วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เฮราคลีส เทพองค์หนึ่งในตำนานเทพเจ้ากรีก

เฮราคลีส (อังกฤษ: Heracles หรือ Herakles) เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งในตำนานเทพเจ้ากรีก ชื่อมีความหมายว่า "ความรุ่งโรจน์ของเฮรา" เขาเป็นบุตรของเทพซูสกับนางแอลก์มินี เกิดที่เมืองธีบส์ เป็นหลานของแอมฟิไทรออน และเป็นเหลนของเพอร์ซูส เฮราคลีสนับเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในปกรณัมกรีก ชื่อในตำนานเทพโรมันว่า เฮอร์คิวลีส ซึ่งดัดแปลงเอาเรื่องราวของเขาในปกรณัมกรีกไปใช้


นับแต่เฮราคลีสเกิดมาก็ตกอยู่ในความริษยาพยาบาทของเทพีเฮรา ซึ่งหึงหวงเทพซูสผู้สามี แม้เฮราคลีสเป็นบุตรเทพซูส แต่กลับมีกำเนิดเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เมื่อโตขึ้น เฮราคลีสได้แต่งงานกับนางเมการะ มีบุตรสามคน เทพีเฮราบันดาลให้เขาวิกลจริตและสังหารบุตรภรรยาตายสิ้น เมื่อเขาคืนสติก็จะฆ่าตัวตายตาม แต่ธีซูสเพื่อนสนิทห้ามปรามไว้ แนะให้ไปขอคำพยากรณ์จากวิหารเดลฟี คำพยากรณ์บอกให้เฮราคลีสไปหาท้าวยูริสเทียสและรับทำภารกิจทุกประการตามแต่จะได้รับ เพื่อเป็นการชำระมลทินให้บริสุทธิ์ ท้าวยูริสเทียสสรรหาภารกิจอันเหลือที่มนุษย์จะกระทำได้ เรียกกันว่า "The Twelves Labours of Heracles" หรือ ภารกิจ 12 ประการของเฮราคลีส ได้แก่

1.ปราบสิงโตแห่งนีเมีย
2.สังหารไฮดรา
3.จับกวางในป่าซีไรเนีย
4.จับหมูป่าแห่งเขาอีไรแมนทัส
5.ชำระคอกสัตว์ของท้าวออเจียส
6.สังหารนกกินคน สทิมเฟเลียน
7.จับกระทิงแห่งเกาะครีต
8.จับม้าของไดโอมีดีส
9.ชิงเข็มขัดของนางฮิปโพลีที
10.ชิงฝูงโคของยักษ์จีริออน
11.เก็บผลแอปเปิลทองคำของนางเฮสเพอริดีส
12.เอาหมาสามหัวเซอร์บิรัสมาจากยมโลก
หลังภารกิจ เฮราคลีสยังได้ร่วมไปกับขบวนนาวิกของเจสัน เพื่อไปค้นหาขนแกะทองคำ และประกอบวีรกรรมอื่นๆ อีกมาก แต่เหมือนบาปกรรมของเฮราคลีสยังไม่สิ้นสุด เขาเกิดวิกลจริตสังหารเพื่อนอีก จนต้องไปเป็นทาสนางออมฟลี ต้องสวมชุดสตรีและทำการงานของผู้หญิง เมื่อพ้นโทษ เขาจึงได้นางเดียไนระเป็นภรรยา

นางเดียไนระนี้เป็นเหตุแห่งความตายของเฮราคลีส เพราะนางหลงเชื่อคำลวงของเซนทอร์ชื่อ เนสสัส จึงนำเสื้อคลุมเปื้อนเลือดเซนทอร์ซึ่งเป็นยาพิษไปให้เฮราคลีสสวม ด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นยาเสน่ห์จะให้เฮราคลีสรักแต่ตนเพียงผู้เดียว เมื่อเฮราคลีสจะตาย เทพซูสจึงบันดาลให้ร่างเขาไหม้เป็นจุณแล้วรับขึ้นสวรรค์ ประทานเทพธิดาฮีบีให้เป็นคู่ครอง
Share:

ทฤษฎีแม่เหล็กโลกกลับขั้ว


สนามแม่เหล็กของเราจะมีอยู่ 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ และอีกขั้วหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ โดยขั้วแม่เหล็กทั้ง 2 ขั้ว จะมีการเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา และเป็นอิสระจากกัน ทั้งทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีและอันตรายภายนอกโลก แต่เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งการเปลี่ยนขั้วของสนามแม่เหล็ก ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250,000 ปีต่อครั้ง และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2008 นาซ่า (nasa) ได้ออกมาระบุเพิ่มเติมว่า อีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือ ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มากคือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลก อันนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมาย อาทิ ทำให้ประเทศเขตร้อนมีหิมะตก หรือมีอากาศหนาวเหน็บจนยากที่จะปรับตัวได้ทัน เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง แผ่นดินไหว แต่ไม่อาจคร่าชีวิตประชากรโลกจนสูญพันธุ์ได้ หรืออย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นนั้น เชื่อว่า เกิดจากแม่เหล็กโลกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเปลือกโลกเคลื่อนตัว จนเกิดแผ่นดินไหว ก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิตามมา
2012 โลกจะแตกจริงๆหรือ


อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่า นอกจากการที่โลกและดวงอาทิตย์ทำการแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง ซึ่งก็คือทุก ๆ 11 ปีนั่นเอง และเมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดปรากฎการณ์การกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน จนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ต้องสาบสูญไปในช่วงเวลานั้น ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติไปมากมาย จนเป็นเหตุให้โลกเสียสมดุล อย่างกรณีโลกร้อน ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือการเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกที่รุนแรงขึ้น ฯลฯ กระทั่งทำให้แกนโลกเกิดการเบี่ยงเบนไป จนนำไปสู่การกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง

ทฤษฎีชนเผ่ามายัน

ชนเผ่ามายัน ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่มีความสามารถในการคิดค้นปฏิทินและการคำนวณบางประการได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ทันสมัยแบบเรา โดยปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี และวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายา คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งในวันนี้เองที่เป็นมาของความเชื่อที่ว่า เป็นวันสิ้นโลก โดยเชื่อกันว่า ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเกิดปรากฎการณ์ที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะช่วงเวลาดังกล่าว เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ทำให้พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถม และเกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลก อาจทำให้เกิดซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปี ที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัย ก็คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดคลื่นสึนามิซัดถล่มประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจกำลังใกล้เข้ามาแล้วก็ได้

ทฤษฎีน้ำท่วมโลก

ด้วยสภาวะโลกร้อน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำทะเล และมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง โดยผลกระทบที่เราสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ที่ทำให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดทฤษฎีน้ำท่วมโลกขึ้น โดยเชื่อกันว่า หากเราไม่สามารถแก้ไข สภาวะโลกร้อนได้ ในปี 2012 โลกจะเกิดหายนะจากอุทกภัยน้ำท่วมโลก จากการละลายตัวของน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับผลสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ที่กรีนแลนด์เมื่อปี 2003 ที่ระบุว่า ขณะนี้อุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือและใต้สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การละลายตัวของน้ำแข็งในแต่ละวันมีปริมาณสูงถึงวันละ 1 ล้านตัน และหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เกิน 5-7 ปี น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและใต้จะละลายหมด ซึ่งก็คือ ปี 2012 นั่นเอง
Share:

เผยตีความปฏิทินมายาผิด โลกไม่แตกแต่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญเผย ชาวตะวันตกถอดความปฏิทินชนเผ่ามายาผิด ชี้ที่จริงโลกไม่แตก แต่อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น...

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 2 ธ.ค. ว่า ข้อความจารึกที่วัดของชนเผ่ามายา ในทอร์ทูกัวโร ซึ่งเคยถูกตีความไว้ว่า 2012 จะเป็นปีที่โลกถึงวันดับสูญ จากมหาภัยพิบัติต่าง ๆ อาทิ หลุมดำดูดกลืน ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์พุ่งชน หรือะไรก็ตาม

แต่ล่าสุด สเวน โกรเนเมเยอร์ นักแปลอักษรโบราณผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมนี จากมหาวิทยาลัยลาโทรบ ในออสเตรเลีย เผยว่า "มีความเป็นไปได้สูงว่า การถอดความนั้นมีความคลาดเคลื่อน อาจจะไม่ใช่คำทำนายวันโลกาวินาศ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่" ส่วนการถอดความวันสิ้นโลก เป็นการแปลความหมายแบบผิดๆ ของชาวตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดความตื่นกลัวกันไปเอง

ทั้งนี้ เมื่อปลาย พ.ย.ที่ผ่านา มีรายงานว่า ปฏิทินของชนเผ่ามายา ไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว แต่ชิ้นที่ 2 ทางการเม็กซิโก ได้เก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปีแล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ได้มีการค้นพบปฏิทินที่อ้างถึงวันสิ้นโลกปี 2012 ของชนเผ่ามายา อันที่ 2 ถูกจารึกไว้ในปราสาทโคมัลคัลโค ซึ่งผู้เชียวชาญยืนยันว่ามีการค้นพบจริง แต่ทางการเม็กซิโกได้ทำการเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดีมานานหลายปีแล้ว

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ มีการค้นพบหลักฐานทำนายวันสิ้นโลกของชนเผ่ามายาอันแรก ไม่ไกลกันจากพื้นที่ทอร์ทูกัวโร(พื้นที่ของชนเผ่ามายา) ในรัฐตาบัสโก ที่ระบุวันที่เดียวกันบนศิลาจารึกแท่งหนึ่ง โดยข้อความที่พบในทอร์ทูกัวโรระบุว่า โลกจะถึงจุดจบหรือจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหญ่ ในเดือนธันวาคม 2012 อันเกี่ยวข้องกับเทพโบลอนยกเต เทพแห่งสงคราม และการสร้างสรรค์

แต่ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า การแปลภาษาบนแท่นศิลาจารึกมีความคลาดเคลื่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่จากสถาบันประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของเม็กซิโก พูดมานานแล้วว่าความตื่นกลัวนี้คือการแปลความหมายแบบผิดๆ คิดไปเองของชาวตะวันตกต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ณ จุดจบของวงจรปฏิทินของชาวมายา

อย่างไรก็ตามคำแถลงนี้ก็ไม่อาจกลบกระแสความกังวลที่พุ่งสูงได้ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านชนเผ่ามายาราว 60 คนจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พบศิลาจารึก เพื่อหาของสงสัยเกี่ยวกับจุดจบของยุคหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของอีกยุค
Share:

องค์การ NASA ออกโรงชี้แจง !!! 2012 วันโลกาวินาศ หลักฐาน ข้อเท็จ ข้อจริง เป็นอย่างไร ??? ....

วันโลกแตก .. วันโลกาวินาศ คำนี้ พวกเราคงได้ยินถี่ขึ้น
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เราจะอ่านพบข่าวภัยพิบัตินานัปการ
ตั้งแต่น้ำท่วม ดินถล่ม พายุ อากาศร้อนจัด หนาวจัด กระทั่งมาถึง แผ่นดินไหว
หลายคนรู้สึก ว่าแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตเกิดบ่อยครั้งขึ้น
ตั้งแต่แผ่นดินไหวในซื่อชวนของจีนซึ่งมีผู้เสียชีวิต 90,000 คน ต่อมา แผ่นดินไหวในไฮติซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 200,000 คน และ ล่าสุด แผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งตามมาด้วยสึนามิ ทำให้มีผู้เสียชีวิต และ สูญหายไม่น้อยกว่า 20,000 คน
(โดยข้อเท็จจริง จำนวนครั้ง และขนาดของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญจากข้อมูลในอดีต)

แถมตามมาด้วย อากาศที่แปรปรวนอย่างหนักในประเทศไทย
ปลายมีนาคมจะเข้าเมษายนแล้ว เมืองไทยอากาศยังหนาวสั่น
ขณะที่ทางภาคใต้ของไทย กลับมีฝนตกหนักต่อเนื่อง จนน้ำท่วมอย่างที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
หรือว่า .. หรือว่า นี่จะเป็นการเริ่มต้นไปสู่ ..วันโลกาวินาศ
หลายคน คงเริ่มมีความสงสัย ความกังวลอยู่ในใจ
ว่า ภาพยนต์เรื่อง 2012 นั้น ดูท่าจะกลายเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว

ข่าวเกี่ยวกับ วันสิ้นโลกในปี 2012 มีการกล่าวขวัญกันถึงในเวบไซต์ต่างๆมากมาย
แม้ในฟอร์เวิร์ดเมล์ ก็จะมีการส่งเรื่องราว กล่าวเตือนถึง “วันมรณะ” นี้ไปทั่ว
ผมเอง มีประสบการณ์เกี่ยวกับข่าวลือทำนองนี้มามากมาย
ดังนั้น จึงเลือกที่จะตรวจสอบ ที่ไปที่มา เพื่อหาความเห็น หรือข่าวสารอื่นๆ ให้ครบถ้วน รอบด้าน
ผมพบว่า ในเวบไซต์ต่างๆ มีการนำเรื่องราว 2012 วันสิ้นโลก ไปกล่าววิพากษ์วิจารณ์ไว้มากมายว่าเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา หาข้อเท็จจริงไม่ได้
แม้ในเวบไซต์ของ NASA (องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ) อันเป็นหน่วยงานรัฐ ของสหรัฐฯ ก็เปิดพื้นที่ เพื่อชี้แจงให้ประชาชนอเมริกา และ ทั่วโลก ทราบว่า ข่าวลือดังกล่าว ปราศจากพื้นฐานความจริงใดๆทั้งสิ้น
วันนี้ ผมขอถอดความบางส่วนจากเวบของนาซาดังกล่าว มาเผยแพร่ เพื่อช่วยกันบรรเทาความแตกตื่นต่อ 2012 วันสิ้นโลกนี้ลงไปได้บ้าง


๐๐๐๐๐๐๐๐๐

คำถาม มีภัยคุกคามใดๆต่อโลกมนุษย์ในปี 2012 หรือไม่ ? เวบไซต์ในอินเตอร์เนตจำนวนมากระบุว่า โลกจะถึงการอวสานต์ ในเดือนธันวาคม 2012
Question (Q): Are there any threats to the Earth in 2012? Many Internet websites say the world will end in December 2012.

คำตอบ ไม่มีอะไรร้ายแรงจะเกิดขึ้นกับโลกมนุษย์ในปี 2012 ดาวพระเคราะห์ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่กันนี้ อยู่มาด้วยดีเป็นเวลากว่าสี่พันล้านปี และนักวิทยาศาสตร์ซึ่งทรงความน่าเขื่อถือทั้งหลายในโลก ไม่พบเหตุของความคุกคามใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับปี 2012 นี้แต่อย่างใด
Answer (A): Nothing bad will happen to the Earth in 2012. Our planet has been getting along just fine for more than 4 billion years, and credible scientists worldwide know of no threat associated with 2012.

คำถาม อะไรเป็นจุดเริ่มต้นของคำพยากรณ์ว่าโลกจะสิ้นสุดในสิ้นปีของปี 2012
Q: What is the origin of the prediction that the world will end in 2012?

คำตอบ เรื่องมันเริ่มต้นด้วยการกล่าวอ้างว่า ดาวนิบิรุ (Nibiru) ซึ่งเป็นดวงดาวที่กล่าวกันว่า ชาวสุเรเมียน(Suremians) เป็นผู้ค้นพบกำลังพุ่งเข้าหาโลก ในเบื้องต้น คำพยากรณ์กล่าวว่า ความหายนะจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2003 แต่เนื่องจากไม่เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น วันโลกาวินาศจึงถูกเลื่อนไปเป็นเดือนธันวาคม 2012 หลังจากนั้นจึงมีการนำนิทานทั้งสองเรื่องมาเชื่อมโยงเข้ากับกับจุดจบของวงวัฎจักรในปฎิทินโบราณของมายัน และนำมาสู่คำพยากรณ์ว่าวันโลกาวินาศคือ วันที่ 21 ธันวาคม 2012
A: The story started with claims that Nibiru, a supposed planet discovered by the Sumerians, is headed toward Earth. This catastrophe was initially predicted for May 2003, but when nothing happened the doomsday date was moved forward to December 2012. Then these two fables were linked to the end of one of the cycles in the ancient Mayan calendar at the winter solstice in 2012 -- hence the predicted doomsday date of December 21, 2012.

คำถาม จริงหรือที่ว่าปฎิทินของมายันสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2012
Q: Does the Mayan calendar end in December 2012?

คำตอบ ปฏิทินของพวกเราที่แปะอยู่ในห้องครัว ไม่ได้สิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม ปฏิทินของมายันก็ไม่ได้จบสิ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เช่นเดียวกัน วันที่ 21 ธันวาคมดังกล่าว เป็นวันสุดท้ายของรอบวงปฏิทินของมายัน ดังนั้น เมื่อปฏิทินของพวกเรา เริ่มใหม่อีกครั้งในวันที่ 1 มกราคม ปฏิทินมายัน ก็เริ่มต้นนับใหม่ ภายหลัง 21 ธันวาคม
A: Just as the calendar you have on your kitchen wall does not cease to exist after December 31, the Mayan calendar does not cease to exist on December 21, 2012. This date is the end of the Mayan long-count period but then -- just as your calendar begins again on January 1 -- another long-count period begins for the Mayan calendar.

คำถาม มีดาวที่ชื่อว่านิบิรุ หรือ ดาว X หรืออีริส (Eris)ที่กำลังพุ่งเข้าหาโลก และ คุกคามที่จะทำลายดาวเคราะห์ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่นี้หรือไม่
Q: Is there a planet or brown dwarf called Nibiru or Planet X or Eris that is approaching the Earth and threatening our planet with widespread destruction?
คำตอบ นิบิรุ และเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้าหาโลก เป็นเรื่องซึ่งกุขึ้นมาในอินเตอร์เนต ไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างเหล่านี้เลย หากคำอ้างที่ว่านิบิรุ หรือ ดาว X กำลังมุ่งหน้าที่จะพุ่งชนโลกในปี 2012 เป็นจริง นักดาราศาสตร์คงจะทำการติดตามดาวดวงนี้มาอย่างน้อยเป็นสิบปีมาแล้ว และ หากเรื่องนี้เป็นจริง วันนี้ เราย่อมสามารถมองเห็นดาวดังกล่าวด้วยตาเปล่าในวันนี้แล้ว ความเป็นจริงก็คือ มันไม่มีดาวดังกล่าว สำหรับ Eris นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ดาวดวงนี้เป็นดาวดวงเล็กขนาดเท่าดาวพลูโต และดาวดวงนี้จะอยู่ในวงโคจรรอบนอกของระบบสุริยะ ระยะใกล้ที่สุดซึ่งดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้ ก็คือประมาณ สี่พันล้านไมล์
A: Nibiru and other stories about wayward planets are an Internet hoax. There is no factual basis for these claims. If Nibiru or Planet X were real and headed for an encounter with the Earth in 2012, astronomers would have been tracking it for at least the past decade, and it would be visible by now to the naked eye. Obviously, it does not exist. Eris is real, but it is a dwarf planet similar to Pluto that will remain in the outer solar system; the closest it can come to Earth is about 4 billion miles.

คำถาม เป็นความจริงหรือไม่ ที่ว่ามีอันตรายที่โลกจะถูกพุ่งชนจากอุกาบาตในปี 2012
Q: Is the Earth in danger of being hit by a meteor in 2012?

คำตอบ โลกมีโอกาสถูกพุ่งชนจากดาวหางหรืออุกาบาตตลอดเวลา แต่การพุ่งชนซึ่งมีความรุนแรงมีน้อยมาก การพุ่งชนที่มีผลกระทบใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป ปัจจุบันนี้ นาซาได้ดำเนินการสำรวจที่เรียกว่า การสำรวจเพื่อปกป้องอวกาศ เพื่อมองหาอุกาบาตขนาดใหญ่ซึ่งอยุ่ใกล้โลก เป็นเวลานานก่อนที่มันจะพุ่งถึงโลก ผลการศึกษา นาซาสรุปว่ายังไม่พบอุกาบาตขนาดใหญ่เช่นที่เคยทำลายไดโนเสาร์มาก่อน งานการสำรวจนี้ ทำกันอย่างเปิดเผย และมีการนำขึ้นเวบทุกวันที่ NEO Program Office website ซึ่งทุกคนสามารถเข้าไปดูได้
A: The Earth has always been subject to impacts by comets and asteroids, although big hits are very rare. The last big impact was 65 million years ago, and that led to the extinction of the dinosaurs. Today NASA astronomers are carrying out a survey called the Spaceguard Survey to find any large near-Earth asteroids long before they hit. We have already determined that there are no threatening asteroids as large as the one that killed the dinosaurs. All this work is done openly with the discoveries posted every day on the NASA NEO Program Office website, so you can see for yourself that nothing is predicted to hit in 2012.

คำถาม นักวิทยาศาสตร์นาซา รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการกล่าวอ้างถึง วันโลกาวินาศซึ่งจะมาถึง
Q: How do NASA scientists feel about claims of pending doomsday?

คำตอบ คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับภัยพิบัติหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันในปี 2012 นั้น มันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อย่างไร หลักฐานบ่งชี้อยู่ที่ไหน เราไม่พบเห็นอะไรเหล่านั้นเลย
สำหรับการนำเสนอต่างๆ ทั้งในรูปหนังสือ ภาพยนต์ สารคดี หรือในอินเตอร์เนต ต่างๆนั้น ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงได้ ไม่มีหลักฐานที่พอเชื่อถือใดเลย สำหรับการยืนยันว่าจะเกิดเหตุการณืผิดปรกติขึ้นในเดือนธันวาคม 2012
A: For any claims of disaster or dramatic changes in 2012, where is the science? Where is the evidence? There is none, and for all the fictional assertions, whether they are made in books, movies, documentaries or over the Internet, we cannot change that simple fact. There is no credible evidence for any of the assertions made in support of unusual events taking place in December 2012.

คำถาม มีอันตรายใดๆที่จะเกิดจากพายุสุริยะขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะมีในปี 2012
Q: Is there a danger from giant solar storms predicted for 2012?

คำตอบ การปรับเปลี่ยนของพายุสุริยะเกิดเป็นวัฎจักร ซึ่งจะขึ้นถึงจุดสุดยอดทุก 11 ปี เมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอดนี้ การปะทุในดวงอาทิตย์อาจทำให้ระบบสื่อสารดาวเทียมได้รับผลกระทบ แม้ในปัจจุบันวิศวกรกำลังเรียนรู้ที่จะพัฒนาระบบอิเล็กตรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้ภายใต้พายุสุริยะใดๆก็ได้ แต่ไม่มีความเสี่ยงพิเศษใดๆในปี 2012 จุดสุดยอดของการเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นประมาณปี 2012-2014 และก็เป็นที่คาดว่าจะเป็นวงวัฎจักรสุริยะตามปรกติ ไม่มีความแตกต่างใดจากวัฎจักรซึ่งเคยเกิดมาในประวัติศาสตร์
A: Solar activity has a regular cycle, with peaks approximately every 11 years. Near these activity peaks, solar flares can cause some interruption of satellite communications, although engineers are learning how to build electronics that are protected against most solar storms. But there is no special risk associated with 2012. The next solar maximum will occur in the 2012-2014 time frame and is predicted to be an average solar cycle, no different than previous cycles throughout history.
Share:

คนโบราณเชื่อว่าทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ


คนโบราณเชื่อว่าทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ สงครามจะเกิด ภูเขาไฟจะระเบิด และโรคร้ายจะระบาด ฯลฯ ปราชญ์ Aristotle ได้เคยกล่าวไว้ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ ที่ได้ท่วมทำลายมหานคร Helice และ Bura ของกรีกโบราณนั้นเกิดขึ้นเมื่อดาวหางปรากฏ คัมภีร์ไบเบิลก็ได้บันทึกว่า ก่อนที่นคร Sodom และ Gomorah จะถูกพระเจ้าทำลาย ผู้คนในเมืองก็ได้เห็นดาวหางปรากฏบนฟ้าเช่นกัน และเมื่อดาวหางโผล่ในปีที่จักรพรรดิ Attila Valerian และ Caesar เสด็จสวรรคต ชาวบ้านก็ยิ่งปักใจเชื่อว่า ดาวหางกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ เป็นของคู่กัน

ส่วนในประเทศญี่ปุ่นนั้น องค์จักรพรรดิ์จะทรงมีพระราชบัญชาให้นักบวชประจำราชสำนักทำพิธีบวงสรวงขอความปรานีจากพระผู้เป็นเจ้าเวลาดาวหางโผล่ และจะทรงห้ามประชาชนมิให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจนกว่าดาวหางจะลับหายไป จักรพรรดิ์ญี่ปุ่นพระองค์หนึ่งได้ทรงหวาดกลัวดาวหางมาก ถึงกับทรงสละราชบัลลังก์ เมื่อมีดาวหางปรากฎในรัชสมัยของพระองค์

เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้น ผู้คนก็ชักจะเริ่มสงสัยในความเชื่อที่ว่าดาวหางเป็นดาวอัปมงคล จักรพรรดิ์ Nepoleon ซึ่งประสูติในปีที่ดาวหางปรากฏ ได้ทรงประกาศว่า ดาวหางคือสัญญาณจากพระเจ้าที่ทรงกำหนดมาให้พระองค์ได้เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศรัสเซีย (พระองค์ไม่ได้เป็น)

ถึงแม้ว่าคนส่วนมาก จะรู้สึกผวากลัว เมื่อเห็นดาวหาง แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกยินดีเป็นที่ยิ่งเมื่อเห็นดาวหาง เขาเหล่านั้นคือบุคคลที่เห็นดาวหางเป็นคนแรก ประเพณีกำหนดไว้ว่า ใครที่เห็นดาวหางดวงที่ยังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ชื่อของเขาจะเป็นชื่อของดาวหางดวงนั้นทันที ดาวหางจึงมีชื่อต่างๆ นานา เช่น Alcock Asaki, Kohoutek และ Austin เป็นต้น

ในปี พ.ศ. 2371 นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ W. Olbers ได้คำนวณว่าดาวหาง Biela จะโคจรผ่านโลกในระยะใกล้มาก ฝุ่นละอองจากดาวจะทำให้อากาศบนโลกเป็นพิษ คนทั่วไปเมื่อได้ยิน ได้ฟังคำพยากรณ์นี้ได้รู้สึกตื่นกลัวว่า Biela จะชนโลก แต่เมื่อ D. Arago นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้คำนวณทางโคจรของ Biela ใหม่ และพบว่าระยะใกล้ที่ว่านั้นคือ 80 ล้านกิโลเมตร ผู้คนที่เคยใจหายก็เริ่มหายใจได้เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2405 นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันสองท่านคือ L. Swift และ H. Tuttle ได้เห็นดาวหางดวงใหม่ และขณะนี้ดาวหาง Swift-Tuttle กำลังผ่านใกล้โลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2541 B. Marsden แห่ง Haward-Smithsonian Center for Astrophysics ได้พยากรณ์ว่า Swift-Tuttle ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 กิโลเมตร อาจจะชนโลก ในวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2669 ซึ่งเป็นเวลาที่ Swift-Tuttle จะโคจรกลับมาใกล้โลกอีกครั้ง และโอกาสการตูมกันกลางอวกาศจะเป็น 0.01%

หาก Swift-Tuttle ชนโลกจริงๆ แรงปะทะจะทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงเท่ากับการระเบิดพร้อมๆ กันของการระเบิดปรมาณู 1 ล้านลูก ฝุ่นละออง และควันจะฟุ้งกระจายบดบังแสงอาทิตย์จากเบื้องบนนานเป็นปี พืชและสัตว์จะพากันล้มตาย และสูญพันธุ์ไปถึงไม่หมดก็เกือบหมด

Marsden ได้เรียกร้อง ให้นักดาราศาสตร์ทั่วโลก จับตาดูดาวหางดวงนี้แบบตาอย่ากระพริบ เพื่อตรวจดูตำแหน่งและทิศทางการโคจรของมัน หากคำพยากรณ์ของเขาถูก เราก็จะต้องยิงจรวดนำปรมาณู ไปถล่มทลายดาวหางดวงนี้ ก่อนที่มันจะถล่มเรา
Share: