้งฟันหาสมุนไพรในป่า ฯลฯ

นอกจากนั้นในฐานะของ ของขลังต้องก็ถือว่า มีดหมอ หรือ มีดเทพศาสตราวุธ เป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอด เพราะ ใช้ป้องกันคุณไสย กำบังศัตรู ขับไล่ภูตผีปีศาจ ป้องกันอสรพิษเขี้ยวงาได้เป็นอย่างดี เรียกว่าใช้ได้สารพัดสรรพคุณ

และเชื่อกันว่า มีดหมอหลวงพ่อเดิม ยังมีอานุภาพพุทธคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี รวมทั้งสามารถเสริมสร้างบารมี เป็นมหามงคลแก่ผู้ที่มีไว้สักการบูชาอีกด้วย

สรุปก็คือ มีดหมอหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ มีคุณวิเศษครอบจักรวาลเลยทีเดียว

การปลุกเสกมีดหมอ เมื่อช่างตีด้ามมีด และปลอกมีดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อจะบรรจุแผ่นโลหะชิ้นเล็กๆ ที่ได้ลงเหล็กจารอักขระยันต์ต่างๆ ไว้แล้ว หรือแผ่นตะกรุด รวมทั้งผงวิเศษ และเส้นผมของท่าน เข้าไปในแกนกลางของด้ามมีดเทพศาสตราวุธ จากนั้นจึงให้ช่างตีเข้าด้ามให้แน่น แล้วรวบรวมมีดหมอทั้งหมดที่ช่างสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้หลวงพ่อปลุกเสกพร้อมๆ กันอีกครั้งหนึ่ง

คุณวิเศษในมีดเทพศาสตราวุธ ที่ผ่านการบรรจุวัตถุธาตุมงคล คาถาอาคม ที่ลงไว้กับพลังปราณอันบริสุทธิ์ของหลวงพ่อเดิม ทำให้มีดหมอของท่านมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง นับเป็นวัตถุมงคลชนิดเครื่องรางของขลัง ตระกูล "มีดหมอ" อันดับหนึ่งของเมืองไทย ที่โด่งดังมานานปี

ในระยะหลัง ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเดิม มีมากขึ้นความต้องการ มีดหมอ ก็มีมากขึ้นด้วย ทำให้ท่านต้องปลุกเสกให้คราวละมากๆ โดยไม่ได้บรรจุแผ่นทอง ตะกรุด ผงวิเศษ หรือเสันผม เอาไว้เหมือนกับ มีดหมอรุ่นแรกๆ แต่หลวงพ่อได้ให้ตอก อักขระยันต์ที่ปลอกรัดด้ามมีดแทนแล้ว จากนั้นหลวงพ่อจะปลุกเสกให้ เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

การพิจารณา มีดหมอหลวงพ่อเดิมของแท้ ก่อนอื่นจะต้องพิจารณา ความเก่า ชนิดของเหล็กใบมีด ความเก่าของด้ามงา ฝักไม้ แผ่นรัดด้าม และปลอกมีด ส่วนใหญ่ ปลอกมีดจะเป็นแผ่นเงิน มีจำนวนน้อยที่เป็น แผ่นนาก หรือ สามกษัตริย์ อันดับต่อมาต้องพิจารณาที่ สีของใบมีด จะต้องมีความเก่า ออกขาวอมเหลืองเล็กน้อย ไม่ขาวมันวาวเหมือนของใหม่ และเนื่องจากคนสมัยก่อนส่วนใหญ่มักจะใช้ มีดหมอหลวงพ่อเดิมในงานต่างๆ ประเภทมีดอเนกประสงค์

ฉะนั้น ใบมีด จึงมักจะขึ้นสนิม มีสนิมกัดกร่อน มีรูพรุนเล็กๆ มีสนิมขุมเกิดเองตามธรรมชาติ และแผ่กระจายตัวทั่วไป จะไม่มีความเรียบร้อย ราบเรียบสวยงามมันวาวแต่ประการใด นอกจากนี้ มีดหมอของปลอม บางด้ามจะสร้างภาพให้ดูเหมือนกับเป็นของเก่า โดยเอาน้ำยาเคมีมากัดใบมีดให้เกิดเป็นสนิม เป็นปื้นใหญ่ๆ หรือเป็นด่างๆ โดยเจตนาทำขึ้น รอยด่างหรือสนิม จึงไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนกับของแท้ หากพิจารณาบ่อยๆ และนำมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ในส่วนของ ลวดลายที่แกะสลักบนใบมีดและด้ามมีดนั้น ของแท้ จะเป็นการแกะลายเส้นทีละน้อย และใช้วิธีการ ตอกลาย บนใบมีด ส่วนของปลอมของเลียนแบบ มักใช้วิธีเจียรลายติดกันเป็นพืดๆ ของแท้จะมีความละเอียด อ่อนช้อย งดงามประณีตมาก

คราวนี้มาถึงเรื่อง งาช้าง ที่เอามาทำด้ามมีด จะมีความฉ่ำ ผิวงามันใส มีโทนสีอ่อนแก่ ขึ้นกับงาช้างที่นำมาทำ และจะมี ความเก่า เป็นธรรมชาติมาก ของเลียนแบบทำใหม่ งาช้างจะไม่ฉ่ำ ดูด้านๆ และเนื้องาจะสดใสดูเป็นงาใหม่

ขณะเดียวกัน ฝีมือช่างแกะ ก็เป็นส่วนสำคัญ คนที่ชำนาญในการดู มีดหมอหลวงพ่อเดิม จะบอกได้เลยว่า มีดหมอด้ามไหน เป็นฝีมือช่างคนไหน ชื่ออะไร เพราะช่างที่แกะสลักแต่ละคนจะมีฝีมือที่แตกต่างกัน ลายแกะ น้ำหนักมือที่แกะสลักจะหนักเบาไม่เท่ากัน ช่างแต่ละคนจะรู้การตอกลายบนใบมีด ลายถักของวงรัดด้ามมีด และปลอกมีด ไม่เหมือนกันทั้งหมด จุดนี้ก็มีส่วนสำคัญในการพิจารณา มีดหมอของแท้ ได้เช่นกัน

มีดเทพศาสตราวุธหลวงพ่อเดิม นับเป็นวัตถุมงคล ที่น่าใจมาก นอกจากเป็นวัตถุโบราณที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธคุณครอบจักรวาล ยังถือได้ว่าเป็น งานศิลปะชั้นสูง ที่เกิดมาจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เป็นคนไทยแท้ๆ มาแต่โบราณกาล แต่ปัญหาก็คือ คนที่มีโอกาสได้ครอบครอง ของแท้ มีน้อยกว่าคนที่ได้ครอบครองของปลอม สำหรับ มีดด้ามหลวงพ่อเดิม ด้ามนี้เป็น ของแท้ดูง่าย และยังสภาพสวยมากทีเดียวเป็นมีดหมอฝีมือของ ช่างไข่ ที่วงการนี้รู้จักกันดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีดหมดหลวงพ่อเดิม มีดเทพศาสตราวุธด้ามนี้ ได้ผ่านการพิจารณามาแล้วจากเซียนพระสายหลวงพ่อเดิมตรงโดย อีกท่านยังมีกรรมการสมาคมพระฯ ได้ตรวจสอบมาแล้วหลายท่านด้วยกัน...จึงอาจจะพูดได้ว่าเป็น มีดหมอหลวงพ่อเดิม ด้ามครูที่ดูเป็นตัวอย่างได้เลย
มีดหมอหลวงปู่เขียว วัดห้วยเงาะ
Share:

น้ำมันจันทร์เพ็ญมหาเสน่ห์ว่าน ๑๐๘


น้ำมันจันทร์เพ็ญมหาเสน่ห์ว่าน ๑๐๘

ในช่วงแสวงหาวิชาจากคณาจารย์ (ประมาณปี ๒๕๐๐ ) หลวงปู่บุญ โสภโณ วัดทุ่งเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี มีโอกาสขึ้นไปทางภาคเหนือเพื่อเรียนวิชาศาสตร์ล้านนาโบราณ ครั้งนั้นได้เรียนวิชากับหลวงปู่แสน พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงแห่งวัดท่าแหน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง หลวงปู่แสนได้ประสิทธิวิชาการหุงการปลุกเสกสีผึ้งและน้ำมันมนตรามหานิยมมหาเสน่ห์ตามศาสตร์โบราณสายล้านนานั้นโด่งดังทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม

หลวงปู่บุญได้ศึกษาศาสตร์ล้านนาทั้งการหุงสีผึ้ง หุงน้ำมัน การทำเทียนสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา รับโชค พร้อมทั้งรวบรวมมวลสาร สมุนไพร ไม้มงคลเพื่อนำมาจัดสร้างวัตถุมงคล

จากความรู้ที่ได้ศึกษามาประกอบกับหลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง ท่านมีความชำนาญด้านว่านสมุนไพร ไม้มงคล หลวงปู่บุญจึงได้หุงน้ำมันว่านน้ำมันมนต์จนดังกระหึ่มไปทั่วด้วยสรรพคุณอันยอดเยี่ยมปรากฏจริง น้ำมันที่หลวงปู่หุงและปลุกเสกเป็นที่เลื่องลือฮามาตลอด ผู้ที่เคยใช้จะได้รับผลดีทวีโชค น้ำมันของหลวงปู่บุญจึงเป็นที่นิยมของพ่อค้าแม่ขาย นักเจรจา ผู้ต้องการเสริมเสน่ห์ เสริมสิริมงคล ผูกรัก สมัครงาน เข้าพบผู้ใหญ่ ฯลฯ

พิธีกรรมหุงน้ำมันนั้นหลวงปู่บุญเน้นสามประการสำคัญคือ

หนึ่ง ว่านและน้ำมันต้องครบสูตร ว่านต้องมีครบร้อยแปดชนิด นำมาตำและหมักด้วยน้ำมันแก้วบริสุทธิ์

สอง การหุงและปลุกเสกต้องครบศาสตร์ เช่นไม้ฟืนก็ต้องเป็นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคล ต้องมีการเจิมลงยันต์กะทะด้วยอักขระเน้นด้านเมตตามหาเสน่ห์

สาม ต้องมีฤกษ์งามยามดีคือวันพระจันทร์เพ็ญเดือนสิบสอง เพื่อให้แสงจันทร์ที่มีความนุ่มนวลส่องประกายพลานุภาพมายังมณฑลพิธีตามดิถีฤกษ์

พิธีหุงน้ำมันครั้งล่าสุดมีขึ้นที่หน้าอุโบสถวัดทุ่งเหียง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เมื่อคืนวันพระจันทร์เพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปี ๒๕๕๓ หนึ่งปีมีครั้งเดียว โดยมีพระอาจารย์ทิน อินทโชโต เกจิผู้สืบสานวิทยาคมล้านนาซึ่งถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่บุญมาร่วมพิธี และมีอาจารย์อนันต์ นันทกุล ฆราวาส เจ้าพิธีผู้เจนจบศาสตร์โบราณมาเป็นผู้อ่านโองการบูชาฤกษ์หุงน้ำมันวันเพ็ญ ท่ามกลางเสียงสวดสาธยายมนต์ของพระสงฆ์เก้ารูปในอุโบสถ

สรรพคุณน้ำมันจันทร์เพ็ญมหาเสน่ห์ว่าน ๑๐๘ คือ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ผูกรักให้สมปรารถนา มหาละลวย สร้างความสำเร็จในการติดต่อเจรจาค้าขาย สมัครงาน เข้าหาผู้ใหญ่ มีพลังใจแข็งกล้า พูดจาให้เขาเชื่อเขาชม ด้วยแรงอำนาจศักดิ์สิทธิ์กฤติยาคมของว่านมหาเสน่ห์มหามงคล ๑๐๘และการปลุกเสกอันเข้มขลัง

น้ำมันจันทร์เพ็ญมหาเสน่ห์ว่าน ๑๐๘ ประกอบด้วยว่านมหามงคล๑๐๘ ชนิด ที่เลือกสรรมาจริง ๆ ตั้งแต่พญาว่า จ่าว่าน ครบตามศาสตร์ ๑๐๘ ชนิด อาทิ

ว่านสาริกาลิ้นทอง จัดเป็นว่านแห่งความเชื่อระดับแถวหน้ามีสรรพคุณดีทางด้านเสน่ห์มหานิยม สุดยอดมาก โดยนักเลงเจ้าชู้ในยุคสมัยก่อนนิยมนำเอาหัว “ว่านสาริกาลิ้นทอง” ไปหุงน้ำมันจันทน์ หรือนำไป แช่กับน้ำมันจันทน์ แล้วเสกด้วยคาถา “นะโมพุทธายะ” ให้ได้ครบจำนวน ๑๐๘ คาบ จากนั้นนำพกติดตัวประจำ เชื่อว่าเป็นยอดเสน่ห์มหานิยม ติดตาตรึงใจต่อเพศตรงกันข้าม บ้านเรือนอาศัย หรือร้านค้าร้านขายมี “ว่านสาริกาลิ้นทอง” ปลูกไว้จะช่วยให้มีเสน่ห์ มีคนไปมาหาสู่ไม่ขาด ค้าขายคล่อง นำไปสู่การมีเงินมีทองและอยู่ดีกินดี

ว่านสาวหลง เป็นว่าน ดี เด่น ดังทางมหานิยม บรรดาศิลปิน นักร้อง นักแสดง โฆษก นักเจรจา นักขายทั้งหลายควรมีไว้ติดตัว พ่อค้าแม่ค้ามีไว้จะช่วยให้ค้าขายราบรื่น มีลูกค้าไม่ขาดสาย ทำมาหากินคล่อง มีชื่อเสียง หญิงเห็นหญิงรัก ชายเห็นชายรัก

ว่านห้าร้อยนาง เป็นยอดว่านมหาเสน่ห์ หากใฝ่ใจจะหาคนรักก็ไม่ยาก

ว่านเสน่ห์จันทน์ อานุภาพของว่านนี้เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยมยิ่งนัก ค้าขายคล่อง เจรจาน่าเชื่อถือ

ว่านดอกทอง ชื่อของว่านก็แจ้งสรรพคุณให้ประจักษ์แล้วทุกสิ่ง

ว่านกระแจะจันทน์ ได้ชื่อว่าเป็นว่านสำหรับพ่อค้าแม่ขายโดยเฉพาะ จะจำหน่ายสินค้า หรือจะเข้าพบใครก็ตาม หากมีว่านนี้ติดตัวไปด้วยแล้ว จะทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเจราจาด้วยเกิดความพอใจ เข้าหาผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็รัก เข้าเจ้าเข้านายดีนักแล

ว่านเทพรัญจวน เป็นว่านที่ใช้ในเชิงเจ้าเสน่ห์ ผู้ที่อยู่ใกล้ได้ใจชวนถวิล แม้ในการค้าขายก็ซื้อง่ายขายคล่อง

ว่านมหาเสน่ห์ ด้วยอำนาจประหลาดของว่านมหาเสน่ห์นี้ จะทำให้บังเกิดอิทธิขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ผู้ที่ใส่ใจในเชิงมนุษย์สัมพันธ์ไม่ควรขาด แม้นมีติดตัวไว้จะไปหนใดก็ไม่เปลี่ยวใจเปลี่ยวใจ หากใช้ในยามเจรจาความก็เพิ่มความมั่นใจ หรือแตะน้ำมันที่เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับก็จะมีผู้นิยมชมชอบยิ่งนักแล

ว่านจูงนาง ชื่อของว่านได้บอกสรรพคุณอย่างชัดเช่นกัน

นอกจากว่านสุดยอดมหาเสน่ห์ ๑๐๘ อย่างข้างต้นแล้ว ส่วนผสมหลักที่สำคัญหนุนส่งให้บังเกิดฤทธานุภาพคือน้ำมันจันทน์ ( sandal wood ) อันเป็นน้ำมันหอมจากไม้จันทร์ธรรมชาติที่มีความสำคัญในการปรุงน้ำมันมหาเสน่ห์ มีกลิ่นหอมที่ดึงดูดใจ ( หลวงปู่บุญใช้น้ำมันจันทน์แท้ ๑๐๐ % จากอินเดีย ขวดย่อม ๆ ราคาก็หลายพันบาทไทย ใส่ไปหลายขวด )

น้ำมันว่านไก่แดง เป็นของวิเศษจากธรรมชาติ มีดีอยู่ในตัว เป็นเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ด้วยอำนาจของว่านไก่แดงนี้ มีเรื่องเล่าไว้ว่า ทาน้ำมันว่านไก่แดงที่หัวไก่ตัวหนึ่งแล้วปล่อยไปในหมู่บ้าน ปรากฎว่า ไก่ทั้งหมดในหมู่บ้าน จะตามไก่ตัวนั้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ น้ำมันว่านไก่แดงแรงฤทธิ์นี้จัดนำมาถวายโดยพระอาจารย์ภูไทย ปภากโร วัดเขาแก้วชัยมงคล

วิธีการใช้น้ำมันจันทร์เพ็ญมหาเสน่ห์ว่าน ๑๐๘

1 ใช้พกติดตัวเป็นเครื่องรางมหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม

2 ใช้เจิมหน้าฝาก (ด้วยนิ้วนางข้างขวา)

3 ใช้เจิมสินค้า ของที่นำมาจำหน่าย หรือโฉนดที่ดิน ใบหุ้น (ด้วยนิ้วชี้ด้านขวา)

4 ใช้เจิมกระเป๋าสตางค์ ที่เก็บเงิน ตู้เซฟ ตู้ขายสินค้า ป้ายร้านค้า (ด้วยนิ้วชี้ด้านขวา)

5. แตะใส่ฝ่ามือลูบผม ( ลูบจากหน้าผากขึ้นสามครั้ง)

6. ใช้ด้านมหาเสน่ห์ มหาหลง มหาละลวย

คาถา น้ำมันว่านเมตตามหาเสน่ห์ว่าน ๑๐๘ หลวงปู่บุญ โสภโณ วัดทุ่งเหียง

“ มะอะอุ พุทธะสังมิ นะชาลีติ ปิยังมะมะ ” ๓ ครั้ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานสิ่งที่พึงประสงค์ สิ่งที่ดีที่ควร
Share:

การลงนะหน้าทอง


ตอนที่ 1 การลงนะหน้าทอง

เป็น ศาสตร์ที่มีอำนาจสูงส่งทางด้านการส่งเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล รวมไปถึงเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ และโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ผู้ใดได้ลงนะหน้าทองถือ เป็นวาสนาแห่งบุคคลผู้นั้น ที่ไม่เคยมีใครรักก็กลับมามีคนเมตตารักใคร่ ที่ทำมาหากินไม่ดีก็กลับมาค้าขายดีมีกำไร ชีวิตที่อับเฉาก็จะไม่แห้งเหี่ยวอีกต่อไป จะบังเกิดสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิตพลิกชะตาจากที่ร้ายกลายเป็นดีอย่างไม่น่าเชื่อจะบังเกิดสิ่ง ที่ดี ๆ ขึ้นในชีวิต

ตอนที่ 2 วิชานะหน้าทองเป็นวิชาไสยศาสตร์ตามลัทธิพราหมณ์

สืบเนื่องมาจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ กล่าวคือ ภายในเรื่องรามเกียรติ์นั้นมี ?พระลักษณ์? ซึ่งมีรูปกายเป็นสีทอง มีศักดิ์เป็นน้องของพระราม พระลักษณ์นี้มีลักษณะ สง่างาม เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ด้วยคุณของพระลักษณ์ดังกล่าวมานี้ ในกาลต่อมาจึงได้ถือเป็นคติในการสร้างวิชาสายเมตตามหานิยม และมหาเสน่ห์ นะหน้าทองคือวิชาไสยศาสตร์ที่มีอำนาจ ทางเมตตามหานิยม จัดเป็นวิชาชั้นสูงที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธคุณ ไม่ใช่วิชาสายต่ำหรือมนต์ดำ

ตอนที่ 3 ที่เรียกว่านะหน้าทอง

เนื่อง จาก มีการใช้ทองคำเปลวบริสุทธิ์ (ถือว่าเป็นของสูง) มาลงที่ใบหน้าของผู้ที่ประสงค์ให้คนมีสง่าราศี ประกอบกับอักขระที่ลงนั้นมีสูตรการเรียกเฉพาะตนว่าตัวนะหน้าทอง และยันต์ที่ลงก็จะมีสูตรถือเป็นเคล็ดของครูบาอาจารย์แต่ละท่านจะไม่เหมือน กัน ใครสำเร็จยันต์ไหน ตัวนะอักขระตัวใดก็ลงตามที่ตนเชึ่ยวชาญ

ตอนที่ 4 (เหตุที่ต้องใช้ทองในการลง)

นะ หน้าทองนั้นเป็นวิชาโบราณที่มีการใช้ "ธาตุทอง" เป็นตัวลง การใช้ธาตุทองนั้นเนื่องจากธาตุทองเป็นธาตุที่มีความเป็นสิริหรือแสงสว่าง ภายในตัว โดยตามธรรมชาตินั้นธาตุทองจะซึมซับเอาสิริ หรือแสงสว่างจากพระอาทิตย์ และพระจันทร์ไว้ในตัว นอกจากนี้แล้วธาตุทอง ยังถือว่าเป็นสิ่งอันเป็นมงคลด้วย เพราะเป็นธาตุที่ถือว่าเป็นตัวแทนของความดี ความงาม ความสว่าง และนอกจากนี้ ทองคำยังเป็นธาตุที่ไม่มีวันเสื่อมคุณค่า ไม่ว่าจะโดนน้ำ โดนไฟ โดนลม ก็ไม่ทำให้เสื่อมคุณภาพ หรือคุณค่าในตัวเองลง เมื่อทองคำมีคุณค่าเช่นนี้ โบราณจารย์ จึงได้คิดค้นวิชานะหน้าทองขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ลง

ตอนที่ 5 (จุดที่ลงนะหน้าทอง)

โดยมากเรามักเห็นการลงนะหน้าทอง จะลงกันที่บริเวณหน้าผาก แต่ทั้งนี้การลงนะหน้าทองนั้นหากลงเต็มสูตรจริง ๆ จะมีตำแหน่งต่าง ๆ ดังนี้

1. หน้าผาก เป็นจุดใหญ่ที่สุดของใบหน้าและถือเป็นจุดที่สามารถเห็นเด่นชัด จุดนี้ถือว่าเป็นที่รวมของสิริบนใบหน้า และเป็นจุดสำคัญที่สุดในการลงนะหน้าทอง

2. เปลือกตา หรือใต้ตา จุดนี้เพื่อให้ยามที่ใครสบตาเรา หรือยามที่เรากระพริบตา ผู้ที่มองเราอยู่จะรู้สึกนึกรักและนิยมในตัวเรา

3. แก้ม เพื่อให้เป็นที่รัก การลงที่แก้มจะเรียกว่าวิชาพรหมสี่หน้า เป็นเมตตาอย่างประเสริฐ

4.กราม เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือยามพูด

5. ที่ติ่งหูสองด้าน เป็นที่สถิตของเทวดารักษาอายุ

6. ท้ายทอย เพื่อเป็นที่รักยามที่คนมองเราจากด้านหลัง

7. ลิ้น เรียกว่าสาลิกาลิ้นทอง เป็นวิชาลงทองที่มีสูตรเฉพาะแยกออกมาอีกสาขาหนึ่ง

8. กระหม่อม เป็นจุดเข้าออกของวิญญาณและปราณพลังชีวิต เป็นจุดศูนย์รวมของพลังชีวิตมนุษย์และเป็นที่สถิตของเทวดา

9. คาง เป็นส่วนที่ต่ำสุดของใบหน้า ลงจุดนี้เพื่อเป็นที่เคารพยำเกรง

แต่โดยมากการลงนะน้อยคนนักที่จะได้ลงครบสูตรตามนี้ ส่วนมากมักจะลงที่ หน้าผาก แก้ม คาง ก็เพียงพอแล้ว อาจจะไม่ใช่มาตรฐานตายตัว แต่ก็นับได้ว่าเป็นความรู้ เป็นศาสตร์และศิลป์ที่น่าสนใจ จึงนำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังต่อ ๆ กันไป
Share:

วิธีทำเสน่ห์ยาแฝด


ยาแฝด เป็นการทำเสน่ห์อย่างหนึ่งเพื่อให้คนบังเกิดความรักและ
ลุ่มหลงในตัวผู้กระทำ การทำเสน่ห์ทางไสยศาสตร์ของคนโบราณ
มีหลายวิธี แต่ที่เรียกว่าเสน่ห์ยาแฝดนี้
หมายถึงการทำเสน่ห์โดยทำยาผสมให้กิน เมื่อผู้ใดกินเข้าไปแล้ว
ก็จะบังเกิดความรักและโหยหาในตัวผู้กระทำ ถึงกับต้องมาหากันในทันใด
คนแต่ก่อนว่าไว้ ใครถูกยาแฝดถึงอยู่ไกลไม่เกินสามวัน
ถ้าอยู่ใกล้ไม่เกินชั่วหม้อข้าวเดือด
ย่อมทนอยู่มิได้ จะต้องมาหากันเป็นแน่แท

วิธีทำ

วิธีที่1
ยาแฝดเป็นความเชื่อโบราณ เมื่อกาลเวลาผ่านไปจึงค่อย ๆ สูญไปทีละน้อย ผู้รู้แต่ก่อนก็มักปกปิดไม่เปิดเผยเพราะเกรงจะมีผู้เอาไปทำแล้วเกิดบาปแก่ ตัวเอง แต่จากที่มีบันทึกไว้ในสมุดข่อยตกทอดมาถึงปัจจุบันพบว่า มีวิธีการทำหลายวิธี วิธีหนึ่งคือนำลูกสวาดมา ล้วงเอาไส้ข้างในออก แล้วให้ผู้กระทำลงไปอาบน้ำในอ่าง ขัดสีร่างกายให้ทั่ว แล้วรอให้น้ำตกตะกอน จากนั้นจึงรินน้ำออกช้อนเอาแต่ตะกอนคราบไคลในตัวมาจำนวนหนึ่งผสมกับชะมด พิมเสนและของหอม ยัดใส่ในลูกสวาดนั้นแล้วปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง แล้วจึงกลืนเข้าไปในท้อง เมื่อจะถ่ายอุจจาระให้คอยดูเมื่อถ่ายออกมาได้แล้วจึงนำลูกสวาดนั้นมาชำระ ล้างแล้วเอาเผาไฟให้ไหม้ เสกด้วยคาถาแล้วใส่ให้ผู้ที่เราปรารถนากินเข้าไปจะรักเราจนวันตาย ตัวยาที่ใช้ทำยาแฝดมีหลายอย่าง บางตำรับให้ใช้ลูกลำโพงบ้าง หรือไคลกลางใจมือใจเท้าทั้งสองข้าง เลือดจากหน้าอก ไปจนถึงเถ้ากระดูกผีพราย ส่วนผสมเหล่านี้ทำยาแล้วเสกด้วยคาถาเอาใส่ให้กิน เรียกว่ายาแฝด ทำให้ลุ่มหลงมัวเมาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
วิธีที่2
อีกวิธีหนึ่ง โบราณว่าให้เอาตะไคร่จากสีมาหน้าพระอุโบสถ ตะไคร่จากเสาตะลุงช้าง (หมายถึงเสาหลักที่เขาผูกช้างเอาไว้เสมอ) และขี้เหงื่อขี้ไคลจากตัวเราที่ขัดตอนอาบน้ำ เอาส่วนผสมเท่า ๆ กันมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใส่ในเมล็ดสวาด เมล็ดสวาดนี้ให้เจาะเป็นรูเล็ก ๆ แล้วล้วงเอาไส้ในออก เมื่อบรรจุเข้าไปแล้วอุดด้วยขี้ผึ้ง จากนั้นให้กลืนเข้าไปในท้อง รอจนถ่ายอุจจาระให้หาดูเพราะเมล็ดสวาทจะไม่ย่อยสลาย จากนั้นเอามาล้างน้ำให้สะอาดแล้วเผาไฟให้เป็นถ่าน บดเป็นผงละเอียด แล้วเสกด้วยมนต์คาถา โอมจิตคิดถึงลำโพง กูจะเสกให้ช้างกินช้างก็ลืมโขลง กูจะเสกให้โขลงกินโขลงก็ลืมไพร (เอ่ยชื่อคนที่เรารัก) อยู่มิได้ร้องไห้มาหากู โอมสวาหะ เสกให้ได้ครบ 3 วันเสาร์แล้วเอาผสมอาหารให้กิน คนผู้นั้นจะรักและหลงอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

วิธีที่3
ใช้ลูกลำโพงกาสลัก ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่ง มีเคล็ดว่าเมื่อเด็ดลูกมาแล้วให้รีบหันกลับไปจากที่นั้น ห้ามหันหลังไปดูโดยเด็ดขาด เอาลูกลำโพงมาผสมกับขี้ไคลในตัวเรา เช่น ไคลจากใจมือใจเท้าทั้งสองข้าง ไคลจากที่ลับ เป็นต้น บดผสมกันแล้วเสกด้วยคาถา โอมพญาลำโพง ช้างกินลืมโรง โขลงกินก็ลืมไพร สาวแก่แม่หม้าย บุรุษผู้ใดกินเข้าไป ให้ร้องไห้มิพักอัดแอ ลืมพ่อลืมแม่ ปู่เจ้าเขาเขียวปู่เจ้าสมิงไพร ให้ไว้แก่กู สิทธิสวาหะ แล้วลอบใส่ในอาหารหรือในน้ำให้กิน ตำราว่าใครกินเข้าไปรักเราจนวันตาย ถ้าให้รักทั้งเรือนเอายาใส่ลงในตุ่มน้ำให้กินรักทั้งเรือน ตัวยาที่ใช้มีหลายชนิดที่แตกต่างกันออกไป บางทีให้ใส่เลือดในหัวอกหรือท้องน่องของผู้กระทำลงไปด้วยเล็กน้อย เพื่อเป็นเคล็ดว่าเรารักเขาเสมือนเลือดในหัวอก บางตำราให้ผสมผงกระดูกจากศพที่

ตายวันเสาร์เผาวันอังคารลงไปด้วยก็มี

วิธีที่4
อีกอย่างเรียกว่าหงส์ร่อนมังกรรำ เป็นวิธีที่ผู้หญิงจะใช้กับผู้ชายโดยเฉพาะ วิธีนี้คือการเอาอาหารที่เขาจะรับประทาน ตอนยังร้อน ๆ อยู่ เอาใส่ไว้ใต้หว่างขา โบราณให้ปลดโจงกระเบนยกขึ้นอังไว้ให้พออากาศผ่าน เมื่อไอร้อนโดนความเย็นด้านในก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงในหม้อ ทำอาการอย่างนี้เรียกว่าหงส์ร่อนมังกรรำ แล้วเอาให้รับประทาน ผู้ชายจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิธีอย่างอื่นอีก

ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
การทำเสน่ห์ด้วยยาแฝดนี้ ทำให้รักหลงได้แต่โบราณก็ว่า มีผลข้างเคียงกับผู้ถูกกระทำ กล่าวคือ ในเบื้องต้น ผู้ถูกยาแฝดจะมีใบหน้าขาวซีด ขอบตาคล้ำปราศจากสง่าราศี หรือใบหน้าเป็นฝ้า มีอาการบ่นเพ้อหาโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนอาจถึงคุ้มคลั่งมีอาการเหมือนวิกลจริต นานวันยิ่งอาการหนักขึ้นจนอาจถึงเสียสติ โบราณจึงห้ามนักหนาว่าไม่ควรทำเพราะเป็นบาปแก่ตัวมาก

วิธีแก้
คนถูกเสน่ห์ยาแฝด ให้กินน้ำใต้ท้องเรือจ้าง 7 ลำจึงหาย อันนี้ไม่ทราบเป็นข้อเท็จจริงหรือเพียงคำเปรียบเปรยของคนยุคก่อน แต่โดยมากในทางไสยศาสตร์มักแก้โดยการรดน้ำมนตร์ธรณีสาร น้ำมนตร์โองการพระมหาเถรตำแย หรือทำน้ำมนตร์ด้วยคาถาถอนโบสถ์ถอนสีมา ฯลฯ อาบตัวผู้นั้นตลอดจนให้กินเข้าไป หากอาการหนักอาจมียาหม้อสมุนไพรที่ เสกด้วยคุณพระประกอบให้ต้มกินจนกว่าจะหาย คนสมัยก่อนเมื่อไปบ้านหญิงหรือไปต่างถิ่นต่างแดน


มักระวังตัวเรื่องยาแฝดหรือยาสั่ง จึงมักมีคาถาปัองกันตัว


คาถาที่ใช้ป้องกันคือ

สมุหเนยฺย สมุหนติ สมุหคโต สีมาคตํ พทฺธเสมายํ สมุหนิพตพฺโพ เอวํ เอหิ นะเคลื่อน โมถอน พุทคลอน


ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดหาย


คาถานี้ถ้าสงสัยว่าอาหารมียาแฝดหรือยาสั่งใด ๆ


ให้เสกถอนด้วยคาถาดังกล่าว ก็จะเสื่อมคลายสิ้นไป

ปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้คงเหลืออยู่น้อยมาก
Share:

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พระร่วงหลังรางปืน


พระร่วงหลังรางปืน อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย จักรพรรดิพระเครื่องเนื้อชิน
จักรพรรดิแห่งพระเครื่องเนื้อชิน ก็ต้องยกย่องให้แก่"พระร่วงหลังรางปืน" ซึ่งเป็นพระเครื่องเนื้อชินสนิมแดงที่หาได้ยากยิ่ง เนื่องจากจำนวนพระที่พบน้อยมากและพระที่พบจำนวนน้อยนั้นยังมีพระที่ชำรุดอีก ด้วย พระร่วงหลังรางปืนมีเอกลักษณ์ที่ด้านหลังเป็นร่องรางจึงเป็นที่มาของชื่อพระว่า พระร่วงรางปืนในเวลาต่อมา

พระร่วงหลังรางปืน เป็นพระที่ถูกลักลอบขุดจากบริเวณพระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเก่าชะเลียง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย แต่เดิมพระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุเป็นสถาปัตยกรรมสกุลช่างลพบุรี สร้างขึ้นเป็นพุทธาวาสโดยตรง ได้รับการปฏิสังขรณ์และแก้ไขดัดแปลงหลายครั้งหลายครา ทั้งในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ต่อมาได้รับการขุดโดยกรมศิลปากรครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2497

การค้นพบพระร่วงรางปืน
พระร่วงหลังรางปืนได้ถูกคนร้ายลักลอบขุดในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2499 เวลาประมาณตี 3 คณะของคนร้ายมี 4 คน ลักลอบขุดเจาะฐานพระพุทธรูปในพระวิหารด้านทิศตะวันตกขององค์พระปรางค์ และได้งัดเอาศิลาแลงออกไปประมาณ 8 ก้อน พบไหโบราณ 1 ใบ อยู่ในโพรงดินปนทรายลักษณะคล้ายหม้อทะนน หรือกระโถนเคลือบสีขาว สูงประมาณ 16 นิ้วเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 18 นิ้ว ภายในบรรจุพระพุทธรูปสกุลช่างลพบุรี 5 องค์ คือพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทรทรงเทริด เนื้อสำริด สูง 10 นิ้ว 1 องค์ พระพุทธรูปปางนาคปรก เนื้อสำริด หน้าตักกว้าง 3-4 นิ้ว 2 องค์ พระพุทธรูปนั่งในซุ้มเรือนแก้ว หน้าตักกว้าง 3-4 นิ้ว 2 องค์ และ พระร่วงรางปืน ประมาณ 240 องค์ ไหโบราณและพระพุทธรูปทั้งหมดต่อมาได้นำมาขายที่แถวๆ เวิ้งนครเกษม พระร่วงรางปืน ที่ได้ในครั้งนี้เป็นพระร่วงหลังรางปืนที่ชำรุดเสียประมาณ 50 องค์ ที่เหลืออยู่ก็ชำรุดเล็กน้อยตามขอบๆ ขององค์พระ พระที่สวยสมบูรณ์จริงๆ นับได้คงไม่เกิน 20 องค์ พระร่วงของกรุนี้เป็นพระเนื้อชินสนิมแดง ที่ด้านหลังพระร่วงกรุนี้ส่วนใหญ่จะเป็นร่องราง เลยเป็นที่มาของชื่อ"พระร่วงหลังรางปืน" และมีบางองค์ที่เป็นแบบหลังตันแต่พบน้อย และที่ด้านหลังของพระจะเป็นรอยเส้นเสี้ยน หรือลายกาบหมากทุกองค์

ในตอนนั้นพวกที่ลักลอบขุดเจาะได้แบ่ง พระร่วงรางปืนกันไปตามส่วน และนำพระร่วงรางปืนออกมาจำหน่าย เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดออกไปก็มีคนจากกรุงเทพฯ เดินทางไปเช่าหากันจนราคาพระสูงขึ้นเป็นอันมาก และพระก็ได้หมดไปในที่สุด พระร่วงรางปืน ที่พบของกรุนี้ในปัจจุบันได้แบ่งแยกออกเป็น พระร่วงหลังรางปืนพิมพ์ฐานสูงและพิมพ์ฐาน ต่ำ ข้อแตกต่างก็คือที่ฐานขององค์พระจะสูงและบางต่างกัน นอกนั้นรายละเอียดจะเหมือนๆ กัน ลักษณะร่องรางของด้านหลังก็ยังแบ่งออกได้เป็นแบบร่องรางแคบและแบบร่อง รางกว้าง ที่สำคัญพระร่วงหลังรางปืนจะปรากฏรอยเสี้ยนทั้งสองแบบ

เนื้อและสนิมของพระร่วงหลังรางปืน จะเป็นเนื้อตะกั่วสนิมแดง วรรณะของสนิมออกแดงแกมม่วงสลับไขขาว สีของสนิมแดงในพระของแท้จะมีสีไม่เสมอกันทั้งองค์ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จะมีสีอ่อนแก่สลับกันไป ส่วน"พระร่วงหลังรางปืน"ของเทียมมักจะมีเสมอกันทั้งองค์ พื้นผิวสนิมมักจะแตกระแหงเป็นเส้นเล็กๆ คล้ายใยแมงมุม การแตกของสนิมมักแตกไปในทิศทางต่างๆ กันสลับซับซ้อน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสนิมแดงของแท้ที่ขึ้นเต็มเป็นปื้นมักจะเป็นเช่นนี้
Share:

พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี


ในบรรดาพระเครื่องชั้นนำของเมือง สุพรรณบุรี มักมีชื่อของ “พระขุนแผน” รวมอยู่ในพระกรุยอดนิยมต่างๆ จำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนั้น คือ พระขุนแผน กรุบ้านกร่าง เมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นพระกรุโบราณ มีอายุการสร้าง มาหลายร้อยปี กล่าวกันว่าความงดงามของพุทธศิลปะ นั้นโดดเด่นยิ่งนัก ส่วนพุทธคุณนั้น ก็เลิศล้ำเกินคำบรรยาย ทั้งเมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ ตลอดจน คงกระพันชาตรี ยากที่จะหาพระพิมพ์ใดเสมอเหมือน จัดเป็นพระยอดนิยมชั้นแนวหน้าของวงการ มานาน

พระกรุวัดบ้านกร่าง พระดี พระดังแห่งเมืองสุพรรณบุรี

วัดบ้านกร่าง อันเป็นแหล่งกำเนิด “พระขุนแผน กรุบ้านกร่าง” อัน เลื่องชื่อนี้ ตั้งอยู่ที่ ตำบล ศรีประจันต์ จังหวัด สุพรรณบุรี อยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีน หรือ แม่น้ำสุพรรณบุรี ตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอศรีประจันต์ วัดนี้เป็นวัดโบราณ ที่สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา พระเครื่อง กรุวัดบ้านกร่าง แตกกรุจากเจดีย์หลังพระวิหารเก่าในบริเวณ วัดบ้านกร่าง เมื่อราว พ.ศ. 2447 มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนที่พระแตกกรุออกมาใหม่ๆ พวกพระสงฆ์และชาวบ้าน ได้นำพระทั้งหมด มากมายหลายพิมพ์ มาวางไว้ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ใกล้วิหาร เด็กวัดในสมัยนั้นได้นำ พระที่วางไว้มาเล่นร่อนแข่งขันกันในลำน้ำสุพรรณบุรี เป็นที่สนุกสนาน เนื่องจากว่า ในสมัยนั้น พระวัดบ้านกร่าง ยังไม่มีมูลค่า และ ความนิยมมากมายเหมือนดังเช่นปัจจุบัน

ที่มาแห่งชื่อ “พระขุนแผน”

ชื่อ ”พระขุนแผน” ทั้งของเมืองสุพรรณ หรือ ขุนแผน เมืองไหนก็ตาม เป็นการเรียกชื่อ พระของคนสมัยหลัง เพราะคนโบราณ สร้างพระพิมพ์ ไม่เคยพบหลักฐาน ว่ามีการตั้งชื่อพระเอาไว้ด้วย มีแต่คนรุ่นหลังที่ไปขุดพบพระพิมพ์เป็นผู้ตั้งชื่อให้ทั้งสิ้น พระกรุวัดบ้านกร่าง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อแตกกรุใหม่ๆ ก็ไม่มีชื่อ คนสุพรรณบุรี ยุคนั้นเรียกกันเพียงว่า “พระวัดบ้านกร่าง” คือถ้าเป็นพระองค์เดียวก็เรียก “พระบ้านกร่างเดี่ยว” ถ้าเป็นพระ 2 องค์คู่ติดกันก็เรียก “พระบ้านกร่างคู่” ต่อมาจึงมีการตั้งชื่อให้เป็น พระขุนแผน บ้าง พระพลายเดี่ยว บ้าง พระพลายคู่ บ้าง ที่มาของชื่อ พระพิมพ์ ขุนแผน เหล่านี้ เชื่อว่าคนตั้งชื่อคงต้องการให้คล้องจองกลมกลืน กับตัวละครในวรรณคดีเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ที่โด่งดัง อันมีถิ่นกำเนิดในย่านสุพรรณบุรี คำว่า พระบ้านกร่าง จึงค่อยๆ เลือนหายไป หรืออีกนัยหนึ่ง ชื่อของ พระขุนแผน อาจได้มาจากการที่มีผู้บูชากราบไหว้ หรือ อาราธนานำติดตัวไปไว้ป้องกันอุบัติภัย ต่างๆ แล้วได้ประจักษ์ ความศักดิ์สิทธิ์ ในอำนาจพุทธคุณ ที่มี่คุณวิเศษ เหมือน ขุนแผนในวรรณคดี โดยเฉพาะ ด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม อาจด้วยเหตุนี้ จึงเรียกขื่อว่า พระขุนแผนสืบมา

การจำแนกพิมพ์ทรงพระกรุวัดบ้านกร่าง

พระกรุวัดบ้านกร่าง เข้าใจว่ามีจำนวนถึง 84,000 องค์ตามคติการสร้าง พระพิมพ์ในสมัยโบราณ เมื่อพระแตกกรุขึ้นมาก็ได้มีผู้แยกแบบ แยกพิมพ์ต่างๆ ตามความแตกต่างของพุทธลักษณะ ซึ่งมีจำนวนกว่า 30 พิมพ์ขึ้นไป บางแบบ ก็เรียกว่า “พระขุนแผน” ซึ่งมีพิมพ์ยอดนิยม เช่น พิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่ พิมพ์ห้าเหลี่ยมอกเล็ก พิมพ์ทรงพลใหญ่ พิมพ์ทรงพลเล็ก พิมพ์พระประธาน พิมพ์เถาวัลย์เลื้อย พิมพ์แขนอ่อน ฯลฯ บางแบบก็เรียกว่า “พระพลาย” อันหมายถึงลูกของขุนแผน ซึ่งมีทั้งที่พิมพ์เป็นคู่ติดกัน เรียกว่า “พระพลายคู่” และองค์เดี่ยวๆ เรียกว่า “พระพลายเดี่ยว” ซึ่งแต่ละพิมพ์ก็ยังแบ่งแยกออกไปอีกเป็นสิบๆ พิมพ์ เช่น พลายคู่หน้ายักษ์ หน้ามงคล หน้าฤาษี หน้าเทวดา พลายเดี่ยวพิมพ์ชะลูด พิมพ์ก้างปลา ฯลฯ
การที่คนรุ่นเก่า เลือกที่จะตั้งชื่อ พระพิมพ์นั้นว่า ขุนแผน พิมพ์นี้เรียกพลาย คนรุ่นใหม่ คงไม่ทราบหลักเกณฑ์ หรือ ที่มาชัด ซึ่งคงเดาใจว่า คนที่ตั้งชื่อ ขุนแผน คงจะดูรูปร่างศิลปะในองค์พระ ถ้าพระองค์ ใดมีรูปแบบศิลปะสวยงามสะดุดตา ก็เรียกว่า พระขุนแผน ไว้ก่อนส่วนพระพิมพ์ใดหย่อนคุณค่าทางด้านศิลปะความงาม ความอ่อนช้อยก็ตั้งชื่อเรียกว่า พระพลาย เพื่อให้แตกต่างกันไป…

อายุการสร้างของ พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง

พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี เมื่อพิจารณาจากศิลปะแล้ว บอกให้รู้ว่าเป็น พระในสมัยอยุธยาตอนกลาง โดยมีศิลปะที่อ่อนช้อยสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุด คือ ในจำนวนพระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่างนี้ มีอยู่พิมพ์หนึ่งนั่นคือ “พระขุนแผน พิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่” มีลักษณะและศิลปะเหมือนกับ “พระขุนแผนเคลือบ” ที่แตกกรุออกมาจากเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเจดีย์องค์นี้มีบันทึกไว้ในพงศาวดาร ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2135 ตามคำทูลแนะนำของสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว เพื่อเฉลิมพระเกียรติ แห่งชัยชนะในการทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา แห่งพม่า พระเจดีย์องค์นี้ชื่อว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “พระเจดีย์ใหญ่” เพราะเป็นเจดีย์ ที่ใหญ่ที่สุดในอยุธยา ซึ่งตามประเพณีมาแต่โบราณว่า เมื่อสร้างพระเจดีย์แล้ว จะสร้างพระพิมพ์บรรจุไว้ด้วย

เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ถือกันว่าได้กุศลแรง พระขุนแผนเคลือบคงสร้าง เพื่อบรรจุไว้ในเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคลในครั้งนั้น
ความคล้ายคลึงกันของพุทธศิลป์ ของ พระขุนแผน เคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล กับ พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี โดยเฉพาะพิมพ์ห้าเหลี่ยมอกใหญ่นี้ เมื่อนำพระทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นความแตกต่างกันน้อยมาก โดยเฉพาะเส้นสายและลวดลายการแกะของแม่พิมพ์ ทำให้น่าเชื่อว่า ช่างที่แกะสมัยนั้น คงเป็นคน คนเดียวกัน หรือ สกุลช่างศิลปะในสำนักเดียวกัน อายุการสร้างอาจไม่แตกต่างกันมากนัก หรืออาจแกะในคราวเดียวกัน และพิมพ์ในคราวเดียวกัน แต่ได้มีการแยกบรรจุเจดีย์ ต่างกัน ดังนั้น จึงพอที่จะสันนิษฐานได้ว่า พระขุนแผน กรุวัดบ้านกร่าง คงมีอายุอยู่ในราวรัชกาล สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ ประมาณ 400 ปีล่วงมาแล้ว

ลักษณะธรรมชาติ พระกรุวัดบ้านกร่าง

พระกรุวัดบ้านกร่าง โดยทั่วไปไม่ว่า จะเป็น พิมพ์พระขุนแผน พระพลายเดี่ยว พระพลายคู่ นั้นเป็นพระเนื้อเดียวกัน คือ เนื้อดินเผาผสมว่านและเกสรดอกไม้ นานาชนิด ไม่ปรากฏว่ามีเนื้อประเภทอื่น ลักษณะเนื้อพระ มีทั้งชนิด เนื้อละเอียด และ เนื้อหยาบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเนื้อหยาบที่มีส่วนผสมของกรวดทรายมาก มีทั้งแดง สีพิกุล สีเขียว และสีดำ ตามความอ่อนแก่ของความร้อนในขณะเผาไฟ แต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหยาบหรือละเอียด สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องมี ว่านดอกมะขาม มี แร่ทรายเงิน แร่ทรายทอง และ “รอยว่านหลุด” อยู่ด้วยทุกองค์ รอยว่านหลุด ดังกล่าว เป็นร่องเล็กๆ สัณฐานไม่แน่นอน เป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยม บ้าง สามเหลี่ยม บ้าง และเป็น ร่องลึก ร่องตื้น ก็ได้ รอยว่านหลุด นี้ ถือเป็นเอกลักษณะของเนื้อพระกรุวัดบ้านกร่างที่จะขาดเสียมิได้ในการพิจารณา

นอกจากนี้ พระกรุวัดบ้านกร่าง ยังเป็นพระกรุที่ผิวสะอาด เนื่องจาก กรุพระมีสภาพดี ไม่จมดินหรือถูกน้ำท่วมขัง ดังนั้น จึงไม่มีคราบขี้กรุเกาะติดหนาให้เห็น จะมีเพียงแต่ฝ้ากรุบางๆ ฉาบติดอยู่ แต่ถ้าผ่านการใช้หรือการสัมผัสก็จะเหลือผิวฝ้ากรุตามซอกองค์พระ เท่านั้น พระกรุวัดบ้านกร่าง เป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น พระขุนแผน พระพลายเดี่ยว พระพลายคู่ ล้วนแต่เป็นพระกรุที่มีอายุหลายร้อยปี และมี พุทธคุณสูงส่ง ทางด้าน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ แคล้วคลาด และ คงกระพันชาตรี เป็นเลิศ จึงเป็นที่นิยมเสาะหากันมานานแล้ว แม้ปัจจุบันความนิยมก็ไม่ได้ลดลงน้อยลงไปเลย……..
Share:

ตำนาน กวนเกษียรสมุทร


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยโบราณกาล นานมาแล้ว พวกเทพกับยักษ์หรืออสูรต่างเป็นศัตรูกัน ประมาณเด็กอาชีวะรุ่นโบ(ราณ)ที่เห็นกันไม่ได้ ต้องตีรันฟันแทงให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่นัยว่าสมัยใหม่นี้ เขาเป็นคนพันธุ์อา(ชีวะ) ไม่ตีกันแล้ว ส่วนสาเหตุที่ทั้งคู่เป็นอริกัน ว่ากันว่ามาจากการแย่งที่ดินทำกิน เอ้ย! ไม่ใช่ เทวดาใช้เล่ห์เพทุบาย ยึดพื้นที่บนสวรรค์อันเป็นที่อยู่เดิมของพวกอสูร ทำให้เหล่าอสูรโกรธแค้นยิ่งนัก เห็นเทวดาที่ไหนเป็นต้องซัดให้หมอบ และก็อย่างว่าเทวดาแต่ละองค์ ท่านก็เอวบางร่างน้อย หุ่นอ้อนแอ้น ไหนจะสู้อสูรที่หล่อล่ำบึกได้ สู้ทีไรก็แพ้ทุกที อีกอย่างพระอินทร์ที่เป็นหัวหน้าเทวดา ท่านก็ถูกฤษีตนหนึ่งสาปไว้ด้วย โทษฐานดูหมิ่นเอาพวงมาลัยดอกไม้ ที่ฤษีถวายไปให้ช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นช้างทรงของท่านกระทืบเสียแบนแต๊ดแต๋ จึงเลยถูกสาปให้เสื่อมฤทธิ์อำนาจ แถมท้ายให้รบแพ้ยักษ์อีกต่างหาก แม้จะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซึ่งที่จริงพระอินทร์ก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะพอได้รับมาลัยก็เอาไว้บนเศียรช้างเอราวัณ แต่ช้างทรงท่านคงเป็นโรคภูมิแพ้ ได้กลิ่นดอกไม้ ก็เลยคลุ้มคลั่ง เอางวงจับพวงมาลัยมากระทืบเสียกระจุย ฤษีเห็นเข้าก็เลยยัวะ สาปแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ด้วยเหตุนี้ เทวดารบกับยักษ์ทีไร ก็แพ้เสียทุกครั้ง ทำให้เดือดร้อนกันมาก ในที่สุดเหล่าเทวดา นำโดยพระอินทร์ก็ไปขอให้พระนารายณ์ ซึ่งมีอีกชื่อว่า พระวิษณุให้ช่วยหน่อยเถอะ พระนารายณ์ท่านฟังแล้ว คงนึกสงสาร และเห็นว่าขืนปล่อยให้รบแพ้เรื่อยๆ แบบนี้ เสียชื่อเทวดาด้วยกันโหม้ด ท่านก็เลยสงเคราะห์ แนะให้เหล่าทวยเทพทั้งหลายกวนเกษียรสมุทร หรือทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤต เอามาดื่ม จะได้เป็นอมตะไม่ตาย อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเทวดาทำไมตายได้ ก็ต้องบอกว่าตำนานก็เหมือนนิทาน เทวดาหรือยักษ์ก็ตายได้ทั้งนั้น และจริงๆ แล้วคติทางศาสนา เทวดาก็อยู่ได้ด้วยบุญ หากบุญหมด ก็ต้องจุติมาเกิดใหม่เหมือนกัน

พิธีกวนเกษียรสมุทรนี้ นอกจากจะต้องไปถอนเอาภูเขามันทรคีรี อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์ทั้งหลาย มาปักเป็นหลักอยู่กลางทะเลน้ำนม ที่ตั้งอยู่ที่ไวกูณฑ์สวรรค์ทำเป็นเหมือนไม้กวนแล้ว ยังต้องช่วยกันเก็บสมุนไพรนานาชนิด มาผสมลงในเกษียรสมุทร ด้วย (อ้อ ! คำว่าเกษียร ในที่นี้ต้องใช้ตัว ร.เรือสะกดนะจ้ะ ถ้าเป็นเกษียณ จะหมายถึง สิ้นไป อย่างเกษียณอายุราชการ) จากนั้นยังต้องขอให้พญานาควาสุกรี มาขดพันรอบภูเขามันทรคีรีต่างสายชักโยง เพื่อให้ดึงไปดึงมาแบบปั่นไอศกรีม จนกว่าน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤตจะผุดขึ้นมานั่นแหละจึงจะสำเร็จ เทวดาทั้งหลายพอได้ฟังกรรมวิธีจากพระนารายณ์ ก็เห็นว่าเป็นงานใหญ่มิใช่เล่น ลำพังแค่กำลังเทวดาทั้งหมดคงจะปั่นไอติม เอ้ย! กวนทะเลน้ำนมไม่ไหวเป็นแน่ ก็เลยออกอุบาย ขอพักรบกับเหล่าอสูร และทำตีซี้ให้มาช่วยลงแขกกวนเกษียรสมุทรด้วยกัน โดยทำทีสัญญาว่าหากสำเร็จ ก็จะแบ่งให้พวกอสูรได้กินด้วย พวกอสูรก็ดันเชื่อ ไม่รู้ว่าเพราะความซื่อ โง่ หรืออัตตาสูงที่คิดว่าตนไม่แพ้กระมัง ก็เลยยอมมาร่วมสังฆกรรมกวนทะเลน้ำนม ให้เป็นน้ำทิพย์กับพวกเทวดาด้วย แถมบ้ายออีกต่างหาก พอเทวดาแกล้งบอกว่าใครเข้มแข็งมีพลังที่สุดในสามโลก ให้ไปชักทางด้านเศียรพญานาค เหล่าอสูรก็หลงกลแจ้นไปชักทางด้านเศียรพญานาควาสุกรีทันที ฝ่ายเทวดาก็รีบไปยกข้างหาง ครั้นแล้วทั้งสองฝ่าย ต่างก็ช่วยกันชักดึงพญานาควาสุกรีไปมาอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภูเขามันทรคีรี หมุนกวนสมุนไพรให้เข้ากับทะเลน้ำนม (แหม! นี่ถ้ากวนออกมาเป็นไอติม ก็เป็นไอติมสุขภาพเข้าสมัยเปี๊ยบเลยนะเนี่ย เพราะมีส่วนผสมเป็นสมุนไพรสวรรค์ล้วนๆ) เมื่อเทวดาชักไปยักษ์ดึงมา พญานาควาสุกรีท่านคงมึนก็เลยอ้วก เอ้ย! ทั้งเจ็บทั้งเพลียเพราะร่างกายถูกเสียดสีจากที่ต้องพันรอบภูเขาด้วย ท่านก็เลยคายพิษเป็นไฟกรดออกมาทีละเล็กละน้อย พวกอสูรที่ชักอยู่ทางด้านเศียร ไหนจะต้องออกแรงชักเย่อกับเทวดา ไหนจะถูกพิษพญานาคที่พ่นรดหัวอยู่ตลอดเวลา ก็เลยอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆ กัน

ส่วนเทวดาชักข้างหางแม้จะเหนื่อย แต่ก็ไม่ถูกพิษและไอร้อนเลยสบายหน่อย และเนื่องจากการกวนเกษียรสมุทรที่ว่านี้ มิใช่จะทำกันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องใช้เวลานับพันปี ดังนั้น พญานาคท่านก็คงปั่นป่วนมวนท้องเต็มที เลยสำรอกพิษออกมาเต็มที่ ซึ่งพิษร้ายนี้หากตกสู่โลก (อย่าลืมว่าท่านไปกวนกันบนสวรรค์ชั้นไวกูณฑ์โน่น) ก็จะทำให้โลกมนุษย์เกิดอันตรายได้ ด้วยพระเมตตาอันสูงสุดต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ พระอิศวรหรือที่เรารู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าพระศิวะ(สามีพระแม่อุมาเทวี) ก็เลยมาปรากฎกาย และดูดเอาพิษร้ายทั้งหมดไปไว้ในตัว พิษร้ายดังกล่าวก็เลยเผาผลาญพระศอ(คอ) ของพระองค์จนกลายเป็นสีดำสนิท (ก็เลยมีคนเปรียบเทียบสีดำว่า เป็นสีแห่งความรัก ที่เสียสละเหมือนพระศิวะที่ช่วยเหลือมนุษย์โลก ในเรื่องกามนิต-วาสิฏฐีไง เคยเรียนไหม?-เอ! หรือจะคนละรุ่นกันแฮะ) แค่นี้ยังไม่พอ พอกวนๆไป ก็เกิดความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสามโลก ภูเขามันทรคีรีก็เริ่มเอียงคลอน (สงสัยน่าจะเอียงๆ มาทางด้านยักษ์ เพราะแรงดีกว่า) อีกทั้งปั่นๆ ไปกวนไป ภูเขาที่ว่าก็อาจจะเจาะทะลุโลกให้พังทลายได้ พระนารายณ์ในฐานะต้นคิด ก็เลยต้องแบ่งภาคอวตาร(แปลงกาย) มาเป็นเต่าใหญ่ เอากระดองมารองรับ มิให้ยอดเขามันทรคีรีเจาะลึกลงมาเป็นอันตรายต่อโลกได้ และตอนที่ท่านแปลงกายเป็นเต่ายักษ์นั้น ปรากฏว่ามีอสูรมัจฉาตนหนึ่ง กำลังกัดแทะแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤต(ที่กะว่าพอกวนได้) จะได้ไหลทะลักมาสู่โลก เพื่อมันจะได้ดื่มและเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว พระนารายณ์แปลงก็เลยปราบเสียอยู่หมัด และเขาก็เรียกภาคที่ท่านอวตารเป็นเต่าใหญ่ มาหนุนแผ่นดินหรือภูเขานี้ว่า “ปางกูรมาวตาร” กูรมะแปลว่าเต่า (พระนารายณ์ท่านมีหน้าที่ปราบทุกข์เข็ญต่างๆ ดังนั้น เดี๋ยวท่านก็แปลงกายหรืออวตารเป็นโน่นเป็นนี่อยู่ตลอด แต่ที่เขานับกันจริงๆ มีอยู่ 10 ปางด้วยกัน ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง “พระนารายณ์สิบปาง”มาบ้างแล้ว)
มาว่าเรื่องกวนเกษียรสมุทรต่อดีกว่า อ้อ ! มีบางตำราเขาก็ว่าเดิมมหาสมุทรที่ถูกกวนนี้มีชื่อว่า “กลศะ” ตอนแรกยังไม่เป็นทะเลน้ำนม แต่พอกวนไปกวนมาก็เลยมีสีข้นขาวเหมือนน้ำนมขึ้นมา ก็เลยเรียกว่า “เกษียรสมุทร” หรือทะเลน้ำนมอย่างที่เล่ามาแต่ต้น ซึ่งนอกจากจะมีเหตุการณ์เรื่องพญานาคคายพิษ และเรื่องพระนารายณ์อวตารเป็นเต่าแล้ว ระหว่างที่กวนๆกันไปนี้ ก็ยังเกิดของวิเศษ 14 อย่างทยอยผุดขึ้นมาด้วย ของวิเศษที่ว่านี้ก็มี

1. ดวงจันทร์ ซึ่งพระศิวะหยิบไปปักไว้บนเกศา ที่เราเห็นมวยผมของท่าน มีพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่แบบปิ่นไง
2. เพชรเกาสตุภะ ที่พระนารายณ์นำไปประดับพระอุระ(อก)
3. ดอกบัวลอยขึ้นมาพร้อมพระลักษมี ซึ่งต่อมาก็คือพระชายาของพระนารายณ์
4.วารุณี เทวีแห่งสุรา
5. ช้างเผือกเอราวัณ ซึ่งพระอินทร์ได้นำไปเป็นช้างทรง อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านหลายคนอาจสงสัยว่า ตอนพระอินทร์โดนฤษีสาปตอนต้น อันเกี่ยวเนื่องกับช้างเอราวัณ เหตุการณ์มันเกิดก่อนหรือหลังการกวนเกษียรสมุทรกันแน่ ก็ต้องบอกไว้ว่าตำนานเกี่ยวกับเทวดานั้น มันสลับซับซ้อนและมีหลายตำนานด้วยกัน บางเรื่องก็เล่าขัดๆ กันเองก็มี เอาเป็นว่าอ่านสนุกๆ อย่าไปซีเรียสมาก
6. ม้าอุจฉัยศรพ ซึ่งพระอาทิตย์นำไปเทียมรถทรง
7. ต้นปาริชาติ เป็นต้นไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม ที่ว่าใครได้กลิ่นก็จะระลึกชาติได้
8. โคสุรภี หรือ กามะเธนู ที่แปลว่า ผู้ให้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา เป็นวัวตัวเมีย เหล่าเทวดาได้ยกให้พระวิสิษฐ์มุนี9. หริธนู
10. สังข์
11. เทพีอัปสรสวรรค์ ที่เห็นว่ามีเป็นแสนๆ องค์เลยทีเดียว
12. พิษร้าย ที่กล่าวกันว่าฝูงนาคและงูได้มาดูดพิษกันไป จึงทำให้งูกลายเป็นสัตว์มีพิษจนทุกวันนี้
13. ธันวันตริ หรือ แพทย์สวรรค์นั่นเอง ซึ่งเทวแพทย์ที่ผุดขึ้นมานี้ ท่านก็ได้ทูนหม้อน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต อันเป็นของวิเศษชิ้นสุดท้าย (ชิ้นที่14) ที่ทุกคนรอคอยขึ้นมาด้วย แต่ก่อนที่เทวแพทย์องค์นี้จะลอยขึ้นมา ทั้งเทวดาและยักษ์ ต่างก็แย่งของวิเศษที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้กันจ้าละหวั่นแล้ว คงประเภทใครถึงก่อนได้ก่อน อย่างอื่นก็คงไม่เท่าไร อย่างเทพีสุรา พวกอสูร คงไม่สนเพราะเคยมีบทเรียนจากการเมา แล้วโดนทุ่มตกจากสวรรค์มาแล้ว ก็เลยสาบานว่าจะไม่แตะต้องสุราอีก ถึงเรียกพวกยักษ์อีกอย่างว่า “อสูร” หรือ อสุระ ที่แปลว่า ไม่ดื่มสุราไง แม้จะไม่ดื่มสุรา แต่เหล่าอสูรก็เป็นประเภทเจ้าชู้ยักษ์ ดังนั้น พอเห็นนางอัปสรลอยขึ้นมา หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักทั้งน้าน พี่ยักษ์ทั้งหลายก็ลืมตัว ไล่จับนางฟ้ากันอุตลุด ยกเว้นอสุรินทร์ราหูตนเดียวที่ไม่สน รอคอยหม้อน้ำอมฤตอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นแล้วเมื่อน้ำอมฤตลอยขึ้นมาพร้อมเทวแพทย์ พระนารายณ์ท่านก็เล่นพวกทันที เพื่อช่วยเทวดา ท่านก็แปลงร่าง(อีกแล้ว) เป็นนางฟ้านาม “โมหิณี” ที่ว่ากันว่า งามมาก ตรงเข้ามายั่วยวนพวกอสูร ที่บ้าผู้หญิงอยู่แล้ว พวกนี้ก็เลยไม่ได้ทันสนใจอะไรว่ามีอะไรโผล่มาอีก มัวแต่จับจ้อง เตรียมแย่งสาวงามกัน พวกเทวดาได้โอกาสก็รีบมาเข้าคิวดื่มน้ำอมฤตทันที

อสุรินทร์ราหูจ้องอยู่แล้ว ก็แอบแปลงร่างเป็นเทพปลอมๆ มาต่อแถวด้วย ก็บังเอิญพระจันทร์กับพระอาทิตย์ดันมาเห็นเข้า ก็เลยวิ่งโร่ไปฟ้องพระนารายณ์ทันที ท่านก็เลยปล่อยจักรที่มีชื่อว่า “สุทรรศนะ” ตัดกายราหูขาดเป็นสองท่อน แต่เนื่องจากราหูไวกว่า ดื่มน้ำอมฤตไปแล้ว ก็เลยไม่ตาย ท่อนที่ถูกตัดขาดไป ก็เล่ากันว่าได้กลายไปเป็นอสุรกายชื่อเกตุ (หรือดาวเกตุอันเป็นต้นกำเนิดดาวหาง และอุกาบาตต่อมา) และนี่เอง ก็เป็นที่มาว่าเหตุใดราหูถึงอมจันทร์ หรืออมพระอาทิตย์ ที่เราเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า จันทรคราสหรือสุริยคราส ก็เพราะพระราหูเจ็บใจเทวดาทั้งสองมาก เจอที่ไหนก็ตรงเข้าจับมากลืนกินทันที แต่เนื่องจากว่ามีเพียงครึ่งตัว พอกินทางปาก พระจันทร์หรือพระอาทิตย์ ก็ลอยหลุดออกมาทางท้องได้ หลังจากราหูหนีไปแล้ว พระนารายณ์ก็นำหม้อน้ำอมฤตที่เหลือ ไปมอบให้พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์ และห้ามผู้ใดแตะต้องอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเทวดาได้ดื่มน้ำอมฤตแต่ฝ่ายเดียว ส่วนพวกยักษ์หรืออสูรก็ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ไป แหม ! จะว่าไปแล้ว ก็น่าสงสารพวกอสูรที่ถูกโกงแรงงาน อุตส่าห์ช่วยปั่นแทบตาย ท้ายสุดไม่ได้แอ้มน้ำทิพย์สักหยด เรียกว่าเปลืองแรงฟรี แม้บางตนอาจจะได้นางอัปสรที่ไล่จับมาได้บ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยเล้ย หลายคนอ่านแล้วก็คงรู้สึกว่าเทวดานี่ช่างขี้โกง เจ้าเล่ห์ ไม่น่าเป็นเทวดาเลย ก็ต้องบอกว่าพวกเทพนั้น ก็คือคนที่ทำความดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ตามผลบุญที่ทำมา แต่มิใช่พระอรหันต์ ดังนั้น ท่านจึงยังมีกิเลสอยู่ มนุษย์เราถึงยังได้ติดสินบนเทวดาด้วยการถวายหัวเห็ดเป็ดไก่ เพื่อให้ท่านพอใจใบ้หวย หรือให้สิ่งที่ปรารถนาได้ไง

ที่เล่ามาทั้งหมดก็คือ ตำนานหรือที่มาของรูปประติมากรรม “กวนเกษียรสมุทร” ที่อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ และเป็นที่มาว่าทำไมผู้ออกแบบถึงมีแนวคิดเรื่องอมตะ ก็เพราะเชื่อมโยงมาจากเรื่องน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต ที่กวนได้จากเกษียรสมุทรนี่เองแหละ ก็หวังว่าอ่านแล้วคงจำไปโม้ต่อให้เพื่อนๆ ฟังได้ หากต้องผ่านไปเจอประติมากรรมชิ้นดังกล่าว ณ สนามบินแห่งนี้ มาคิดๆดู ที่สนามบิน “สุวรรณภูมิ” มีสารพัดปัญหามาตลอด คงเป็นเพราะมีเจ้า อสูรมัจฉา หลายตัวผลัดกันมาคอยแคะแกะกิน “แผ่นดินทอง” อยู่ไม่ขาด พระนารายณ์กำจัดเท่าไรก็ไม่หมด ล่าสุดข่าวว่าท่านต้องอวตารมาเป็น “คตส.” (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) แต่จะปราบได้หรือไม่ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปนะครับท่านผู้ชม
Share: