วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผีอำ

ผีอำ คือ คำเอ่ยของคนที่คิดว่าถูกผีหลอกในขณะนอนครึ่งหลับครึ่งตื่น มีอาการที่รู้สึกแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หรือขยับตัวไม่ได้ในขณะนอน หรือนั่งเหมือนมีคนมานั่งทับบนตัว ว่ากันว่า เกิดจากการนั่ง หรือนอนผิดท่า ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ทำให้ขยับตัวไม่ได้

ทางแพทย์อธิบายว่าเกิดจากการ ที่สมองตื่นไม่พร้อมกัน


สมองเรานั้นมีบริเวณต่างๆ ที่ทำหน้าที่ต่างๆ บริเวณด้านหน้าจะทำหน้าที่สั่งให้เคลื่อนไหว ส่วนรับความรู้สึกนี่จะเป็นแกนกลาง กับด้านค่อนมาหลังหน่อย

เวลาเราตื่นสมองจะมีกระแสไฟฟ้าเป็นตัวทำงาน เวลาเราหลับกระแสเหล่านี้ก็ลดลง (เข้าสู่ระยะพัก) ดังนั้นเมื่อเราตื่น ถ้าบริเวณรับความรู้ตัวตื่น แต่บริเวณสั่งการเคลื่อนไหวยังไม่ตื่น ก็เป็นอาการผีอำ แต่ก็มี โรคบางโรคที่มีลักษณะเหมือนกันนี้เรียกว่า Lockin Syndrome จะรู้ตัวแต่ขยับอะไรไม่ได้ ได้แต่กลอกลูกตาไปมา
ว่ากันว่า เวลาที่เราใช้หลับนอนในตอนกลางคืนนั้น ระยะเวลาครึ่งแรกของกลางคืน คือระยะตั้งแต่หัวค่ำถึง 2 ยาม เป็นเวลาที่นอนหลับสนิทแล้วจะได้พลังงานและเป็นสุขมากกว่าระยะเวลานอนในครึ่งหลังของเวลากลางคืน

เวลานอนตั้งแต่ 2 ยามล่วงไปแล้ว จะนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก คนเราจึงมักจะฝันในระยะครึ่งหลัง ของเวลากลางคืน และส่วนมากจะฝันได้มากในเวลาก่อนใกล้รุ่ง ความฝันมักเกิดขึ้นเมื่อเวลานอนหลับไม่ค่อยสนิท ซึ่งจะเป็นการแสดงออกมาของจิตใจ ความฝันจะช่วยให้ได้สิ่งซึ่งต้องการที่เวลาตื่นอยู่ไม่อาจได้ ความฝันจะช่วยให้ เราเป็นผู้มีอำนาจ มีเงิน บางทีความฝันก็แสดงออกมาถึงจิตใจและอารมณ์ที่มีอยู่ เช่น ความวิตกหวาดกลัว ความไม่พึงพอใจ ความเศร้าสลด ฯลฯ ก็จะมีฝันร้าย

ถ้านอนฝันแล้วออกเสียงมาด้วยก็เรียกกัน ละเมอ มีการนอนฝันที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น อีกอย่างหนึ่งเรียกกันว่า ผีอำ คงมีคนเคยถูกผีอำมาบ้าง เวลาที่นอนอใกล้จะหลับ หรือหลับแล้วกำลังจะตื่น เป็นตอนที่รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง เกิดความฝันลางเลือน เหมือนมีของมาทับอก หายใจไม่ออก ชาไปทั้งตัวรู้สึกตัวว่าตัวลืมตาเห็นอะไรๆอยู่ แต่กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ ร้องเรียกให้ใครช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน ต่อมาสักครู่หนึ่งจึงจะรู้สึกตัว ลักษณะอาการดังกล่าวนี้เรียกกันว่า ผีอำ
ความจริง ไม่มีผีสางอะไรมาอำหรือมาทำอย่างไรทั้งนั้น

ถ้าจะเข้าใจเรื่องถูกผีอำนี้ ควรเข้าใจก่อนว่า ตามปรกติแล้วเลือดของเราจะมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ และมีฤทธิ์คงที่เสมอในเลือดจะมี โซเดียมไบคาร์บอเนตซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง และกรดคาร์บอนิค ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดอยู่ โดยมีอัตราส่วนคงที่ที่จะทำให้เลือดอยู่ในสภาพเป็นด่างอ่อนๆ ตามปรกติตลอดเวลา

ผีอำ มักจะเกิดขึ้นในคนที่มีอารมณ์เครียด โดยมี โกรธ โลภ หลง เศร้าสลด วิตกกังวล หวาดระแวง กลัว อิจฉาริษยา ฯลฯ เมื่อเวลานอนเคลิ้มๆ(จะหลับหรือตื่น) ก็จะเกิดความฝันจากอารมณ์ไม่ดีของตน การมีอารมณ์ไม่ดีจะทำให้หายใจเข้าออกยาวๆเหมือนหอบ การหายใจเข้าออกเหมือนหอบสักพักหนึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์จะสลายตัวออกมาจากกรดคาร์บอนิคในเลือด เมื่ออกมามาก กรดคาร์บอนิคลดน้อยลง อัตราส่วนของด่างก็จะมีมากกว่ากรด เลือดก็จะมีฤทธิ์ด่างเพิ่มขึ้น

เมื่อเลือดมีฤทธิ์ด่างมากขึ้น ก็จะมีอาการอึดอัดในอกเหมือนมีของทับอก หายใจไม่ค่อยออก เหมือนหอบ ชามือชาเท้า มึนและเวียนศีรษะ รู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนเหมือนจะขยับเขยื้อนตัวไม่ได้

สำหรับใครที่อยากลองดูว่าผีอำเป็นอย่างไร ลองหายใจเข้าออกยาวๆเร็วๆให้เหมือนหอบสักพักหนึ่ง ก็จะรู้สึกมึนศีรษะ มือชา หน้ามืด ฯลฯ พอกลั้นหายใจสักครู่ก็จะหาย เพราะกรดคาร์บอนิคจะเพิ่มขึ้นมาเป็นปกติ

คนร้องไห้มากๆสะอึกสะอื้นหายใจเข้าออกยาวๆเร็วๆก็จะมีอาการเช่นเดียวกัน ยิ่งร้องมากยิ่งชาไปทั้งตัว มึนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมไปได้ ก็เพราะเหตุผลเดียวกันนี้

ใครถูกผีอำบ่อยๆ ควรจะได้ตรวจรักษาเรื่องจิตใจและอารมณ์เลวร้ายของตัวเอง จิตใจตัวเองนั่นแหละ เป็นผีที่อำตัวเอง
Share:

ผีกะ


ผีกะ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีพวกนี้จะมีลักษณะคล้ายผีปอบ คือเข้าสิงในคน และชอบกินของสดของคาว

คนที่เลี้ยงผีกะ เป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณเล่นของ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน เจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง

ผีกะ แต่เดิมคนที่เริ่มนำมาเผยแพร่ คือพวกลิเก หรือพวกนักดนตรี ที่แสดงการละเล่น เรียกว่าผีกะพระ-นาง ผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็กๆสองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง ผีกะชนิดนี้มีคุณประโยชน์ตรงที่ หากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้า ทำให้ยิ่งดึกยิ่งงดงาม การเลี้ยงผีกะจึงเป็นแฟชั่นของนักแสดงทางภาคเหนือในช่วงหนึ่งและเริ่มแพร่หลายสู่ภาคเหนือในจังหวัดต่างๆ จนกระทั่งแยกเป็นหลายชนิด ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ
ผีกะได้แตกสาขาออกเป็นหลายชนิด ดังต่อไปนี้

ผีกะพระ-นาง
ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชม ทำให้คนดูหลงไหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้นๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้นๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้
ผีกะดง
จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะดงนี้ มีอยู่จริงในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทำให้ร่างกายมีความคงกระพันชาตรี ดังมีเรื่องเล่าว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงรักลูกสาวของคหบดีในตัวเมือง แต่พ่อตาไม่ชอบเพราะว่าชายหนุ่มจน และจัดการให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มที่มั่งคั่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็ทราบเรื่องของเจ้าสาวดี จึงส่งคนมาทำร้ายคนรักของเจ้าสาว และหิ้วไปทิ้งในป่า ชายหนุ่มสะบักสะบอม เจ็บทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้แต่ปลงต่อความตาย รอให้สัตว์ร้ายในป่ามากิน ประจวบกับเวลานั้น มีฝูงผีกะดงกำลังออกหากิน ลูกฝูงผีกะจับขาชายหนุ่มเพื่อลากไปเป็นอาหาร ชายหนุ่มนิ่งเงียบปลงต่อชีวิต หัวหน้าผีกะแปลกใจมาก จึงห้ามลูกฝูงและสอบถามเรื่องราว ชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หัวหน้าผีกะเห็นใจ จึงบอกว่า หากชายหนุ่มยอมนับถือพวกตนเป็นผีประจำตระกูล จะช่วยให้ชายหนุ่มได้สมหวัง ชายหนุ่มตอบตกลง ผีกะจึงพากันรุมเลียตัวของชายหนุ่ม ด้วยอานุภาพน้ำลายบาดแผลจากการถูกทำร้ายหายสนิท ฝูงผีกะพาชายหนุ่มนั่งบนบ่า บุกบ้านแต่งงาน ลูกน้องของเจ้าบ่าวรุมทุบ รุมฟาดชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจทำร้ายชายหนุ่มได้แม้ปลายขน เพราะฝูงผีกะดงกำบังตาไว้ และถีบลูกน้องจนกระเด็นตกเรือนกันหมด พวกผีกะพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาโดยสะดวก หัวหน้าผีกะให้ทองคำและสมบัติที่พวกตนเฝ้ารักษาไว้ ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสัญญาและนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผีกะอาคม
การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษาผู้เรียนได้ มีคนบางคนที่เรียนอาคมโดยไม่ได้ขึ้นครูก่อน จึงโดนคำสาปที่ครูสาปแช่งไว้ในปั๊บหรือตำรานั้นๆ ทำให้กลายเป็นผีกะ ผีกะชนิดนี้จะสิงสู่ในตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว แต่ยามค่ำคืนมันจะออกไปหาอาหาร โดยแปลงตัวให้เหมือนหน้าร่างกายที่มันสิงอยู่
ผีกะตระกูล
ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.
ผีกะตายโหง
คนบางคนเมื่อตายโหง จิตใจยังพะวกพะวนกับโลก จึงสิงสู่ในที่ๆตนตาย แต่เพราะความยึดถือในกายว่าตนยังไม่ตาย เมื่อไม่ได้กินอะไรนานๆเข้า มันหิวกระหาย จึงสิงสู่คนผู้มีจิตอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มีอยู่จริงๆ จากเรื่องเล่าของแม่อุ้ยท่านหนึ่ง ว่า มีคนผู้หนึ่งชื่อ หนานเจต ทำนาที่ริมเขตเมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย(ทางอำเภอเชียงของ) โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนถูกควายขวิดตาย วิญญาณของคนผู้นั้นจึงสิงสู่หนานเจต พอค่ำลงที่ใกล้ๆหนานเจตนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทำนาอยู่ หนานเจตเดินเข้ามาหาชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านถามว่ามีอะไร หนานเจตไม่ตอบแต่ดวงตาค่อยๆแดงก่ำและมีเขี้ยวงอกออกมา กระโจนเข้าหาชาวบ้านผู้นั้น ชาวบ้านคนนั้นวิ่งหนีลงมาจากระท่อมนาอย่างขวัญกระเจิง มาหาพ่อของย่าที่กำลังนอนอยู่ บอกให้ช่วยไล่ผีไปที พ่อของย่าจึงถือไม้ไผ่และสายสิญจน์เดินไปดู แต่หนานเจตกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยังคงนอนหลับอยู่ที่ห้าง ผีกะชนิดนี้จึงอาศัยร่างต้นเหมือนปรสิตวิญญาณ จะพาร่างกายออกหากินในยามเจ้าของหลับ
นกเค้าผีกะ
ผีกะชนิดนี้มีทูตเป็นนกเค้าแมว สังเกตได้ง่ายว่าหากจะมีผีกะมาเยือนหมู่บ้านไหน กลางคืนคืนนั้นจะมีนกเค้าแมวมาร้อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่นกควรร้อง(ฤดูหนาว) รุ่งเช้าคนที่เข้ามาหมู่บ้าน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผีกะ
Share:

ทะเล(ต้องคำ)สาปสงขลา


ทะเลสาบสงขลาใครได้ไปเยือนก็คงต้องติดใจ แต่ที่นี่แหละจะมีคนตายอยู่ทุกปี สาเหตุก็มาจาก ..... สงขลา ดินแดนที่มีหาดทราย ชายทะเลและผู้คนมากมายที่มาเล่นน้ำกันสนุกสนาน แต่ว่าที่ไหนๆ ก็มักจะมีอาถรรพณ์ อันลี้ลับสงขลาที่สวยงามก็ไม่เว้นไปได้ แนวทะเลจากด้านสนามกอล์ฟ นับจากแนวด้านตรงหน้าศาลากลางไปจนจรด ด้านเหนือวิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ ทะเลแถบนี้ได้คร่าชีวิตคนที่ไปเล่นน้ำทุกปี บางปีถึงสามสี่ศพก็เคยมีผมชอบเล่นน้ำตั้งแต่เด็ก สามารถเล่น ได้หลายชั่วโมงโดยไม่เบื่อ เมื่อผมรับราชการ และได้เล่นน้ำแถบนั้นเป็นประจำ ก็ได้มีคนหลายคนเล่าให้ฟังแต่ผมก็ยัง ไม่ปักใจเชื่อเท่าไดนักและแล้ว... วันนั้นก็มาถึง วันที่ผมรับรู้ว่าทำไมท้องทะเลแถบนั้นจึงเป็นแดนอาถรรพณ์ที่กลืน ชีวิตคนไปแล้วทุกปี

วันนั้นท้องทะเลราบเรียบอย่างเคยทะเลสีคราม อากาศกำลังอุ่นสบายชายหาดวันนั้นมีผู้คนพอประมาณ ผมก็จอดมอเตอร์ไซด์ตรงแนวสน แล้วเดินลุยทรายลงไปในทะเล น้ำทะเลกำลังอุ่นสบายเพราะอมความร้อนจากแดดไว้ตลอดวัน ผมเริ่มว่ายออกไปไกลเรื่อยๆ จนไกลพอประมาณ ผมหยุดนิ่งหันหน้ากลับพร้อมจะว่ายเข้าฝั่ง ทันใดนั้นผมขนลุกซู่เย็นวาบไปทั้งตัว เมื่อสายตามองกราดไปรอบ ๆ เห็นวัตถุสิ่งหนึ่งลอยนิ่งอยู่ใต้ผิวน้ำเกือบหนึ่งฝ่ามือ ห่างตัวผมกว่าหนึ่งช่วงแขน ผมจ้องมันอยู่นานมันไม่ใช่ปลาหรือสัตว์น้ำใดๆ แต่มันคือ กระดูกท่อนขาของมนุษย์ ยาวประมาณฟุตกว่า สีขาว ผมนิ่งจ้องมันหลายอึดใจแล้วก็ดูเหมือนว่ามันกำลังพยายามเข้ามาใกล้ผมในรัศมีช่วงแขนให้ได้แต่ไม่สำเร็จ


มันคือกระดูกแน่ๆ กระดูกที่ไม่น่าจะสามารถลอยในน้ำได้ ตอนนั้นผมอยู่คนเดียวในทะเลอ้างว้าง ว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูก เท้าทั้งสองข้างแตะพื้นไม่ถึงเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลกผมยอมรับว่ากลัวมาก แต่แล้วสักครู่มันก็หายไปอย่างน่าประหลาด เมื่อมือไปสัมผัสกับพระที่ห้อยคออยู่ ผมรีบว่ายจากจุดเดิมประมาณ 20 เมตร ต่อมาก็ลืมเรื่องนี้ไปชั่วคราว แต่ในขณะที่กำลังจะว่ายเข้าฝั่ง ลางสังหรณ์ก็เกิดขึ้น แล้วผมก็มองไปรอบตัวอีก เจอมันเข้าอีกแล้วมันอยู่ห่างตัวผมกว่าช่วงแขนเหมือนเดิม มันตามผมมาได้อย่างไร .....?ผมกำพระที่คอแน่น แล้วรีบว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อถึงจุดหมายก็ถึงกับนอนแผ่อยู่ที่ชายหาดอย่างหมดแรงในที่สุดผมก็รู้ว่าอาถรรพณ์ของที่นี่ก็มันนั่นเอง ผมอาจเสร็จมันไปแล้วถ้าผมตกใจจน หมดสติหรือถ้าปล่อยให้มันเข้ามาจนถึงตัวผมวันนั้นผมกลับบ้านไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนบ้านและญาติฟัง หลายคนเชื่อแต่บางคนก็ไม่เชื่อ คืนนั้นผมนอนคิดตลอดคืนว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเรื่องผีสางผมไม่เคยเจอเลยสักครั้งเดียว

วันรุ่งขึ้นผมตัดสินใจไปพิสูจน์ด้วยกันกับเพื่อน แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปกับผม ผมก็กลัวไม่ต่างจากเพื่อนเท่าไหร่ แต่ความต้องการพิสูจน์มีมากกว่า ผมจึงว่ายน้ำออกไปอีกโดยห่างจากแนวเดิมประมาณ 20 เมตร วันนี้ผมพกเครื่องรางของคลังไปเต็มอัตรา .. ผมว่ายออกไปจน ถึงจุดเดิมที่เคยเจอ บัดนั้น..สายตาผมก็จับภาพทางขวามือได้ มันเป็นฟองพรายพุ่งขึ้นจากน้ำกระดูกผีสิงชิ้นนั้นมันพุ่งขึ้นจากใต้น้ำด้วยความเร็วพอประมาณ เมื่อเห็นแน่ชัดแล้วก็ไม่ต้องสงสัยกันต่อไปจึงว่ายกลับฝั่งด้วยความเร็วที่สุดในการว่ายน้ำทั้งชีวิตของผม เมื่อถึงฝั่งผมก็เล่าให้เด็กหนุ่มที่ชอบมาเล่นน้ำที่นั่นประจำฟัง เขาก็บอกว่าเคยเจอเหมือนกัน แล้วก็กลัวจนไม่กล้าที่จะออกนอกฝั่งไปไกลๆเลยจนกระทั่งบัดนี้
Share:

ผีฟ้า..พญาแถน

ชาวอีสานมีความเชื่อถือต่อ "ผี" มากเพราะมีความเชื่อว่าเหตุที่เกิดเภทภัยเจ็บไข้ได้ป่วย น้ำท่วม ฝนแล้งนาล่มหรือพืชพันธุ์ธัญญาหารเหี่ยวแห้ง เป็นสิ่งที่เกิดมาจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของผีสางเทวดาทั้งสิ้น พวกเขาจึงเซ่นไหว้บวงสรวงผีต่าง ๆ และมีสิ่งที่หน้าสังเกตคือ ทุกครั้งที่มีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกฤดูกาลแล้วจะเกิดแต่ความสุขไปทั่ว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ข้าวกล้าในนาก็อุดมสมบูรณ์ดีและการที่มีคติความเชื่อดังกล่าวนี้ก็ทำให้เกิดประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผี หลายลักษณะ และพีธีบูชา ผีฟ้า ก็เป็นอีกพิธีหนึ่ง

ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้นชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิดอื่น ๆ ส่วนแถนนั้นมีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระอินทร์

ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า "ผีฟ้า" นั้นสามารถที่จะดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้

การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรงเรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบทั้งหมด 4 ส่วนคือ หมอลำผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และเครื่องคาย

หมอลำผีฟ้า จะเป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลยและจะต้องสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้
ทั้งหญิง ชายและเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ

หมอแคน (หมอม้า) จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา

ส่วน ผู้ป่วย นั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้าพาดบ่า มีดอกมะละกอซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้

และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย


ในการลำผีฟ้านั้นจะมีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น เมื่อครูบาเก่าเข้าสิงร่าง ผู้ทำพิธีจะต้องสวมผ้าซิ่นทับผ้าที่สวมอยู่ (กรณีที่ผู้ป่วยเป็นชาย) หรือถ้าผู้ป่วยเป็นผู้หญิงครูบาจะสวมผ้าแพรหรือผ้าฝ้ายโดยสวมทับผ้านุ่งเดิม ซึ่งจะจัดไว้อยู่ใกล้เครื่องคาย ในการรักษาทุกคนจะต้องฟ้อนรำกันทุกคน และขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยต้องการดูการฟ้อนรำก็จะทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ต้องการครูบาก็จะนำเครื่องคายขึ้นไปเก็บบนหิ้ง และจะมาร่วมกันรับประทานอาหาร

ความเชื่อของชาวอีสานเชื่อว่าผีฟ้าสามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายของมนุษย์ได้ การที่มนุษย์ตายไปขวัญจะออกจากร่างเพื่อไปพบบรรพชน แต่ขวัญจะไม่แตกดับเหมือนร่าง เป็นเพียงการจากไปของร่างแต่วิญญาณยังคงอยู่กับผู้มีชีวิต

สาเหตุที่มีการฟ้อนรำกันนั้นก็เพื่อเป็นการทำให้คนไข้มีพลังจิตในการต่อสู้กับการเจ็บป่วย มีอารมณ์ผ่อนคลาย ความตึงเครียด จิตใจปลอดโปร่งไร้วิตกกังวล และสร้างจิตสำนึกด้านความกตัญญู เป็นคตินิยมของวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้สืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณี จะเห็นว่าผีฟ้านั้นเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ โดยมีคติเตือนใจว่า "คนไม่เห็น ผีเห็น"

สำหรับทุกวันนี้การลำผีฟ้าดูจะเสื่อมคลายลงไป เพราะความเจริญทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สำหรับชาวอีสานบางกลุ่มการกระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับผีฟ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งงมงายเหลวไหลหรือไร้สาระสิ้นเชิงเสียทีเดียว.
Share:

ผีนางตะเคียน

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานานในหมู่บ้านที่ดิฉันอาศัยอยู่ที่ต่างจังหวัดทางภาคกลางนี่เอง

เมื่อช่วงปิดเทอมใหญ่ ในเดือนเมษายน เหล่านักศึกษาพัฒนาชุมชนต่างก็ต้องมีหน้าที่ออกค่ายอาสา ที่จังหวัดนครนายก สถานที่ที่นักศึกษาจะต้องไปช่วยกันปรับปรุงซ่อมแซม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง ในหมู่บ้านของดิฉันที่จังหวัดนครนายกนี่เองค่ะ เป็นวัดที่ห่างไกลความเจริญ น้ำไฟก็ไม่มีใช้เหมือนกับชาวกรุงเทพ ชาวบ้านต้องใช้น้ำจากลำคลอง และส่วนไฟก็จะใช้ตะเกียงหรือเทียนแทนไฟฟ้า เพราะห่างไกลความเจริญมาก แต่ว่าหมู่บ้านนี้ห่างจากหมู่บ้านที่ดิฉันอยู่ประมาณ 40 กว่ากิโล แต่หมู่บ้านนั้นมีญาติบางคนของดิฉันอาศัยอยู่ จึงได้มีโอกาสไปนั่งฟังเรื่องราวชวนขนลุกนี้มาจากคนในหมู่บ้าน

ถึงจะทุกข์ยากลำบากกันแค่ไหน พวกนักศึกษาพัฒนาชุมชนก็ไม่หวั่น มุ่งหน้าที่จะพัฒนาวัดเก่าแก่ให้ดูงดงามให้จนได้ และจะทำให้ดูงดงามมากที่สุด และการเดินทางไปยังที่วัดเก่าแก่แห่งนั้น พวกนักศึกษาชายก็ต้องไปอาศัยอยู่ที่วัด ส่วนนักศึกษาหญิงก็ไปอาศัยอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านกันหมด บริเวณวัดกว้างมาก ไม่มีรั้วล้อม แต่ก็เต็มไปด้วยต้นไม้รก ปกคลุมวัดอยู่โดยรอบ และด้านหลังของวัดก็จะมีแม่น้ำไหลผ่าน มีต้นตะเคียนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำ

นักศึกษาชายก็ช่วยกัน ขนไม้บ้าง กระเบื้องบ้าง อุปกรณ์ทำงานบ้าง ช่วยกันไปคนละไม้ละมือ และพวกนักศึกษาหญิงก็ช่วยกันเก็บกวาดลานวัดโดยรอบ มีอยู่คืนหนึ่ง มีนักศึกษาชายคนหนึ่งชื่อว่า "หนุ่ย" หนุ่ยได้เกิดอยากสูบบุหรี่ขึ้นมากลางดึก จึงต้องออกไปหาที่ๆ เหมาะสมต่อการสูบบุหรี่ เพราะว่าเขาจะให้ใครมาเห็นและรับรู้ไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่เพื่อนก็ให้รับรู้ไม่ได้ เขาจึงค่อยๆก้าวย่องออกจากมุ้งอย่างเงียบที่สุด และออกไปทางหลังวัด เลาะป่าไม้หลังวัดไปยังท่าน้ำ เขาก็ได้ไปพบกับต้นตะเคียนใหญ่ริมน้ำต้นหนึ่ง และ เขาจึงหยุดยืนสูบบุหรี่อยู่ใต้ต้นตะเคียนนนั่น เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีใครมาเห็นแน่นอน หนุ่ยกำลังสูบบุหรี่อยู่ดีๆ ก็เห็นหญิงคนหนึ่ง แต่งชุดไทย เดินออกไปนั่งที่ท่าน้ำ ด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง เหมือนกับคนที่กำลังจะคิดสั้น หนุ่ยจึงเข้าไปถาม

"นี่ๆ พี่สาว ทำไมหน้าตาดูเศร้าหมองแบบนั้นล่ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า"


หญิงผู้นั้นเลยตอบว่า "พี่มีปัญหาที่บ้านพี่ พี่อยุ่บ้านไม่ได้ พี่กลับบ้านไม่ได้ พี่ไม่มีบ้านอยู่แล้ว"


หญิงผู้นั้นบอกกับหนุ่ยพร้อมกับน้ำตานองไหล หนุ่ยเลยถามกลับไปว่า


"แล้วพี่มีอะไรจะให้ผมช่วยไหมล่ะครับ ถ้าผมช่วยได้ผมจะชวยพี่"


"มีสิ พี่มีแน่นอน พี่อยากให้น้องช่วยพี่อย่างนึงน่ะ"


"แล้วพี่ต้องการให้ผมช่วยอะไรล่ะครับ"


"พี่ต้องการบ้านหลังหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องหรูหรามาก ขอแค่ให้พี่ได้มีที่อยุ่อาศัยก็พอ "


หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นแต่เยือกเย็น จนน่าขนลุกมากจากน้ำเสียงของเธอ


"บ้านหนึ่งหลัง!!!"


หนุ่ยอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด เพราะแค่นักศึกษาธรรมดาๆอย่างเขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อบ้าน บ้านหลังนึงก็ปาไปไม่น้อยเลย ไม่ต่ำกว่าแสน และนักศึกษาอย่างเขาจะไปเอาเงินแสนมาจากไหนเพื่อมาซื้อบ้านให้กับเธอ


"ตกใจอะไร หรือ บ้านหลังที่พี่ต้องการเนี่ยมันไม่เป็นปัญหาสำหรับนักศึกษาอย่างน้องหรอก"
"แต่บ้านหลังนึงเนี่ยต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าแสนเลยนะครับ แล้วผมจะไปเอาเงินมาจากไหน"


หญิงสาวคนนั้นเริ่มมีอาการโกรธ จึงหันหน้ามาต่อว่าหนุ่ย


"หรือเอ็งจะผิดสัญญากับข้าฮะ รู้มั้ยว่าข้าเป็นใคร บ้านที่ข้าต้องการให้เอ้งสร้างก็แค่หลังเท่าศาลเพียงตาเท่านั้นแหละ"


"นี่พี่เล่นตลกอะไรกับผมเนี่ยครับ เล็กแค่นั้นพี่จะเข้าไปอยู่ได้อย่างไรเล่า"
"ตกลงเอ็งจะทำให้ข้าหรือไม่ เอ็งจะผิดสัญญากับข้าหรอ เอ็งไปถามผู้ใหญ่ และคนในหมู่บ้านดูสิว่ารู้จักข้าหรือเปล่า"


หญิงสาวคนนั้นท่าทางโกรธมาก หนุ่ยจึงเริ่มใจคอไม่ดีและถามกลับไปเสียงสั่นๆว่า


"แล้วทำไมพี่ต้องโกรธผมด้วยล่ะครับ"
"ก็เอ็งมันผิดสัญญากับข้าก่อนทำไม ใครก็ช่างที่มันกล้าผิดสัญญากับข้า มันต้องเจอดีทุกรายไป"


ร่างของหญิงสาวสวย บัดนี้ไม่สวยอีกแล้ว เพราะร่างนั้นได้กลายสภาพเป็นศพเน่าเฟะ ส่งกลิ่นอบอวลไปหมด จนหนุ่ยตัวแข็งทื่อแน่นิ่งลงไปกับพื้น และหมดสติไปพักใหญ่ จนรุ่งเช้าเพื่อนๆและอาจารย์และอีกหลายๆคนในหมู่บ้านต่างช่วยกันออกตามหาหนุ่ย จนผู้ใหญ่บ้านได้บอกให้ไปลองหาดูที่ต้นตะเคียนหลังวัดดูปรากฏว่าพบร่างของหนุ่ยนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นตะเคียนนั้น ทุกคนจึงช่วยกันนำหนุ่ยกลับไปยังวัด รอจนหนุ่ยฟื้น หนุ่ยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟัง ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกว่า นั่นคือวิญญาณของผู้หญิงที่ชื่อ สายทอง เธอถูกสามีทอดทิ้งเพราะสามีเธอนำภรรยาใหม่เข้ามาอยู่ในบ้าน จึงทำให้สายทองรับไม่ได้ เธอเลยกระโดดน้ำตายตรงนั้น และวิญญาณเธอก็ไม่ยอมไปไหน วิญญาณของสายทองเลยสิงอยู่ที่ต้นตะเคียนต้นนั้นมาจนทุกวันนี้ หลายคนพบเจอเธออยู่บ่อยๆ และเธอก็ขอร้องให้ทุกคนช่วยหานู่นหานี่ให้เธออยู่บ่อยๆ และถ้าใครทำตามที่เธอขอ ก็มักจะเจอสิ่งปาฏิหารย์อยู่บ่อยๆ แต่ใครที่ผิดสัญญาหรือไม่ยอมทำตาม ก็จะได้เจอดีแบบที่หนุ่ยเจอ
อาจารย์และเพื่อนๆจึงขอร้องให้ผู้ใหญ่พาไปซื้อศาลมาตั้งไว้และเชิญวิญญาณของ สายทองมาอยู่ในศาลที่เขาได้ซื้อมาให้เธอ และหลังจากนั้นเป้นต้นมา คนในหมู่บ้านจึง สักการะและเคารพ เจ้าแม่สายทองมาจนทุกวันนี้ และสามีของ สายทองก็นำภรรยามาขออโหสิกรรม และสายทองก็อโหสิกรรมให้ คนในหมู่บ้านจึงมาบนบานศาลกล่าว กันเยอะแยะตราบจนทุกวันนี้ และหนุ่ยก็เจอปาฎิหารย์บ่อยครั้งเช่นกัน
Share: