tag:blogger.com,1999:blog-12372298317038680622024-02-07T04:04:04.179-08:00เรื่องแปลกๆทั่วไทยตำนานต่างๆที่น่าสงสัย ความน่ากลัวที่ถูกซ่อนเร้นภายใต้เงามืดมานานแสนนาน จะถูกค้นหาและเปิดเผยจากที่นี้smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.comBlogger246125tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-86274672198931525752016-12-31T06:27:00.005-08:002016-12-31T06:27:57.249-08:00สับปะรดประหลาด ออกผล 7 ลูกในก้านเดียว<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px;"><span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="230" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhy10t5TEVn-fINm0Wi9XGAQnnmgwU9EY2sYZ8cujE-3MsDHWD5HIjeE-Ct6E1BWXQh6pDfB6d4pQGGkSQeaBIUuXUqhi8AUdzHxgB2osOSnI56OfqEdZIBJNrn1hHNNPuEfMj-h4UOXsek/s320/etetet.jpg" width="320" /></span></b></div>
<span style="background-color: white; font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; font-size: 16px;">โดยพบว่าสับปะรดก้านดังกล่าว นับจำนวนได้ 7 ลูกในก้านเดียว ลักษณะผลมีขนาดเล็กแต่ขายได้ แต่ก็เพิ่งเคยเจอก้านเดียวที่ออกผลแยก 7 ลูก เชื่อว่าเป็นสิ่งดีที่ทำให้เพิ่มผลผลิตได้ ถือเป็นโชคลาภ ในอนาคตก็จะลองพัฒนาให้ลูกมีขนาดใหญ่และน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมด้วยปุ๋ยฮอร์โมน ทำให้สามารถส่งขายได้ในราคาผลลูกใหญ่ </span>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-74130431457488498522016-11-04T07:37:00.001-07:002016-11-04T07:40:58.589-07:00ปู่วัย 92 ปีแต่งงานมาแล้ว 107 ครั้ง <span style="background-color: black; color: yellow;"><span style="font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;"> </span><span style="font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;">ปู่วัย 92 จากไนจีเรีย เคยแต่งงานมาแล้ว 107 ครั้ง ยังเหลือภรรยาอีก 97 คน ที่ยังอยู่กินอยู่ด้วยกัน เผย ยังหวังหาภรรยาเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ </span></span><br />
<span style="background-color: black;"><span style="background-color: black; color: yellow;"><span style="background-color: white; font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;"><br /></span>
<span style="background-color: black;"><span style="font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;">เว็บไซต์อ็อดดิตี้เซนทรัล </span><span style="font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;">รายงานเรื่องราวชวนทึ่งของ โมฮัมเหม็ด เบลโล อาบูบาคาร์ ชายชาวไนจีเรีย วัย 92 ปี ผู้เคยแต่งงานมาแล้วถึง 107 ครั้ง และมีลูกมากถึง 185 คน ซึ่งปัจจุบันเหลือภรรยาที่ยังอยู่ด้วยกัน 97 คน เพราะเคยผ่านการหย่ามาแล้ว 10 ครั้ง โดยที่เจ้าตัวอ้างว่าสาเหตุที่มีภรรยาเยอะขนาดนี้เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งยังบอกอีกด้วยว่า ผู้ชายควรจะมีภรรยากี่คนก็ได้ ตราบได้ที่เขาสามารถส่งเสียเลี้ยงดูพวกเธอไม่ให้เดือดร้อน</span></span></span></span><br />
<div style="font-family: Tahoma, Geneva, sans-serif; margin: 20px 0px;">
<span style="background-color: black; color: yellow;"> "สิ่งที่ผมทำนั้น ผมทำเพราะความศรัทธา ผมมีภรรยาเยอะงั้นรึ...ไม่เลย ผมมีแค่ 97 คนเท่านั้นเอง และผมก็จะแต่งงานหาภรรยาต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็จนกว่าจะตายนั่นแหละ" ปู่เบลโลกล่าว</span></div>
<span style="background-color: white;"><span style="background-color: black; color: yellow; font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;"> นอกจากนี้ ปู่ได้แนะนำบรรดาหนุ่ม ๆ ว่า ไม่ต้องทำตามเขาเพราะผู้ชายทั่วไปควรมีภรรยาแค่ 10 คนก็พอ ไม่ต้องเยอะถึงขนาดนี้ และถึงแม้ปู่จะมีภรรยามากเกือบร้อย แต่เขาก็สามารถควบคุมให้ทุกคนอยู่ในโอวาทได้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหา</span></span><br />
<span style="background-color: black; color: yellow;"><span style="font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;"> </span><span style="font-family: "tahoma" , "geneva" , sans-serif;">"ผมสุขภาพดีและยังแข็งแรงมาก หัวใจ ม้ามปอดดีหมด ข่าวลือที่ว่าผมตายนั่นมันไร้สาระ สิ่งที่บอกได้ก็คือ คนกุข่าวพวกนั้นอิจฉาริษยา ที่ผมได้รับพรจากรพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ประทานให้ผมน่ะสิ อีกอย่างที่ผมอยากจะบอกก็คือ ใครก็ตามที่ด่าผมว่ามีภรรยาเยอะ ให้หยุดซะ เพราะการด่าผม ก็เหมือนว่ากำลังหลบหลู่พระผู้เป็นเจ้านั่นแหละ" ปู่เบลโลกล่าว </span></span>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-61168071065674721572015-05-15T08:13:00.000-07:002015-05-15T08:13:32.379-07:00ปลาฉลามกรีนแลนด์ <div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;"><b>ปลาฉลามกรีนแลนด์</b> (<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ภาษาอังกฤษ">อังกฤษ</a>: <span lang="en" xml:lang="en">Greenland shark, Gray shark, Ground shark, Gurry shark</span>; <a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ชื่อวิทยาศาสตร์">ชื่อวิทยาศาสตร์</a>: <i>Somniosus microcephalus</i>) ปลากระดูกอ่อนชนิดหนึ่ง จำพวก<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ปลาฉลาม">ปลาฉลาม</a> ใน<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="วงศ์ปลาฉลามสลีปเปอร์ (ไม่มีหน้า)">วงศ์ปลาฉลามสลีปเปอร์</a> (Somniosidae)</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: black; color: white;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpEwucF7TyMPB27gPnBqS774V5fiG24D66t37SR0IQhv3bGnfqZPoD27Gb1WP55oKQcXaA8RN1_TIVeRpArYcRVCkkBBbbyQoTXRkmdR6Nd9-41cg91T-8i4JrqVvPiqKEO9MYG_NyCss0/s1600/download.jpg" /></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">ปลาฉลามกรีนแลนด์ เป็นปลาฉลามกินเนื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง นับว่ารองมาจาก<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ปลาฉลามขาว">ปลาฉลามขาว</a> เพราะอาจยาวได้ถึง 24 ฟุต และมีน้ำหนักได้ถึง 2,500 ปอนด์ แต่ขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปยาว 2.44–4.8 เมตร (8.0–16 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม (880 ปอนด์) ปลาฉลามกรีนแลนด์มีผิวหนังที่หนาหยาบเหมือนกระดาษทรายสีเทาเข้มเกือบดำ ครีบหลังเป็นเพียงโหนกสั้น ๆ ไม่เหมือนกับปลาฉลามทั่วไป</span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">มีขากรรไกรกว้าง มีฟันที่แหลมคมเรียงกันเป็นแถว บนขากรรไกรบน 48–52 ซี่ ในขณะที่ขากรรไกรล่างมีประมาณ 50–52 ซี่ ใช้สำหรับจับอาหารให้แน่นและงับเหยื่อ รวมทั้งสะบัดให้ขาด</span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">ปลาฉลามกรีนแลนด์ พบกระจายพันธุ์อยู่ในแถบน้ำที่หนาวเย็นมีอุณหภูมิเพียง 10 ถึง -6 องศาเซลเซียส ในแถบอาร์กติก เช่น กรีนแลนด์, ไอซ์แลนด์ หรือนอร์เวย์ นับว่าเป็นปลาฉลามที่อาศัยอยู่ในซีกโลกตอนเหนือที่สุด นอกจากนี้แล้วยังอาศัยอยู่ในความลึกกว่า 2,000 ฟุตจากผิวน้ำ</span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">ดังนั้น วงจรชีวิตของปลาฉลามกรีนแลนด์จึงยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เชื่อว่ากินปลาและสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ ตามพื้นทะเลเป็นอาหาร รวมถึงซากสัตว์ขนาดใหญ่ที่ตายลงน้ำด้วย เช่น หมีขั้วโลก, ม้า หรือ กวางแคริบู เนื่องจากมีการผ่าพบซากสัตว์เหล่านี้ในกระเพาะอาหาร และเชื่อว่าด้วยขนาดและรูปร่าง กอรปกับถิ่นที่อยู่อาศัยจึงเป็นต้นเหตุของความเชื่อเรื่องสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ในแม่น้ำหรือมหาสมุทรในแถบซีกโลกทางเหนือ เช่น <a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B9%8C" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์">สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์</a> </span></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-10866496644126315992015-05-15T08:08:00.002-07:002015-05-15T08:09:28.376-07:00ปลาไหลกัลเปอร์<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><b>ปลาไหลกัลเปอร์</b> (<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ภาษาอังกฤษ">อังกฤษ</a>: <span lang="en" xml:lang="en">Gulper, Gulper eel</span>) เป็นวงศ์และสกุลของปลาทะเลน้ำลึกวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวงศ์ว่า Saccopharyngidae (มาจาก<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ภาษาละติน">ภาษาละติน</a> "saccus" หมายถึง "ถุง" และ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%81" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="ภาษากรีก">ภาษากรีก</a> φάρυγξ, หมายถึง "<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A2" style="background-attachment: initial; background-clip: initial; background-image: none; background-origin: initial; background-position: initial; background-repeat: initial; background-size: initial; text-decoration: none;" title="คอหอย">คอหอย</a>")</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">ปลาไหลกัลเปอร์ เป็นปลาที่มีลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาไหล ลำตัวไม่มีเกล็ด มีลักษณะเด่น คือ มีปากกว้างใหญ่ มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่า 1 ใน 4 ของลำตัว ภายในปากมีฟันที่แหลมคมเต็มไปหมด มีหางยาวและไวต่อความรู้สึก ดวงตามีขนาดเล็ก</span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><br /></span></span>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><img border="0" height="168" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_EwqSLO2rwZ80veQw-9bbDMit296bV4UcpooeixFSB2EG5xBGRVsAyxg9hLwMRHrgvrZ6pdf-LpqKTNbwlGfpB-Lg_qErCrw-LmM9ZE17iHH7yBrzND4iQvBQQmeh5xZMyel9rTPGgQvF/s320/jfjhghj.jpg" width="320" /></span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 14px; line-height: 22.3999996185303px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.5em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">มีลำตัวทั่วไปสีดำ และยาวได้เต็มที่ประมาณ 2 เมตร (6.5 ฟุต) พบได้ในระดับความลึก 1,800 เมตร (6,000 ฟุต) เป็นปลาที่เหมือนกับปลาใต้ทะเลลึกทั่วไป คือ กินอาหารได้หลากหลายชนิดไม่เลือก เนื่องจากเป็นสถานที่ ๆ อาหารหายาก ซึ่งด้วยปากที่กว้างใหญ่เช่นนี้ทำให้สามารถกินอาหารที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวได้</span></span></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-22262428325866716302014-11-18T20:17:00.000-08:002014-11-18T20:17:06.094-08:00มะนาวนิ้วมือ มะนาวคาเวียร์<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>มะนาวนิ้วมือ</b> หรือมะนาวคาเวียร์ มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า<b> Finger Lime</b>
และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Citrus australasica เป็นพืชในสกุล Genus
เช่นเดียวกับผลไม้รสเปรี้ยวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ส้ม เกรปฟรุต และมะนาว
มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศออสเตรเลีย ขนาดของต้นสูงประมาณ 5-6 เมตร
มีใบขนาดเล็กยาว 1-6 เซนติเมตร กว้าง 3-25 มิลลิเมตร
ผิวใบเกลี้ยงและปลายใบหยักกลม ดอกสีขาว กลีบดอกยาว 6-9 มิลลิเมตร
ผลเป็นรูปทรงกระบอกยาว 4-8 เซนติเมตร บางผลอาจมีทรงโค้ง มีหลายสี ได้แก่
สีเรดแชมเปญ, พิงค์ ไอซ์, จาลิเรด, เอมเมอรัล และเทสตี้กรีน
แต่ละสีจะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากมะนาวพันธุ์ทั่วไป</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijtXSR5kFWgU3Qt9J7uetJ92uC4pnqLZ1EUwlEO8BbdPE3KCwaNP45o8mop1QIJpnN1OyMqUBVg-6AMOq8H5FKNRodEU33K0yRlF7Hx0jayfeugnKTGyeGPNj3BeLUueBID_pKoKGEdQt_/s1600/chnaghai_g.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="color: black; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijtXSR5kFWgU3Qt9J7uetJ92uC4pnqLZ1EUwlEO8BbdPE3KCwaNP45o8mop1QIJpnN1OyMqUBVg-6AMOq8H5FKNRodEU33K0yRlF7Hx0jayfeugnKTGyeGPNj3BeLUueBID_pKoKGEdQt_/s1600/chnaghai_g.jpg" height="320" width="318" /></span></a></div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>มะนาวนิ้วมือ</b>
สามารถปลูกได้ง่ายโดยอาจจะใช้เมล็ดหรือใช้วิธีปักชำก็ได้
สามารถเติบโตได้ดีในบริเวณที่ปริมาณน้ำฝนสูงและมีแสงแดดมาก
และยังสามารถทนต่อน้ำค้างและแสงแดดจัดได้
นอกจากนี้ยังสามารถเจริญเติบโตได้ดีในกระถางอีกด้วย
อย่างไรก็ตามควรจะปลูกในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิ 15-29 องศาเซลเซียส
จะได้ผลดีที่สุด ระยะเวลาการปลูกอยู่ที่ 18 เดือน จึงจะออกผล
ซึ่งแต่ละสีจะมีรสชาติและสีของเนื้อแตกต่างกัน ดังนี้<br /><br /> <b>เรดเชมเปญ (Red Champagne) </b>- เปลือกสีแดง เนื้อในแดงเข้ม มีรสเปรี้ยวจี๊ด <br /><br /> <b>พิงค์ไอซ์ (Pink Ice) </b>- เปลือกสีชมพู เนื้อในชมพู รสนุ่มละมุน<br /><br /> <b>จาลิเรด (Jali Red)</b> - เปลือกสีเขียวอ่อน เนื้อสีแดงใส<br /><br /> <b>เอมเมอรัล (Emerald) </b>- เปลือกสีเขียวเข้ม เนื้อสีเขียวมรกต<br /><br /> <b>เทสตี้กรีน (Tasty Green)</b> - เปลือกเขียว เนื้อขาวใส</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>มะนาวนิ้วมือ</b>
เป็นผลไม้ที่มักจะถูกนำมาตกแต่งในจานอาหารเพื่อเพิ่มความสวยงามและรสชาติให้
อาหารต่าง ๆ หรืออาจจะนำไปผสมกับเครื่องดื่มให้มีรสชาติดียิ่งขึ้น
บ้างก็นำไปเพิ่มความหอมให้กับขนมและของหวานต่าง ๆ อาทิเช่นไอศกรีม
ที่จะนำมะนาวนิ้วมือสีเทสตี้กรีน
ไปแช่แข็งแล้วนำมาฝนลงในไอศกรีมเพื่อเพิ่มความหอมของมะนาว</span>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-88210823961766543092014-02-23T23:00:00.002-08:002014-02-23T23:00:42.686-08:00แม่น้ำในอังกฤษเปลี่ยนเป็นสีส้ม<b style="color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 16px;">เผยภาพแปลกตาม แม่น้ำในอังกฤษเปลี่ยนเป็นสีส้ม เพราะไหลผ่านเหมืองแร่และผสมเข้ากับเหล็กออกไซด์</b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b style="color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 16px;"><span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiI2iB7p2S4SxLFXWF7i4Dxu49f6bYKzKAntzHy_0iSs0H7Y_Fu-saJIMAJV-RBtf8tsAPTm1E3K4Subt4u_wRkUooF9azmFzy_eCfzVgocLDa07IOz6SvJZJ-GEHy7oC0wEHJNy1qHZreL/s1600/Armit35.jpg" height="320" width="239" /></span></b></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b style="color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 16px;"><span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuvpbgt8Plk57GOw0l8cOfFI9FWfnffcj2S5IsV71eYy4g_UvNkbJpzG2jtuARPg3ZJnKiB3STJl-eRMtr9BFzPPvl4sG95DR9CMuqaQW2lmLyOYVwsHDVkRE7dJmhzc62ysNQRLEq21-N/s1600/Red-Ri436.jpg" height="320" width="239" /></span></b></div>
<br />
<b style="color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 16px;"><br /></b>
<span style="color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 16px;"> เกิดเป็นภาพแปลกตาขึ้นเมื่อน้ำในแม่น้ำโฮล์ม เมืองเวสต์ยอร์กเชียร์ เกิดเปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาตินี้ได้ถูกผสมเข้ากับเหล็กออกไซด์ จนก่อให้เกิดปฏิกิริยากลายเป็นสายน้ำสีส้มนี้ </span><br />
<span style="color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 16px;"><br /></span>
<b style="color: navy; font-family: Tahoma; font-size: 16px;">ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาเพิ่มระดับขึ้นจนเข้าไปท่วมภายในเหมืองแร่ จากนั้นน้ำสีส้มสกปรกเหล่านี้จะไหลผ่านเนินเขาไปยังเหมืองแร่เก่า</b><span style="color: navy; font-family: Tahoma; font-size: 16px;"> และจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้นที่บริเวณตอนกลางของหมู่บ้าน</span>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-1126265549637960772014-02-23T22:55:00.002-08:002014-02-23T22:55:40.245-08:00ขนลุก! แพทย์พบลูกหมึก 12 ตัว ฝังตามเหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้มของหญิงชาวเกาหลี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEix3hsM0Vtpzpn3lpMASNMGMJjiI92AJIYk590wXUqgXK3zXLoaSRffSHtjjzMaTXH8L1cougILlDGXesLJXyS6ZzvcMGmr7nUNQ_Xut552canJa17zFPtm_s9PPbG8u55W9JxpCoGlYcHB/s1600/ds.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEix3hsM0Vtpzpn3lpMASNMGMJjiI92AJIYk590wXUqgXK3zXLoaSRffSHtjjzMaTXH8L1cougILlDGXesLJXyS6ZzvcMGmr7nUNQ_Xut552canJa17zFPtm_s9PPbG8u55W9JxpCoGlYcHB/s1600/ds.jpg" height="214" width="320" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-BL8kB-epfkxn7A5EAuid960rg87K6MSvJj0TiMuxTsGyny80sqru3emrzGmC5Qi_hLlebs_GV_k6hibdaSUKsn471bXMg1HpC7PBbF60F9dMsSUkSQFI2lYryxvTr6eOLsNpypYn9O1_/s1600/73.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-BL8kB-epfkxn7A5EAuid960rg87K6MSvJj0TiMuxTsGyny80sqru3emrzGmC5Qi_hLlebs_GV_k6hibdaSUKsn471bXMg1HpC7PBbF60F9dMsSUkSQFI2lYryxvTr6eOLsNpypYn9O1_/s1600/73.jpg" height="213" width="320" /></a></div>
<div style="box-sizing: border-box; font-family: 'Source Sans Pro', Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 24px; margin-bottom: 24px;">
<span style="background-color: white;">แพทย์พบลูกหมึก 12 ตัว ฝังตามเหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้มของหญิงชาวเกาหลี หลังทานหมึกดิบสด ๆ ตัวเป็น ๆ ชี้ ถุงอสุจิหมึกแตกระหว่างรับประทาน</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; font-family: 'Source Sans Pro', Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 24px; margin-bottom: 24px;">
<span style="background-color: white;">เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษรายงานว่า เกิดเหตุสุดสะพรึงสำหรับหญิงเกาหลีวัย 63 ปี หลังจากที่เธอพบว่า มีอาการเจ็บแปลบในช่องปากโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังรับประทานเมนูเกี่ยวกับหมึก ซึ่งเมื่อตรวจสอบก็ทำให้เธอถึงกับช็อกเมื่อทราบว่า มีลูกหมึกตัวเล็กฝังอยู่ตามซอกเหงือก ลิ้น และกระพุ้งแก้มอยู่ในปากของเธอมากถึง 12 ตัวทีเดียว!</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; font-family: 'Source Sans Pro', Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 24px; margin-bottom: 24px;">
<span style="background-color: white;">โดยจากเอกสารทางวิทยาศาสตร์ ของศูนย์ข้อมูลชีววิทยาแห่งชาติ ในมลรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ระบุว่า สาเหตุดังกล่าวเกิดจากถุงน้ำเชื้อของหมึกแตกในปากของเธอระหว่างรับประทาน จากนั้นอสุจิจึงฝังตัวตามซอกหลืบต่าง ๆ</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; font-family: 'Source Sans Pro', Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 24px; margin-bottom: 24px;">
<span style="background-color: white;">อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ลูกหมึกตัวจิ๋วทั้ง 12 ตัว และเมือกที่ห่อหุ้มถูกนำออกจากช่องปากของหญิงเคราะห์ร้ายเป็นที่เรียบร้อย แล้ว</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; font-family: 'Source Sans Pro', Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 24px; margin-bottom: 24px;">
<span style="background-color: white;">ทั้งนี้ เหตุการณ์สุดสยองที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก็เคยเกิดกรณีคล้ายกันนี้กับหญิงสาวญี่ปุ่นรายหนึ่ง หลังจากที่เธอรับประทานหมึกดิบ และเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลโทเซอิ โดยพบว่ามีถุงสเปิร์มของหมึกฝังอยู่ในช่องปากของเธอ</span></div>
<div style="box-sizing: border-box; font-family: 'Source Sans Pro', Helvetica, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 24px; margin-bottom: 24px;">
<br /></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-66845293827623605562013-12-03T06:59:00.002-08:002013-12-03T07:00:05.311-08:00ยังไม่สูญพันธุ์! แมงกะพรุนยักษ์ พันธุ์หายากพบเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี<span style="background-color: black; color: yellow;"><span style="font-family: Arial, Tahoma;">สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่หญิงผู้ควบคุมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ "Underwater World aquarium" ของสหรัฐฯ ค้นพบแมงกะพรุนมีชื่อพันธุ์ว่า "Crambione Cookii" มีลักษณะสีชมพู เป็นแมงกะพรุนมีพิษร้ายแรง ตัวยาวขนาด 50 ซม. สามารถต่อยได้อย่างรุนแรงจนสามารถรู้สึกได้ในท้องทะเล ขณะกำลังปล่อยเต่าลงสู่ท้องทะเล และบอกว่า เป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่รู้ว่า เขาเป็นคนแรกที่พบแมงกะพรุนนี้รอบใหม่ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แมงกะพรุนดังกล่าวถือเป็นแมงกะพรุนตัวใหญ่ที่สุดที่เธอเคยเห็นในทะเลออสเตรเลีย</span><span style="font-family: Arial, Tahoma;">ทั้งนี้ ด้านนักชีววิทยาท้องทะเลยังคงโต้เถียงกันว่า แมงกะพรุนพันธุ์นี้ ซึ่งเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว สามารถหลบเลี่ยงการถูกพบเห็นจากมนุษย์ได้อย่างไรมาตลอดกว่า 100 ปี </span></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: black; color: yellow; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="232" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgePyTBsHIvaZvzS7ofXodXBDEnFixydMInjKzP3TEOiox_Cku_pojrA6ATfUUIgpqY7tw-Ba1e67kjTtnMwPsFqG6uwd3XQ6W_wnqrkmdyG1hUiBCJKqQm6PpOJ4KshbvJJMhqYMAhrEQ2/s320/rrr.jpg" width="320" /></span></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-47320602545996115982013-10-16T07:59:00.004-07:002013-10-16T08:01:22.240-07:00ปลาบิน (Flying fish) <div style="font-family: sans-serif; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;"><b>ปลานกกระจอก</b> หรือ <b>ปลาบิน</b> (อังกฤษ: <span lang="en" xml:lang="en">Flying fish</span>; วงศ์: Exocoetidae) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Exocoetidae<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" height="239" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBfyHGaoeXNQayZeP7f5gfVXnrnN8nccOOsuQwElypDiluE75Kcw9X_enQaSy-AQ7S7B7_SqMDVqSVwX9CD86FHyKRJV5nWHHhKV4AAVGdi0VjNHzQHXlDglp6oNnjZRmhodgFWD1CoN3Z/s320/kapook_world-412162.jpg" width="320" /></span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวยาวมาก ค่อนข้างกลม จะงอยปากสั้นทู่สั้นกว่าตา ปากเล็ก ไม่มีฟัน ไม่มีก้านครีบแข็งที่ทุกครีบ ครีบหูขยายใหญ่ยาวถึงครีบหลัง ครีบท้องขยายอยู่ในตำแหน่งท้อง ครีบหางมีแพนล่างยาวกว่าแพนบน ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม เส้นข้างลำตัวอยู่ค่อนลงทางด้านล่างของลำตัวเกล็ดเป็นแบบขอบบางไม่มีขอบหยักหรือสาก หลุดร่วงง่าย</span></div>
<div style="font-family: sans-serif; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">จัดเป็นปลาทะเลขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ฺในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก โดยพบในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งพอสมควร ส่วนใหญ่มีลำตัวสีเขียว หรือสีน้ำเงินหม่น ข้างท้องสีขาวเงิน</span></div>
<div style="font-family: sans-serif; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;"><span style="line-height: 19.1875px;">เป็นปลาที่มีลักษณะเด่น คือ นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงและหากินบริเวณผิวน้ำ มีจุดเด่น คือ เมื่อตกใจหรือหนีภัยจะกระโดดได้ไกลเหมือนกับร่อนหรือเหินไปในอากาศเหมือนนกบิน ซึ่งอาจไกลได้ถึง 30 เมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของตัวปลาและจังหวะ</span><span style="line-height: 10.828125px;"> </span><span style="line-height: 19.1875px;">อันเป็นที่มาของชื่อ โดยใช้ครีบอกหรือครีบหูที่มีขนาดใหญ่มากเป็นตัวพยุงช่วย ในขณะที่บางชนิดมีครีบก้นที่มีขนาดใหญ่ร่วมด้วยปลานกกระจอกเมื่อกระโดดอาจกระโดดได้สูงถึง 7-10 เมตร ด้วยความเร็วประมาณ 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถอยู่บนกลางอากาศได้นานอย่างน้อย 10 วินาที</span><span style="line-height: 13px;"> </span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black; color: white;">พบมากกว่า 50 ชนิดทั่วโลก แบ่งออกเป็น 8 สกุล (ดูในตาราง) เป็นปลาที่ขี้ตื่นตกใจ และตายง่ายมากเมื่อพ้นน้ำ</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-37494639713872375932013-05-31T07:15:00.002-07:002013-05-31T07:19:18.454-07:00ตำนานจระเข้ปูน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhm9DZlO2M637iTuW8_npfBZ-evOdKoKfTplGLeaw8JglfGhW82WLnDLtSNDCjFYZOLHrraQTrqd3JIDsDCgWoanNtxIz4w25d9q7Icdi3pHdLOGRloQQWe6_HF2eUDebbKym91aovf_xyp/s1600/images+(2).jpg" /></span></div>
<span style="color: yellow;">จระเข้ปูนมีลักษณะเป็นหินศิลาแลงมองเป็นรูปคล้ายจระเข้ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 9 เมตร หันศรีษะไปทางทิศเหนือส่วนตรงกลางลำตัวกว้างประมาณ 10 นิ้ว อยู่ชิดกับของทางเดิน (ถนน) ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า “จระเข้ปูน” เป็นที่มาของตำนาน “จระเข้ปูน”</span><br />
<span style="color: yellow;"> กล่าวกันว่าในสมัยที่กรุงสุโขทัยยังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ราวประมาณ พ.ศ. 1420 มีเมืองแห่งหนึ่งชื่อเมือง “พราน” เป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง มีวังอันเป็นที่ประทับของพระร่วงองค์หนึ่งชื่อ พระมหาพุทธสาคร วันหนึ่งพระมหาพุทธสาครได้เสด็จมาที่วังแห่งนี้เพื่อพักผ่อน ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพญานาคตนหนึ่ง กำลังคาบสาวงามนางหนึ่งเลื้อยผ่านหน้าไป พระองค์จึงได้ติดตามไปจนกระทั่งถึงภูเขาลูกหนึ่ง พญานาคได้กลืนหญิงสาวลงไปในท้อง พระมหาพุทธสาครได้เสด็จตามมาทันพอดี จึงได้ใช้มนต์สะกดพญานาคไว้ แล้วจึงได้ล้วงหญิงสาวออกมาจากคอพญานาค ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นางทอง ส่วนเขาบริเวณนั้นก็ชื่อว่า </span><br />
<span style="color: yellow;">“เขานางทอง” </span><br />
<span style="color: yellow;"> เนื่องจากนางทองเป็นหญิงสาวสวยงามมาก เป็นที่พอพระทัยของพระมหาพุทธสาคร จึงได้รับการอภิเษกเป็นมเหสี ใช้ชีวิตร่วมกับพระร่วงปกครองเมืองพานให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก (บริเวณวังที่ประทับนี้เองซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ชาวบ้านเรียกกันว่า บ้านวังพานเก่า ในช่วงที่มีความเจริญมีวัดตั้งอยู่ ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์ได้มากันเขตไว้เป็นที่สาธารณะ บริเวณนี้ชาวบ้านเคยไถนาแล้วพบซากวังเก่า ๆ มากมายและที่สำคัญได้พบ “พระอู่ทอง” และ “พระวังพาน”)</span><br />
<span style="color: yellow;"> ในบริเวณวังที่ประทับของพระมหาพุทธสาครมีบึงน้ำขนาดใหญ่ลึกมากมีถ้ำอยู่ใต้น้ำ เป็นที่อยู่ของพญาจระเข้ยักษ์ ทุกครั้งที่นางทองออกมาอาบน้ำในบึงแห่งนี้ จระเข้จะลอยมาแอบมองด้วยจิตเสน่หา วันหนึ่งขณะที่นางทองอาบน้ำอยู่พญาจระเข้ได้ตรงรี่เข้าไปหานางทองแล้วคาบหนีออกจากบึง เมื่อพระมหาพุทธสาครทราบเรื่องจึงโกรธมากรีบเสด็จติดตามโดยด่วน และทันที่บริเวณใกล้เมืองกำแพงเพชร เข้าช่วยนางทองออกมาได้ ด้วยความโกรธจึงได้สาบให้พญาจระเข้ยักษ์เป็นหินอยู่ตรงนั้น </span><br />
<span style="color: yellow;"> ปัจจุบันบริเวณที่จระเข้ถูกสาปมองไม่ค่อยจะออกแล้วว่ามีร่องรอยของจระเข้หินอยู่เพราะชาวบ้านได้ขุดดินใช้พื้นที่ทำการเกษตรและค้นหาสมบัติบริเวณส่วนหัว ลำตัว และอื่น ๆ ของพญาจระเข้ อย่างไรก็ตามหลังจากมีแนวความคิดที่จะฟื้นฟูถนนพระร่วงบริเวณจระเข้หิน หรือจระเข้ปูนตามที่ชาวบ้านนิยมเรียกกัน</span>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-36516985689170166562013-05-31T07:13:00.001-07:002013-05-31T07:14:00.462-07:00แอโฟรไดที<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><b>แอโฟรไดที</b> (อังกฤษ: <span lang="en" xml:lang="en">Aphrodite</span>, <small>เสียงอ่าน: </small><span class="IPA" style="font-family: 'Lucida Sans Unicode', 'Arial Unicode MS';" title="เสียงอ่านในสัทอักษรสากล">/ˌæfrə<i>ʊ</i>ˈdaɪti/</span>; กรีก: <span lang="el" xml:lang="el">Ἀφροδίτη</span>; ละติน: <span lang="la" xml:lang="la"><span style="font-variant: small-caps;">Venus</span></span>) เป็นเทพเจ้ากรีกแห่งความรัก, ความปรารถนา, และความงาม ชื่ออื่นๆ ที่เรียก “ไคพริส” (Kypris) “ไซธีเรีย” (Cytherea) ตามชื่อสถานที่ ไซปรัส และ ไซธีราซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เกิดของแอโฟรไดที สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแอโฟรไดทีได้แก่ต้นเมอร์เติล (Myrtle), นกพิราบ, นกกระจอก และ หงส์</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">เทพีแอโฟรไดทีทิเทียบได้กับเทพีวีนัส ในตำนานเทพเจ้าโรมัน</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">แอโฟรไดทีทรงเป็นเทพธิดาแห่งความรักและความงาม ทั้งความรักที่บริสุทธิ์ และความรักที่เต็มไปด้วยตัณหา และความริษยา ทรงครอบครองสายคาดวิเศษที่สามารถมัดใจเทพและชายทุกคนได้ในทันที ทรงเป็นผู้ให้พรเพื่อให้ผู้มีความรักสมหวัง ในขณะเดียวกันก็ทรงสามารถที่จะทำลายความรักของผู้ที่พระนางไม่พอใจได้ในทันที</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><br /></span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">การกำเนิดของแอโฟรไดทีมีอยู่ 2 ความเชื่อ ความเชื่อแรกนั้นเชื่อว่าแอโฟรไดทีถือกำเนิดขึ้นจากฟองน้ำในมหาสมุทร และความชื่อที่สองเชื่อว่าแอโฟรไดทีเป็นบุตรีของซุสกับนางไดโอนี</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">คำว่า อะฟรอส ในชื่อของแอโฟรไดที หมายถึงฟองน้ำทะเล และคำว่าแอโฟรไดที ก็หมายถึง เกิดขึ้นจากฟองน้ำทะเล</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">เชื่อกันว่าเมื่อครั้งที่โครนอสทำการโค่นอำนาจจากยูเรนัส โครนอสได้โยนบิดาของตนเองลงในมหาสมุทร ทำให้เกิดฟองน้ำที่มีเด็กหญิงอยู่ภายในขึ้น และหลังจากเด็กหญิงผู้นั้นเติบโต เธอก็ลอยมาติดฝั่งพาฟอส ของไซปรัส โดยมีเปลือกหอยเป็นพาหนะ</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">อีกความเชื่อหนึ่ง เชื่อว่าแอโฟรไดทีเป็นบุตรของซุส และไดโอนีแห่งเกาะดอโดน่า และว่าไดโอนีคือมเหสีองค์แรกของซูสก่อนที่จะสมรสกับเทพีเฮรา</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">เทพีแอโฟรไดทีเป็นหนึ่งในเทพีที่เลื่องชื่อด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวมาก พระนางได้รับบัญชาจากซุสให้สมรสกับเทพเฮเฟตัสผู้อัปลักษณ์และพิการ ซึ่งเป็นบุตรชายของซุสกับเฮรา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเทพและเทพีทั้งสองกลับไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เทพีแอโฟรไดทีทรงมีความสัมพันธ์กับเทพและชายหนุ่มมากมายที่ไม่ใช่สวามีของตนเอง จนเกิดเรื่องราวนับไม่ถ้วน</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">หนึ่งในชู้รักของเทพีแอโฟรไดทีทีคือเทพแอรีส เทพแห่งสงครามผู้เป็นบุตรชายอีกองค์ของซุสและเฮรา เทพเฮเฟตัสได้ดัดหลังทั้งคู่ด้วยการวางกับดักตาข่ายไว้ที่เตียงนอน เมื่อถึงเวลาเช้าที่แอรีสจะหลบออกไปจากห้องบรรทมของแอโฟรไดที ทั้งเทพแอรีสและเทพีแอโฟรไดทีจึงรู้ตัวว่าติดกับดัก และต้องทนอับอายต่อการที่ถูกเทพทั้งมวลมองดูร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่อยู่เป็นเวลานาน</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">นอกจากแอรีสแล้ว แอโฟรไดทียังมีชายชู้อีกหลายคนรวมถึง อะโดนิส และเฮอร์มีสด้วย</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;"><br /></span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: black; color: white; margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieof85VKKa9EFSzhYZEFM4q5pzRG3wQA1EMgQFApLrNWZlW_NEXpz4FS58VNu9rC2vzD0WPk3OaUTo2tRpms8qAAIDnMKsryd3YMKQURQZL9ql4Jh8at1pNoFWbPEqttWV1_2QvFvQ1WKw/s1600/200px-Fran%C3%A7ois_Boucher_032.jpg" /></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">แอโฟรไดทีมีบุตรกับแอรีส 3 องค์ คือ</span></span></div>
<ol style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; list-style-image: none; margin: 0.3em 0px 0px 2.5em; padding: 0px;">
<li style="margin-bottom: 0.1em;"><span style="background-color: black;"><span style="color: white;">อีรอส หรือ คิวปิด ผู้เป็นกามเทพ</span></span></li>
<li style="margin-bottom: 0.1em;"><span style="background-color: black;"><span style="color: white;">แอนติรอส ผู้เป็นเทพแห่งรักที่ไม่สมหวัง การรักตอบ และเป็นผู้ลงโทษผู้ที่ดูถูกความรัก</span></span></li>
<li style="margin-bottom: 0.1em;"><span style="background-color: black;"><span style="color: white;">ฮาร์โมเนีย หรือ เฮอร์ไมโอนี่ ผู้เป็นเทพีแห่งความปรองดอง</span></span></li>
</ol>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">บุตรของแอโฟรไดทีกับเฮอร์มีส มี 1 องค์ คือ เฮอร์มาโฟรไดตุส ซึ่งเป็นเทพผู้คุ้มครองเพศที่ 3</span></span></div>
<div style="font-family: sans-serif; font-size: 13px; line-height: 19.1875px; margin-bottom: 0.5em; margin-top: 0.4em; text-indent: 2.5em;">
<span style="background-color: black;"><span style="color: white;">นอกจากนี้แอโฟรไดทียังมีบุตรเจ้าชายแอนคีซีสแห่งโทรจันซึ่งเป็นมนุษย์ 1 คน คือ อีเนียส ผู้เป็นกำลังสำคัญในสงครามแห่งทรอย</span></span></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-25044332266009504422013-05-31T07:08:00.001-07:002013-05-31T07:08:33.131-07:00ประจำวันเกิด<table bgcolor="#ffffff" border="0" style="color: black; font-family: Tahoma, CordiaUPC; font-size: 10pt; width: 670px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันอาทิตย์</b></span><br />พระปางถวายเนตร เสริมวันเกิด<br />เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 เสริมการค้า<br />พระแก้วมรกต เสริมความสำเร็จ<br />พระแม่ลักษมี เสริมความร่ำรวย<br />พระโพธิสัตว์กวนอิม เสริมความสุข<br /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันจันทร์</b></span><br />พระปางถวายเนตร เสริมวันเกิด<br />พุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เสริมการค้า<br />กุมารทอง เสริมเรียกลูกค้า<br />นางกวัก เสริมกวักเงิน กวักทอง<br /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันอังคาร</b></span><br />พระปางไสยาสน์ เสริมวันเกิด<br />พระแก้วมรกต เสริมการค้า<br />พระพุทธชินราช เสริมความสมหวัง<br />รัชกาลที่ 5 เสริมความสำเร็จ<br />พระนารายณ์ เสริมขจัดศัตรูหมู่<br /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันพุธ</b></span><br />พระปางอุ้มบาตร เสริมวันเกิด<br />พระหลวงปู่ปาน เสริมความรวย<br />รัชกาลที่ 5 เสริมการค้า<br />พระแม่อุมา เสริมความสำเร็จ<br /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันพฤหัส</b></span><br />พระปางสมาธิ เสริมวันเกิด<br />พระพุทธชินราช เสริมความสำเร็จ<br />พระสิวลี เสริมเสน่ห์<br />พระแม่อุมาเทวี เสริมอำนาจ<br />ปู่ฤาษี เสริมความสำเร็จ<br /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันศุกร์</b></span><br />พระปางรำพึง เสริมวันเกิด<br />รัชกาลที่ 5 เสริมงาน<br />พระโพธิสัตว์กวนอิม เสริมชีวิต<br />พระแก้ว เสริมความสำเร็จ<br /></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr style="font-size: 10pt;"><td align="center" style="font-size: 10pt;" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="color: black; font-size: 10pt; width: 668px;"><tbody>
<tr style="font-size: 10pt;"><td class="A2" style="font-family: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; font-size: 13pt;" valign="top"><span style="color: #003399;"><b>ผู้เกิดวันเสาร์</b></span><br />พระปางนาคปรก เสริมวันเกิด<br />รัชกาลที่ 5 เสริมความสำเร็จ<br />หลวงพ่อโสธร เสริมการงาน<br />พระนารายณ์ เสริมอำนาจ</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-6526806380382922122013-04-14T03:45:00.001-07:002013-04-14T03:48:32.603-07:00รังสีแกมมา(Gamma <b><span style="font-size: x-small;"> </span></b><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="font-size: x-small;"><a href="http://www.blogger.com/blogger.g?blogID=1237229831703868062" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTecY_Jg7rbod0U6eb209uYzHewy_fq4V-Jf4BUlw7yiQb7jQW3zybqU6zKeMRfmqJEuXD4EOXOv7KXJFHnqR3_Ig0lWuHJ-nbbnZ4SUMeBPyNDcGvscSlgDDiWPP9vbtmUuNJoSIcWg5s/s1600/image114.gif" /></a></span></b></div>
<b><span style="font-size: x-small;"><b><span style="font-size: x-small;">รังสีแกมมา(Gamma</span></b>Ray) ใช้สัญลักษณ์ <span style="font-family: "Angsana New";"><sub></sub></span><span style="font-size: x-small;">y</span>
เกิดจากการที่นิวเคลียสที่อยู่ในสถานะกระตุ้นกลับสู่สถานะพื้นฐานโดยการปลดปล่อยรังสีแกมมาออกมา
รังสีแกมมา ก็คือโฟตอนของการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับรังสีเอ็กซ์
แต่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าและมีอำนาจในการทะลุทะลวงสูงมากกว่ารังสีเอ็กซ์ ไม่มีประจุไฟฟ้าและมวล
ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าและสนามแม่ เหล็กและ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าแสง </span></b><br />
<b><br /></b>
<b><span style="font-size: x-small;">ประโยชน์ของรังสีทางการแพชย์</span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;"><br />1.รังสีวินัจฉัย
ได้แก่ การเอกซเรย์ทั่วไป การตรวจพิเศษทางรังสี
เพื่อใชในการวินิจฉัยโรค</span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;"><br />2.รังสีรักษา
<span style="letter-spacing: 0.25pt;">รังสีในทางการแพทย์ที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง
แบ่งออกเป็น</span> <span style="letter-spacing: 0.25pt;">2
ประเภท คือ รังสีแกมมา ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของแร่บางชนิด
ได้แก่ แร่เรเดียม แร่ซีเซียม และแร่โคบอลต์ เป็นต้น
และรังสีเอกซ์ที่เกิดจากเครื่องผลิตรังสี
ซึ่งอาศัยหลักการทำงานเหมือนเครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์ คือ
อิเล็กตรอนจะวิ่งไปชนเป้า และปล่อยรังสีเอกซ์ออกมา รังสีทั้ง 2
ชนิดทำให้เนื้อมะเร็งตายได้เหมือนๆ กัน
โดยที่การตายของเนื้อมะเร็งมี 2 ลักษณะ คือ
เซลล์แตกตายในทันที
หรือเซลล์สูญเสียคุณสมบัติในการแบ่งตัว</span></span>
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt; letter-spacing: 0.25pt;">
การใช้รังสีรักษาในการรักษามะเร็งกระทำได้โดยการฉายรังสีไปยังตำแหน่งที่เป็นโรค
ซึ่งสามารถฉายรังสีคลุมก้อนมะเร็งทั้งหมด
และต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงได้ เครื่องฉายรังสีในปัจจุบัน
มีด้วยกันหลายแบบ ขึ้นกับพลังงานทะลุทะลวง
ซึ่งสามารถกำหนดความลึกของปริมาณรังสีสูงสุดได้
จึงทำให้ปริมาณรังสีสูงสุดอยู่ลึกไปจากผิวหนัง ดังนั้น
เมื่อฉายรังสีอย่างระมัดระวังจะพบอาการแทรกซ้อนน้อยลง
หรือในขนาดที่ยอมรับได้ เครื่องฉายรังสีที่นิยมใช้คือ เครื่องโคบอลต์
และเครื่องเร่งอนุภาคคือ
การฉายรังสีที่อวัยวะที่เป็นมะเร็งเพื่อรักษาโรค</span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;"><br />3.</span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: small;">เวชศาสตร์นิวเครีย</span>
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;">คือวิทยาการด้านการแพทย์สาขาหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้สารกัมมันตรังสีในการตรวจวินิจฉัย
หรือ รักษาโรคบางชนิดเช่น โรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ</span>
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;">สารกัมมันตรังสี</span>
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;"> </span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;">(
Radioactivity ) หรือ ราดิโอนิวไคลด์ ( Radionuclides )
คือสารที่มีโครงสร้างอยู่ในสภาวะไม่เสถียร
จะมีการสลายตัวปล่อยอนุภาคและรังสีชนิดต่างๆออกมา ได้แก่ อนุภาคอัลฟ่า
อนุภาคเบต้า และ รังสีแกมม่า
สารกัมมันตรังสีมีทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติ และ มนุษย์ผลิตขึ้น
ตัวอย่างสารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้งานทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
เช่น Tc-99m, Tl-201, Xe-133,
I-131</span><span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;">สารเภสัชรังสี</span>
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;">(</span>
<span style="font-family: 'Angsana New'; font-size: 14pt;">radiopharmaceuticals
) หมายถึง สารเคมีที่ติดฉลากด้วยสารกัมมันตรังสี
ซึ่งสารเคมีนี้จะมีโครงสร้างและคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะใช้นำเข้าไปในร่างกายเพื่อการวินิจฉัยโรค</span></b>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-29672336666124070702013-04-14T03:41:00.003-07:002013-04-14T03:41:42.876-07:00ผู้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่มีความขาดแคลนต่อการแสดงข้อมูลยืนยัน <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="font-size: small;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFCKIZPA0XfXn_tkJE1TuDtXedwf_fm3eRPL6IeUPiSCLgqwdwNJCp7H7DHoVH3-TBrHXtKPvTjAHrJK0LLdZHWpZblMgFQLmUOPLXZIdEvALUO_uz2AaTuopgbPAzvTiMXH-mcAyi4Ep6/s1600/UFO.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFCKIZPA0XfXn_tkJE1TuDtXedwf_fm3eRPL6IeUPiSCLgqwdwNJCp7H7DHoVH3-TBrHXtKPvTjAHrJK0LLdZHWpZblMgFQLmUOPLXZIdEvALUO_uz2AaTuopgbPAzvTiMXH-mcAyi4Ep6/s1600/UFO.jpg" /></a></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="font-size: small;"><br /></span></b></div>
<b><span style="font-family: MS Sans Serif; font-size: small;">กรณีใดเป็นการปรากฎของมนุษย์ต่างดาว <br />
<br />
ผู้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง
แต่มีความขาดแคลนต่อการแสดงข้อมูลยืนยัน จากที่ผ่านมาจนปัจจุบัน
ด้วยเพราะสองประเด็นใหญ่คือ <br />
<br />
1.ถูกปกปิดข้อมูลโดยรัฐบาล (อเมริกา) <br />
2.มีข้อขัดข้องต่อหลักการวิทยาศาสตร์ ที่จะให้ประชาคมมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องเพื่อเข้าใจแต่ละปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง <br />
<br />
จึง เป็นเงื่อนไขทำให้มีช่องว่าง และมีรายละเอียดต่างๆน้อยมาก
กลอุบายที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาใช้ปกปิดต่อประชาคมโลก
เป็นเรื่องผิดปกติโดยเฉพาะในสหรัฐฯเอง แน่นอนยิ่งมองเห็นความเป็นไปได้
เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีน้ำหนัก <br />
<br />
กลายเป็นแรงจูงใจเห็นความไม่โปร่งใส
และเป็นเรื่องปกติที่สาธารณะเมื่อไม่ได้รับข่าวสารจากรัฐบาล
จำต้องสืบค้นความลับให้ประจักษ์ในด้านต่าง
แม้แต่ประดิษฐ์กรรมเครื่องบินที่ปกปิด ที่ออกแบบหรือปรับปรุงใหม่โดยรัฐบาล
อาจถูกนำไปกล่าวขวัญถึงยานมนุษย์ต่างดาวในที่สุด <br />
<br />
ครึ่งหนึ่งของ ประชาคมโลกเชื่อข้อมูลจากหนังสือพิมพ์
ว่ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกยิ่งจะทำให้ตกใจได้ขึ้นไปอีก
หากเกิดจู่ๆเป็นข่าวที่น่ากลัว จากเหตุหนึ่งเหตุใด <br />
<br />
สำหรับเครื่อง ยนต์
กลไกของยานมนุษย์ต่างดาวนั้นยากจะนึกออกว่ามีลักษณะเช่นใดจึงมีความสามารถ
เดินทางข้ามระหว่างจักรวาลได้ เพราะด้วยระยะทางนับร้อยนับพันปีแสง
และระหว่างทางเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น หลุมดำ แรงโน้มถ่วง
ที่เป็นรอยต่อระหว่างระบบดาว สสารมืดที่มีทั่วไปถึง 70% กลุ่มอุกกาบาต หรือ
เรื่องเชื้อเพลิงพลังงาน การดำรงชีพตลอด ระยะการเดินทาง เป็นต้น <br />
<br />
เพราะ ฉะนั้นระบบเทคโนโลยีคงไม่เหมือนบนโลกที่เข้าใจแน่
และทำไมยานมนุษย์ต่างดาวต้องลงจอด
เฉพาะในสหรัฐอเมริกาหลายครั้งเป็นส่วนใหญ่
ยิ่งสร้างความสงสัยว่าเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของมนุษย์ต่างดาว จากข้อกล่าวหา <br />
<br />
กระทั่ง มีการอ้างขึ้นอย่างไม่รู้ โดยความเป็นจริงนักวิทยาศาสตร์
ไม่ได้ลดล่ะต่อเรื่องนี้ เหตุผลซึ่งอธิบายได้คือ
มีการติดตามปรากฎการณ์แปลกๆและสำคัญเสมอ แต่เมื่อพิสูจน์แล้ว
ไม่เคยเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว <br />
<br />
เพราะแม้แต่ลูกเห็บตกจากท้องฟ้า นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องเฝ้าติดตาม ตลอดเวลา
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จำต้องแสดงเหตุอย่างประจักษ์แจ้งในทางกายภาพ ถ้า UFO
หรือมนุษย์ต่างดาวเข้ามาสู่โลกจริง เรดาห์ระบบของสนามบินทั่วโลกสามารถ
ตรวจจับและรายงานวัตถุลึกลับนั้นได้ทันที
หรือระบบดาวเทียมจำนวนมากของหลายประเทศก็ตรวจจับได้ <br />
<br />
นอกจากนั้นยัง มีหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ จำนวนนับ
ร้อยหลายที่เฝ้าคอยตรวจสอบท้องฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างไม่เคยหลับ
แต่ก็ไม่เคยพบและพิสูจน์ได้ว่าเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว <br />
<br />
ยังไม่เคย มีห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ในโลกที่หนึ่งที่ใด
ที่ได้รับชิ้นส่วนแม้แต่ชิ้นเดียวเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว
เพื่อทำการวิเคราะห์ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพอากาศสหรัฐฯ
สามารถเก็บตัวอย่างชิ้นส่วน เรียกว่า Space junk (ขยะอวกาศ) ได้แล้วมากกว่า
1,000 ชิ้น จากสถานีอวกาศสากล
จากดาวเทียมที่หมดสภาพการใช้งานและดาวเทียมที่ใช้งานปกติ
แต่ยังไม่เคยพบชิ้นส่วนใดๆที่แสดงถึงหรือเกี่ยวข้องกับ มนุษย์ต่างดาวเลย <br />
<br />
อย่าง ไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์
ยังมีความหวังและเชื่อว่าสักวันหนึ่งอาจมีมนุษย์ต่าง มาเยือนโลก
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใฝ่ฝันที่จะต้อนรับเช่นกัน ซึ่งจะได้รู้ว่า
มนุษย์ต่างดาวนั้น มีความฉลาดรอบรู้ หรือหน้าตาเป็นอย่างไร
แม้ว่าเป็นเรื่องยากจะเกิดขึ้นก็ตาม <br />
<br />
หลายประเด็น แสดงเหตุผลอย่างเลื่อนลอย ไม่ใช่เพราะเลื่อนลอย
แต่หมายความว่าขาดแคลนพยานหลักฐานที่ประจักษ์แจ้ง ทำให้การอ้างขาดน้ำหนัก
ความเชื่อถือ <br />
<br />
แต่ถ้ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกจริง แต่ขาดพยานหลักฐานเพราะ
ไม่ต้องการให้มนุษย์รู้ และบางคนเชื่อว่ามีจริง
ก็ไม่สามารถหยุดความเชื่อนั้นได้ เพียงแต่จะไม่สามารถอ้างอิง
บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ได้เท่านั้น <br />
<br />
ข้อสรุป ความสำคัญอยู่ที่การแบ่งแยกระหว่าง ข้ออ้างและมนุษย์ต่างดาว
ที่เข้ามาเยือนโลก (หรือเคยมาในอดีต) และความเป็นไปได้ของอารยะธรรมที่มี
หลังจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 การท่องอวกาศมีความเป็นจริงขึ้นเพราะเหตุใด
นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากทดลองจนสำเร็จเป็นจริง
และการท่องของโลกอื่นก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีและอารยธรรม
แม้วันนี้โลกเพียงมีความสามารถเดินทางสู่ดวงจันทร์ได้
อนาคตอาจสู่ถิ่นฐานที่ไกลขึ้น แม้ยังมีข้อโต้แย้งมากมาย
แต่เวลาที่ผ่านไปและมีอารยะธรรมเกิดขึ้นเป็นไปแบบปกติ
อาจมีหนทางเดินทางสู่ดาวอื่น และดาวอื่นก็มีหนทาง มาสู่โลกเช่นกัน </span></b>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-45762234731578702472013-04-14T03:36:00.003-07:002013-04-14T03:36:50.406-07:00 การมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวครั้งโบราณ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiNfF5syZ57WDhKFzVbFFWQ7MjCiMXqiHAtY5YAxzXahyphenhyphenW1ITTwGfaRbJhlOgumN-Dk_RKhmYhPOcWWgxBmdgurZ8XOxM1DC89JpNuDXhrbOdR8m-UYnDvFSbdAvWNvqFVkf2d5zluAouSE/s1600/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B9.gif" /></div>
<span style="font-size: small;"><b><span style="font-family: MS Sans Serif;">ความ
เชื่อของคนส่วนใหญ่เรื่องมนุษย์ต่างดาว
เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้นโบราณเดินทางมาด้วยยาน วันนี้ก็เช่นกัน
หลายคนยอมรับไปแล้วว่ามนุษย์ต่างดาว เคยมาเยือนโลกจริงๆ
ความคิดบนโลกกรณีดังกล่าวฟังดูน่าจะเป็นไปได้ <br />
<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารยธรรม ที่เจริญเกิดขึ้นในกาแล็คซี่
โลกให้ความสนใจต่อมนุษย์ต่างดาว แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่า
ยานต่างดาวนั้นเข้ามาศึกษาโลก เมื่อพันล้านปีที่แล้ว หรือ บรมยุคกำเนิดโลก
ก่อนพัฒนาการระบบมนุษย์หรือไม่ <br />
<br />
หรือเข้ามาศึกษามนุษย์หลังจากเกิด อารยธรรมแล้ว
แต่มีผู้คนจำนวนหนึ่งอ้างว่า กรณีมนุษย์ต่างดาวเยือนโลก
มีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ หลักฐานดังกล่าวคือ การแสดงรูปแบบลายเส้น
ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกสนับสนุน เหตุผลการมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาว
เป็นตำแหน่งเห็นชัดจากอวกาศ สำหรับการลงจอดยาน <br />
<br />
ทางโบราณคดี มีความประหลาดใจ
จากข้อสันนิษฐานต่อครื่องมือที่ใช้การกระทำดังกล่าว
การอ้างทางโบราณคดีด้วยความรู้เช่นนั้น
ยังไม่สามารถที่จะเป็นข้อสรุปเกิดจากฝีมือมนุษย์ต่างดาวเช่นกรณี
ร่องรอยลายเส้นบนพื้นของ Nazca desert ในประเทศเปรู
</span></b></span>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-68108488803374119362013-04-14T03:35:00.003-07:002013-04-14T03:35:33.526-07:00วงกลมปริศนา และการลักพาตัว <div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><img border="0" height="250" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDUr5o7T5Yuu2kvhDGWwud1oFNOSFXxMQwa4I6crY16hyR2v7Wu3O8nWzzrt2CfyapcCw-WPBZYeEH8uIibZ_yPCSYgAv-0gbPEAPe9HbgJBVEEgUmdd8uEuuqsCrdEX7zaT595i8FH1SY/s320/%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2.jpg" width="320" /></b></div>
<b><span style="font-size: small;"><span style="font-family: MS Sans Serif;">ความ หายนะ UFO ของมนุษย์ต่างดาวที่
Roswell
ถูกสงสัยถึงคำอธิบายต่างๆจึงไม่สามารถพาดพิงไปในแง่ความสำเร็จให้มีน้ำหนัก
พอ เรื่องการเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาวได้สมบูรณ์นัก <br />
<br />
เพื่อให้มีความ เป็นจริงต่อการเปิดเผย สู่สาธารณชน เพื่อให้เกิดการพิสูจน์
เรื่องเห็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งหน้า ในฐานะเพื่อนบ้าน เช่น การลักพาตัว
(Abductions) หรือวงกลมปริศนา (Crop circles) และอีกหลายเรื่อง เช่น
ปรากฎการณ์ทำลายปศุสัตว์ในฟาร์มวัว และกัดกินแพะ เป็นต้น <br />
<br />
วงกลม ปริศนา เกิดขึ้นครั้งแรกในอังกฤษ
รูปแบบใช้หลักเกณฑ์ทางเรขคณิตเพื่อเจตนาให้เห็นเป็นลักษณะความสามารถ
สื่อความหมายจากต่างดาว โดยเป็นการติดต่อด้วยวิธีสากลสู่มนุษย์
ให้ทันสมัยขึ้นตามยุค <br />
<br />
แต่เมื่อพิสูจน์แล้วผลคือ การกระทำดังกล่าวเป็นฝีมือ มนุษย์ทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ยาก ช่วงไม่เกินข้ามคืน เป็นการเล่นตลก
มิใช่ข้อความจากต่างดาว <br />
<br />
ประดิษฐกรรม ที่เกิดขึ้นบนทุ่งหญ้า มีมากขึ้นเรื่อยๆ
การออกแบบมีความซับซ้อนน่าเชื่อมากขึ้นตามลำดับ
เพื่อให้เกิดการตีความที่พิศดารออกไป
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการสร้างวงกลมปริศนา ยอมรับว่าต้องการเล่นตลก
</span></span></b>smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-78009093177985401682013-04-14T03:32:00.001-07:002013-04-14T03:32:55.325-07:00สิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์<b>มนุษย์ต่างดาว</b> (<span lang="en">Alien</span>)
เป็น<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJztr3qknfxOVuEDjozFW11ocszAdx-17F1UyP7UWgekPsx-f5gf9lPMBINeneLqazTeUuqkFUTsyXsV-uK9qaFKEZAayls1Z2_5rWNg2vosyoZ2xD2vEDpU5uxJ3_qqMa3R2u1H_rdzgU/s1600/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A72.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="184" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJztr3qknfxOVuEDjozFW11ocszAdx-17F1UyP7UWgekPsx-f5gf9lPMBINeneLqazTeUuqkFUTsyXsV-uK9qaFKEZAayls1Z2_5rWNg2vosyoZ2xD2vEDpU5uxJ3_qqMa3R2u1H_rdzgU/s320/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A72.jpg" width="320" /></a></div>
สิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์
ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่
มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต
เคยมาเยือนโลก<br />
ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ<br />
<ul>
<li>การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind)
หมายถึง
การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป
เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา
เป็นต้น</li>
</ul>
<ul>
<li>การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind)
หมายถึง
การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง
แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น</li>
</ul>
<ul>
<li>การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง
การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และ
สามารถออกมาได้ ในปี 1977 ได้เอาชื่อนี้มาสร้างหนัง มนุษย์ต่างโลก</li>
</ul>
<ul>
<li>การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind)
หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ
นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้</li>
</ul>
<ul>
<li>การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง
การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ
สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว</li>
</ul>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-30500507096863194682013-03-18T02:38:00.000-07:002013-03-18T02:38:43.250-07:0010 อันดับ สถานที่สยองขวัญ ประเทศไทย<span style="color: #555555; font-family: tahoma;">ดถึง
เรื่องวิญญาณย่อมมีทั้งคนที่เชื่อว่า "มีจริง" และ "ไม่เชื่อว่ามีจริง"
นอกจากคนสองกลุ่มนี้ยังมีอีกสองกลุ่มคือ "เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง"
และ"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีทัศนะ
ต่อผีต่อวิญญาณในกลุ่มไหนก็ตาม
หากขอให้ไปเดินเล่นคนเดียวในป่าช้าตอนเที่ยงคืน
เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครเล่นด้วยเด็ดขาด. บุคคลทั่วไปเชื่อว่า
สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ชุมนุมผีชมรมวิญญาณ คือป่าช้าทั้งหลายนั่นเอง
ดังนั้นป่าช้าจึงได้รับการยกย่อง ให้เป็นที่สยองขวัญระดับสุดยอด
และดูเหมือนไม่เคยตกอันดับทุกยุคทุกสมัย สถานที่สยองขวัญนอกจากป่าช้าแล้ว
ก็ยังมีที่อื่นอีกกระจายไปทั่วทุกๆจังหวัด สำหรับสถานที่ใดได้รับการย่อง
ให้เป็นอาณาบริเวณสยองขวัญชวนขนหัวลุก จะต้องมีมาตรฐานประการสำคัญนั่นคือ
จะต้องมีผี หรือ วิญญาณปรากฏซ้ำซาก มีประวัติน่าหวาดเสียวระทึกใจ
และต้องมีพยานรู้เห็นหลายครั้งหลายหนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ และ 10
อันดับนั้นก็คือ</span>
<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">ในซอยวัชรพล</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;">เป็น
หมู่บ้านร้างตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร
คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน
เจ้าของโครงการ ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง
ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้าง จึงพบกับอุปสรรคนานาประการ
ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน
ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คน
ประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้
จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง
พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล
มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ
ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">ในซอยวัชรพลเช่นกัน</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;">เป็น
บ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ
ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง
และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ
สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้
พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;">สถาน
ที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า
ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
คือเครื่องปั๊มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง
นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน
จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน
ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา
เล่าลือกันว่าผีดุมาก
ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั๊มลมมรณะก็ยังอยู่</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">วัดปราสาท จ.นนทบุรี</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;">วัด
ปราสาท จ.นนทบุรี เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง
เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ
มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี
ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืน
หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก
ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่
มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #555555; font-family: tahoma; text-align: -webkit-left;">ใน
ซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ เป็นโรงงานร้าง
เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่
80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม
มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง
ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน
ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ หากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง
จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ
และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง
จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที</span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">รังสิต คลอง 13</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><span style="color: #555555; font-size: 13px; font-weight: normal;">จาก
ถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง
แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า
มีผู้หญิงตายในกองไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง
คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน
จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ
พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้านด้วย</span></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><span style="color: #555555; font-size: 13px; font-weight: normal;">เป็น
บ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึง ห่างไกลจากบ้านอื่นๆ
ในระแวกนั้นบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยคุณยายเจ้าของบ้าน
เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด
แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่
ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก
คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อมี
เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน
ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน</span></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><span style="color: #555555; font-size: 13px; font-weight: normal;">ที่
นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสารประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การ
ไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้ว
และเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง
หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่
แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไปบางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ</span></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">วัดมหาบุศย์ พระโขนง</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><span style="color: #555555; font-size: 13px; font-weight: normal;">ที่
วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่
สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า
เมื่อผีแม่นาคอาละวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต (
วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก
แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว
หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน</span></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;">ในซอยรามคำแหง 32</span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #a8100d; font-family: tahoma; font-size: 16px; font-weight: bold; text-align: -webkit-left;"><span style="color: #555555; font-size: 13px; font-weight: normal;">ลึก
เข้าไปในซอยรามคำแหง 32 ท่านจะพบบ้านทรงสเปนหลังหนึ่งรูปทรงสวยสง่าน่าอยู่
แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า 20 ปีแล้ว
ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย
ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ
วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ
ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน
ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่
นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องให้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง
และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย )
เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น
เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย
ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ
และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป</span></span></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-63053852061370621432013-03-18T02:34:00.001-07:002013-03-18T02:34:12.520-07:00 ตั้งกระทู้ ผงะ!! พบศพลอยอืดในแทงค์น้ำโรงแรมมะกัน แขกไม่รู้ใช้น้ำกิน-อาบ<strong style="border: 0px; color: #333300; font-family: Helvetica, Arial, Thonburi, Tahoma, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">สื่อ
มะกันเผยแพร่เรื่องราวอันน่าสยดสยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจนครลอสแองเจลิส
รัฐแคลิฟอร์เนีย พบแทงค์น้ำบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่ง
ย่านดาวน์ทาวน์ มีศพของหญิงสาวที่ลอยอืด เหม็นคละคลุ้ง</strong><br />
<div style="text-align: center;">
<strong style="border: 0px; color: #333300; font-family: Helvetica, Arial, Thonburi, Tahoma, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="color: black; font-size: 14px; font-weight: normal; line-height: 18.890625px; text-align: start;">ทั้งนี้ แขกของโรงแรมได้แจ้งว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำ แขกบางรายพบว่ามีน้ำเป็นสีดำในช่วงแรก แต่ก็หายไป </span><span style="border: 0px; color: red; font-size: 14px; font-weight: normal; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-align: start; vertical-align: baseline;"><strong style="background-color: transparent; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; border: 0px; font-size: 14px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;">จน
กระทั่งช่างไปตรวจสอบก็ถึงกับผงะ พบศพ นางสาวเอลิซ่า เลม นักศึกษาชาวแคนาดา
วัย 21 ปี โดยที่ศพลอยอืดมาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สอดคล้องกับคำให้การของบรรดาญาติๆที่ระบุว่าผู้ตายหายตัวไปเมื่อช่วงต้น
เดือน และทางแขกของทางโรงแรมก็ไม่รู้เลยว่า น้ำที่ใช้กินใช้อาบนั้น
เป็นน้ำจากแทงค์ที่มีศพอยู่</strong></span></strong></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgESD1tcavfnlFYbwaYqoY5BMZE6t6mEcDeIu8EqANOH5WSj6zybNlzrTNAgRye1hTw2CtKcKRrXLnPzbOXTADFj4nrY7aHdbb9gUUU64wuzCbXfIx3s2PDnvfcm-cdKMTpoxFKMfoKLY8U/s320/6a00d8341c630a53ef017d4132cece970c-640wi.jpg" width="320" /></div>
<div style="text-align: center;">
<strong style="border: 0px; color: #333300; font-family: Helvetica, Arial, Thonburi, Tahoma, sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; color: red; font-size: 14px; font-weight: normal; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-align: start; vertical-align: baseline;"><strong style="background-color: transparent; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; border: 0px; font-size: 14px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><strong style="border: 0px; color: #333300; font-size: 14px; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="border: 0px; color: red; font-size: 14px; line-height: 18.890625px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; text-align: start; vertical-align: baseline;"><strong style="background-color: transparent; border: 0px; font-size: 14px; margin: 0px; outline: 0px; padding: 0px; vertical-align: baseline;"><span style="font-size: 14px; line-height: 18.890625px;"><span style="color: olive;">ทั้ง
นี้ โรงแรมดังกล่าวไม่ได้ชี้แจงใดๆกับแขก สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาต่างขนหัวลุก และขวัญผวา เนื่องจากที่ผ่านมาน้ำที่ใช้บริโภคเป็นน้ำศพ
และพากันย้ายออกไปพักที่โรงแรมอื่นทันที</span></span></strong></span></strong> </strong></span></strong></div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-20153199596657240862013-03-18T02:31:00.000-07:002013-03-18T02:31:08.921-07:0010 เรื่องเล่า ผี ในมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา<span style="color: red;">1.ที่มาของชื่อ "ศาลายา" </span><br />เชื่อ
กันว่าชื่อ "ศาลายา" นี้มาจาก
ในสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เกิดโรคระบาดหรือโรคห่าลง เด็ก ผู้ใหญ่ ฯลฯ
ผู้คนมากมายนอนตายทับถมเป็นกองสูง <br />ศพที่ไม่ได้นำไปเผาก็ถูกทิ้งให้แร้ง
จิกกินเป็นที่น่าสังเวช เช่นเดียวกับประตูผีที่ วัดสระเกศ
บริเวณภูเขาทองในปัจจุบัน ทางการจึงตั้งศาลาแห่งหนึ่ง <br />ไว้เพื่อส่งมอบยาแก่ชาวบ้าน ต่อมาจึงเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "ศาลายา" <br /><br /><br /><span style="color: red;">2.เพลงรักน้อง "เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม..." </span><br />นั่น
คือเนื้อเพลงรักน้องหรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปาก
เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายา มีเรื่องเล่ากันว่านักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง <br />ถูก
ผู้เป็นพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ
ด้วยความเสียใจกอปรกับคิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้ว
นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า <br />ของหอพักและเขียนข้อความ
สั้นๆนี้ไว้ จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพลงรักน้อง
จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษา <br />พยาบาลคนนั้น
ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน
และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง >มิฉะนั้น <br />จะ
เท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียง
ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระ <br />โดดลงจากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วย พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆอยู่เลย <br /><br /><br /><span style="color: red;">3.SI วันมหิดล เตียงC </span><br />อีก
หนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งกล่าวถึงนักศึกษา
คณะแพทย์ศิริราช(ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่าSI)ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียน <br />หอ
พักในวันนี้ของทุกๆปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด
และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความเฮี้ ยนสุดยอด <br />ใน
วิทยาเขตศาลายา
นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัยอาจเป็น
เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึง <br />ไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไป
เรียบร้อยแล้วห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่อง
ถูกปิดตาย ทราบแต่เพียงว่า เตียงCของนัก <br />ศึกษาSIในคืนวันมหิดลเท่านั้น
ที่จะพบเห็นเค้าได้ ถ้าอยากทราบว่าความเฮี้ยนนั้นจัดขนาดไหน?
ก็ลองสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดถึง <br />เรื่องนี้ในคืนนี้ >ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นที่สนุกปากขนาดไหนก็ตาม <br /><br /><br /><span style="color: red;">4.เชือกในห้องน้ำ </span><br />เรื่อง
นี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆมีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า
ช่วงปิดเทอมเดือนตุลา แม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชาย ห้องดังกล่าว <br />ได้
ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า "ห้องน้ำเสีย"
นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจาก <br />ประตู
เจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม
มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง
แม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตา <br />ไป
เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า>"เค้ากลับต่างจังหวัด"
ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว
ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้าน <br />ผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบหล่อนด้วย คุณคือผู้โชคดีแล้ว <br /><br /><br /><span style="color: red;">5.ผีถ้วยแก้ว </span><br />ขอ
ยกเรื่องเล็กๆให้ฟังพอหอมปากหอมคอละกัน ก็มีอยู่ว่า...
นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เล่นผีถ้วยแก้วในบริเวณหอพัก
ทีนี้เมื่อเล่นจบก็ถกเถียงกันว่า <br />ใครเป็นคนดันแก้ว เมื่อไม่มีข้อสรุป
และด้วยความไม่เชื่อในเรื่องผีสางทั้งหมดก็เดินออกไปหน้า ม.เพื่อหาข้าวกิน
เพื่อนต่างคณะที่นั่งรถแท็กซี่ <br />เข้ามาได้สวนกับนักศึกษากลุ่มนั้นพอดี
ภาพที่เห็นก็คือ ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณศาลใกล้คณะอินเตอร์
และได้ยกมือชี้ ร้องไล่ให้ <br />ผู้หญิงในกลุ่มออกไป
แต่ทุกคนกลับไม่มีใครใส่ใจ
เมื่อมาถึงหอนักศึกษาคนหนึ่งก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า "นี่
เมื่อกี๊เล่นผีถ้วยแก้ว มันบอกว่าเป็นผู้หญิง <br />ว่ะ
อย่าให้กูจับได้นะว่าใครเป็นคนดัน"
เพื่อนก็รีบเล่าเรื่องที่ชายแก่ไล่หญิงสาวในกลุ่มให้ฟัง
ทุกคนก็ยืนยันว่ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ ชายแก่คนดังกล่าว <br />อาจเป็นวิญญาณเจ้า
ที่เจ้าทางที่รู้จักกันในนาม"พ่อปู่จันธูป"หรือ "เจ้าขุนทุ่ง"
ส่วนผู้หญิงคนดังกล่าว >จะเป็นคนเดียวกับในถ้วยหรือเปล่า? โฮะๆ <br />คิดเอาเอง <br /><br /><br /><span style="color: red;">6.เรือนไทย</span> <br /><br />เรือนไทยเป็นเรือนสีแดงสดตั้งอยู่ตรงข้ามตึกวิทย์เก่า เดินเข้ามาไม่ไกลก็จะพบได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสวยงามและอากาศเย็นสบาย ทำให้ <br />เรือน
ไทยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม
นักศึกษาหลายกลุ่มมานั่งติวหนังสือกันที่นี่
และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา <br />เรื่องเล่าเกี่ยวกับ
เรือนไทยมีมากมาย เพราะความคลุมเครือในที่มาของเรือนไทยโบราณหลังนี้
เมื่อ2ปีก่อน นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปอ่านหนังสือ <br />บริเวณเรือนไทย เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆคล้ายผมของใครบางคน <br />ปลิว
ไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า
เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ
และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้ม <br />แสยะเห็นฟันดำขลับ
นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันที>พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วย
เหลือ-ทำการปฐมพยาบาล >รุ่นพี่เล่าต่อๆกันมาว่าเสา <br />ต้นหนึ่งในเรือน
ไทยตกน้ำมันได้ >ถ้าคุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ"ความแรง"ของที่นี่
>มีเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าที่เรือนไทยนี้อากาศเย็นสะท้านตลอด
เวลา <br />ไม่ว่าจะฤดูอะไร และวันนั้นแดดจะแรงขนาดไหนก็ตาม:-) <br /><br /><br /><span style="color: red;">7.หอชาย </span><br />เชื่อหรือไม่? ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความ <br />เป็น
มาตรงนี้เลย หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง
(ยกเว้นแต่หอ10) ก็มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย <br />ภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวน <br />มาก
ที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก
ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือ 1.บันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดิน <br />ทางนี้
บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี
นอกจากวิ่งชนหรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง2.ทางเชื่อมระหว่างหอ
เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่าง <br />ของหอ
นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน
โถฉี่ในหอพักหญิงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี
แต่อย่าหวังคำตอบจากเจ้าหน้าที่หอเกี่ยว <br />กับสาเหตุที่ย้ายมา เพราะต่อให้ตาย "...เค้าก็ไม่ตอบคุณหรอก" <br /><br /><br /><span style="color: red;">8.คอนโดC ห้องxxxx </span><br />คอน
โดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา
แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโดCซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์
และประไว้ที่หน้าประตูอีก <br />หนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี <br />ประวัติ
ของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า
ช่วงปิดเทอมเมื่อ4-5ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย
กว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่า เฟะ เละจน <br />แทบจำไม่ได้
เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี2 น้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลก พองานศพเสร็จ
เพื่อนๆทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คน <br />ที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ
ไม่รู้เรื่องรู้ราว
ตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำบางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆ
ที่ไม่มีใคร แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่า <br />นักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้อง <br />เจ้า
ปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!!!
รูมเมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน
และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่ <br />ถูกทอดทิ้ง
หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า-ข้าวของ >เปิดปิด
เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอทสุดๆและเฮี้ยนสุดๆ <br />ในรั้วศาลายา <br /><br /><br /><span style="color: red;">9.ตู้ผี </span><br />ฟัง
ชื่อแล้วต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังผีเกาหลีเกรดบี
แต่นี่คือเรื่องจริงของนักศึกษาดวงซวยสุดๆในคืนวันมหิดล เมื่อสองปีก่อน
ช่วงสอบกลาง <br />ภาคตรงกับวันมหิดลพอดี
>นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ภายในห้องพัก
กำลังจะไขกุญแจตู้เสื้อผ้าไปอาบน้ำ เครียดก็เครียด <br />อ่านก็ไม่ทัน
ไหนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ความซวยก็เข้าเยือนต่อทันที
ขณะเดียวกันเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใน
คว้า <br />ท่อนแขนนักศึกษาโชคร้ายและพยายามดึงเข้าไปในตู้
เท่านั้นแหละ...เสียงกรี๊ดดังลั่นมาถึงหอชาย
เพื่อนร่วมห้องได้ยินก็กระวีกระวาดมาดู เห็น <br />เจ้าหล่อนเป็นลมนอนฟุบอยู่
กับพื้นห้อง
จึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่หอให้รับตัวไปโรงพยาบาลทันทีสอบถามจากเจ้า
หน้าที่หอพักก็ตีหน้าซื่อ แก้ตัว <br />กับเหตุการณ์นี้ว่า
"สงสัยเค้าจะเครียดมากไป"
เป็นอันว่าเรื่องสยองในคืนวันมหิดลก็ยังเป็นปริศนาต่อไป ยาวไปหน่อย
แต่อ่านแล้วขนลุกได้เลยsmallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-74691030380234920122013-03-18T02:28:00.000-07:002013-03-18T02:28:10.300-07:00เสียงฝีเท้าใครเอ่ยเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใหม่ๆครับ
เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตแห่งแรกของประเทศและที่ตั้งเป็นที่เก่าแก่
เล่าลือกันว่าผีดุมาก
มีเรื่องเล่าหลอกน้องใหม่อยู่สองสามเรื่องเกี่ยวกับเด็กนุ่งโจงกระเบนจะมา
นั่งซ้อนท้ายจักรยานหากขี่ไปคนเดียวบ้าง เรื่องของ
สาวสไบเขียวสไบแดงที่มาปรากฏตัวให้เห็นยามดึกบ้าง ฯลฯ
<br />
<br />แต่เรื่องที่ผมเจอมานั้น ผมเองก็ไม่ แน่ใจเหมือนกันว่า
เกี่ยวข้องกับตำนานบทไหนของที่นั่นบ้างหรือไม่
ตอนเข้าไปใหม่ๆต้องมีการรับน้อง ที่นั่นรับกันเป็นเดือนล่ะครับ
ช่วงแรกที่ว้ากผู้ชายจะโดนก่อน สองสามสัปดาห์ วันสุดท้ายของการว้ากชาย
ผมป่วยเป็นอีสุกอีใส รุ่นพี่เลยอนุญาตให้พักได้ ไม่ ต้องลงว้าก
คือไข้มันขึ้นสูงก่อนที่เม็ดจะออกนะครับ(ใครเคยเป็นคงทราบ) และตามกำหนดนี่
ทางสโมสรนักศึกษาเค้ากำหนดว่าวันนั้นจะต้องเป็นวันสุดท้ายของการรับน้อง
เดี่ยวได้แล้ว (และเริ่มรับน้องรวม
คณะไหนจะเลิกก่อนก็ได้แต่ห้ามเกินวันนี้) และก็จำเพาะว่าทุกคณะจะ
ต้องมาว้ากวันสุดท้ายวันนั้นพอดี(ตอนนั้นมี 5 คณะ)
<br />
<br />ผมก็เลยนอนอยู่บนหอเกือบจะคนเดียว
เพราะพวกปีหนึ่งไปโดนว้ากแล้วพวกรุ่นพี่ก็ไปว้ากน้องงัยครับ
ห้องที่ผมพักนั้นเป็นหอพักรุ่นแรกๆของมหาวิทยาลัย มีห้าชั้นรวมดาดฟ้า
และห้องที่ผมพักนั้น เป็นห้องที่อยู่สุดทางเดินชั้นสี่พอดี
เป็นห้องที่กว้างกว่าห้องอื่นๆ ชั้นหนึ่งๆจะมีห้องเช่นนี้เพียงสี่
ห้องแต่ก็จะมีคนพักมากกว่าห้องธรรมดาเหมือนกัน ห้องผมพักกันห้าคน
แต่มีเตียงเพียงสามหลัง ก็เลยต้องเอาเตียงทั้งหมดมาต่อกันถึงจะนอนกันพอ
เข้ามุมห้องพอดี ด้านข้างจะเป็นกำแพง ส่วนอีกด้านหัวนอนจะเป้นหน้าต่าง
วันนั้นผมก็ นอนอยู่ในห้อง
<br />
<br />ประมาณสามทุ่มได้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้ยินเสียงเค้ารับน้องกัน
ใกล้ๆ ในห้องตอนนั้นมืดมาก เพราะผมนอนไปตั้งแต่เย็น
ตามันเลยยังปรับไม่ได้ด้วย ก็เลยนอนอยู่ อย่างนั้น
<br />
<br />ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างข้างๆหู
รู้สึกว่าเป็นเสียงที่ดังอยู่ในห้องนี่ แหละ
ผมพยายามฟังอยู่สักครู่ก็ทราบว่าเป็นเสียงเดินลากเท้าดังแสกๆๆๆๆ
มันดังมาจากทาง หน้าประตู ผมก็เริ่มขี้ขึ้นหัวแล้ว (ขอโทษนะครับที่ใช้คำนี้
แต่ตอนนั้นมันเป็นอย่างนี้จริงๆ) เพราะ โดนรุ่นพี่ขู่ไว้มาก
อีกอย่างผมเป็นคนกลัวผีมากๆด้วย
<br />
<br />เสียงฝีเท้านั้นเหมือนเดินตรงเข้ามาที่เตียง ผมเลยหลับตา
บทสวดอะไรก็นึกไม่ออก นึกถึงพ่อ แม่อย่างเดียว
สักพักเสียงเดินนั้นมันก็ผ่านมาข้างๆเตียง แล้วผ่านไปทางหัวนอน วกกลับมาอีก
ด้านหนึ่งของเตียงแล้ววนมาที่ปลายเตียงอีกครั้ง
เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณสี่ห้ารอบ
<br />
<br />รุ่นพี่ของผม คนหนึ่งก็เปิดประตูห้อง เปิดไฟ
เข้ามาเรียกผมลงไปกินข้าวกับเพื่อนก่อนจะเปิดใจ(กิจกรรมรับน้อง)
ผมลุกพรวดเข้าไปหาแกเลยทันที แกยังบอกเลยว่า สงสัยผมหายป่วยแล้ว
แต่พอพี่เค้า เห็นหน้าผมแกก็เลยรีบพาลงไปข้างล่าง
ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ๆเพื่อนๆฟัง เค้าว่าผมคงเพ้อเพราะ ไข้ไปเอง
แต่พอเรากลับถึงห้องพักสิครับ เพื่อนๆถึงกับอึ้งไปเลย
เรียกใครต่อใครมาดูกันใหญ่
<br />
<br />เพราะที่ห้องผมนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าเปื้อนโคลนเต็มรอบเตียงไปหมด
เป็นรอยเท้าที่ข้างขวาลง น้ำหนักเต็ม
ส่วนข้างซ้ายนั้นลากตามมาเหมือนคนขาเสีย
รอยนี้ยังเปื้อนเข้าไปถึงใต้เตียงด้วย เพื่อนๆก็เลยมานั่งคุยกันเรื่องนี้
ว่ามันอาจเป็นขโมยก็ได้ ผมก็แย้งว่าแล้วมันเดินไปใต้เตียงทำไม ถามเฉยๆครับ
ทุกคนก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ มันเข้าไปเดินไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเตียงต่ำมาก
นอกจากว่า คนๆนั้นจะเลื่อนเตียงออกจากข้างผนังเสียก่อน
<br />
<br />หรือไม่ก็คือเค้าต้องสามารถเดินผ่านเตียงไปได้ เลย ตั้งแต่วันนั้นมา
ผมก็เลยย้ายไปอยู่ห้องอื่นเลยครับ ขอโทษนะครับ อาจจะยาวไปหน่อย
แต่ผมอยากให้เห็นภาพครับ<br />
<br />
ที่มา ที่มา shockfmclub smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-61846457690500105022013-03-18T02:26:00.000-07:002013-03-18T02:26:32.056-07:00ที่โรงแรมประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน7คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต
และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน
ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย
การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ่อนผ่านพ้นไป
พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน
ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร
และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน
<br />จนกระทั่งใกล้จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก
ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า
พวกเขาเจอ "ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!" เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง
ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้น และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุกสนาน
(สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา
แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว
เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ
บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน
เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง
<br />น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใครเจอเลย
แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน
อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา
และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ
<br />แต่แล้วในวันถัดมา
ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย
ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น
ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด
ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บน
ไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ
แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม
เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย
เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที
<br />เรื่องยังไม่จบแค่นี้
ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ
จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก
วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์
งานกันในห้อง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดินออกมาปิดล็อกห้องอย่าง
ดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด
ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี
ฉันจึงตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก
พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว
พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ
เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา
เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที
<br />สี่วันผ่านไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที
รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ
แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ
ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า
เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน
ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้ว
<br />อยู่มานานแล้ว.......
<br />คิดแล้วปวดใจ และคุยกันว่า ถ้ามาอีกทีไปหาที่อื่นพักกันเถอะ....smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-16764383751072441582013-02-01T05:59:00.000-08:002013-02-01T05:59:02.648-08:00ดาวเนปจูน (อังกฤษ: Neptune) <div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<b>ดาวเนปจูน</b> (<span style="color: #0645ad;">อังกฤษ</span>: <span lang="en" xml:lang="en">Neptune</span>) หรือชื่อไทยว่า <b>ดาวสมุทร</b><sup class="reference" id="cite_ref-1"><span style="color: #0645ad;">[</span></sup>หรือ <b>ดาวเกตุ</b> คือ<span style="color: #0645ad;">ดาวเคราะห์</span>ใน<span style="color: #0645ad;">ระบบสุริยะ</span>ลำดับสุดท้ายที่อยู่ห่างจาก<span style="color: #0645ad;">ดวงอาทิตย์</span> (ขึ้นอยู่กับการโคจรของ<span style="color: #0645ad;">ดาวพลูโต</span> ซึ่งบางครั้งจะเข้ามาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า แต่ปัจจุบันดาวพลูโตเป็น<span style="color: #0645ad;">ดาวเคราะห์แคระ</span>แล้ว) ตัวดาวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์ คำว่า "เนปจูน" นั้นตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของ<span style="color: #0645ad;">โรมัน</span> (กรีก : <span style="color: #0645ad;">โปเซดอน</span>) มีสัญลักษณ์เป็น (♆)</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqOfYSh05rKdJMKJkI-HLLD6UL-UUkU76MZZoALBBz7dHIRvr6bCBARQ9hdlM2UvvE3vW_xBur2XgwP2UeJsycyZ0teTV1ck6dTc7Je6b-DV5mG2s3hFt1RW7QrL14rVsMf0cdlZpa8xp-/s1600/200px-Neptune.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" ea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqOfYSh05rKdJMKJkI-HLLD6UL-UUkU76MZZoALBBz7dHIRvr6bCBARQ9hdlM2UvvE3vW_xBur2XgwP2UeJsycyZ0teTV1ck6dTc7Je6b-DV5mG2s3hFt1RW7QrL14rVsMf0cdlZpa8xp-/s1600/200px-Neptune.jpg" /></a></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงิน เนื่องจากองค์ประกอบหลักของบรรยากาศผิวนอกเป็น <span style="color: #0645ad;">ไฮโดรเจน</span> <span style="color: #0645ad;">ฮีเลียม</span> และ<span style="color: #0645ad;">มีเทน</span> บรรยากาศของดาวเนปจูน มีกระแสลมที่รุนแรง (2500 กม/ชม.) อุณหภูมิพื้นผิวอยู่ที่ประมาณ -220℃ (-364 °F) ซึ่งหนาวเย็นมาก เนื่องจาก ดาวเนปจูนอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในของดาวเนปจูน ประกอบด้วยหินและก๊าซร้อน อุณหภูมิประมาณ 7,000℃ (12,632 °F) ซึ่งร้อนกว่าพื้นผิวของ<span style="color: #0645ad;">ดวงอาทิตย์</span>เสียอีก</div>
<span style="color: #0645ad;">ยานวอยเอเจอร์ 2</span> เป็นยานอวกาศจากโลกเพียงลำเดียวเท่านั้น ที่เคยเดินทางไปถึงดาวเนปจูนเมื่อ <span style="color: #0645ad;">25 สิงหาคม</span> พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ภาพของดาวเนปจูนซึ่งได้ถ่ายลักษณะของดาวมาแสดงให้เราเห็นจุดดำใหญ่ (คล้ายจุดแดงใหญ่ ของดาวพฤหัส) อยู่ค่อนมาทางซีกใต้ของดาว มีวงแหวนบางๆสีเข้มอยู่โดยรอบ (วงแหวนของดาวเนปจูน ค้นพบก่อนหน้านั้น โดย <span style="color: #ba0000;">เอ็ดเวิร์ด กิแนน</span> (Edward Guinan)<br />
ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวาร 8 หรือ 13 ดวง และดวงใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า <span style="color: #0645ad;">ไทรทัน</span><br />
<br />
<br />
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.84.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.9E.E0.B8.9A">ประวัติการค้นพบ</span><br />
ในปี พ.ศ. 2389 เออร์เบียง เลอ เวอร์ริเยร์ (Urbain Le Verrier) คำนวณว่า ต้องมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัส จนเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2389 โจฮันน์ จี. กาลเล (Johann G. Galle) นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันแห่งหอดูดาวเบอร์ลิน ได้ค้นพบดาวเนปจูน ในตำแหน่งใกล้เคียงกับผลการคำนวณดังกล่าวsmallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-5742305021659953912013-01-19T07:13:00.000-08:002013-01-19T07:13:41.470-08:00ดาบซามูไร ตำนานของอาวุธสังหาร และงานศิลปะ๑. ยุคดาบโบราณ (Ancient Sword) ก่อนคริสต์ศักราช ๙๐๐ (ก่อน พ.ศ. ๑๔๔๓) ยุคที่ดาบของ "อามากุนิ" ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการถลุงเหล็กเนื้อดีในสมัยนาร่า<br /><br />๒. ยุคดาบเก่า (Old Sword) ราวปี พ.ศ. ๑๔๔๓-๒๐๗๓ ถือเป็นยุคทองของดาบซามูไร แทบไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ศิลปะไทย จะอยู่ในช่วงเดียวกับศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘) จนถึงสมัยศิลปะสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐) ในขณะที่ปี พ.ศ. ๑๘๔๐ เป็นปีที่ดาบของ "มาซามูเน่" ถือกำเนิดขึ้นและภูมิปัญญาขั้นสูงสุดที่ตกทอดเป็นมรดกของดาบชั้นยอด<br /><br />๓. ยุคดาบใหม่ (New Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๑๓๙-๒๔๑๐ ซึ่งอยู่ช่วงเดียวกับศิลปะสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ คือช่วงสมัยเอโดะ และยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามคนเข้าออกอย่างเด็ดขาด (พ.ศ. ๒๑๘๒)<br /><br />๔. ยุคดาบสมัยโมเดิร์น (Modern Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึงปัจจุบัน ยุคที่ดาบทหารถือกำเนิดขึ้น (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๘๘) การผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการสงครามไม่มีพิธีกรรมแบบโบราณ ดาบญี่ปุ่นมัวหมองเพราะถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ การตัดคอเชลยศึกไม่ใช่ประเพณีของชนชั้นซามูไร พอมาถึงสมัยปัจจุบันดาบกลายเป็นงานศิลปะชั้นสูงที่มีราคาแพง<br /><br /><br /><br />ชนิดของดาบซามูไร<br />ดาบมีหลายแบบและหลายประเภท แต่สามารถแบ่งชนิดหลักๆ ออกได้ ๓ ชนิดดังนี้<br /><br />ดาบยาว (Long Sword)<br />๑. "ตาชิ" (Tachi) ดาบยาวของทหารม้า มีความโค้งของใบดาบมาก ใช้ฟันจากหลังม้า มีความยาวของใบดาบมากกว่า ๗๐ เซนติเมตร<br />๒. "คาตานะ" (Katana) ดาบที่มาแทนที่ดาบตาชิของทหารม้า ตั้งแต่กลางสมัยมุโรมาชิ (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) สามารถใช้ต่อสู้บนพื้นดินได้คล่องตัวกว่า เพราะมีความโค้งน้อยควบคุมได้ง่าย ความยาวใบดาบโดยประมาณ ๖๐.๖ เซนติเมตรขึ้นไปถึง ๗๐ เซนติเมตร<br /><br />ดาบขนาดกลาง (Medium Sword)<br />"วากิซาชิ" (Wakizashi) ดาบที่ใช้พกพาคู่กับดาบคาตานะของซามูไร ใบดาบมีความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วถึง ๒๔ นิ้ว ดาบที่ซามูไรใช้สำหรับทำ "เซปปุกุ" เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้<br />ตามปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และโดยธรรมเนียมห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น<br /><br />ดาบขนาดสั้น (Short Sword)<br />๑. "ตันโตะ" (Tanto) มีลักษณะคล้ายมีดสั้น ความยาวน้อยกว่าดาบวากิซาชิ<br />๒. "ไอกุชิ" (Aikuchi) คล้ายมีดไม่มีที่กั้นมือ ใช้สำหรับพกในเสื้อ เหมาะกับสตรีsmallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1237229831703868062.post-58748723057686194712012-12-29T04:58:00.002-08:002012-12-29T04:58:39.497-08:00เทือกเขา แอนดีส (Andes) ของเปรู เทือกเขาแอนดีส (Andes) นับเป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลกและเป็นเทือกเขาหลักของทวีปอเมริกาใต้ ทอดตัวยาวจากชายฝั่งทะเลแคริบเบียนในโคลัมเบีย (Columbia) ไปสิ้นสุดยังปลายสุดของทวีปอเมริกาใต้ที่ซิลี (Chile) เทือกเขาแอนดีสแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ แอนดีสตอนเหนือเป็นส่วนที่อยู่ในเวเนซุเอลา (Venezuela) โคลัมเบีย และพื้นที่ตอนเหนือของเอกวาดอร์ (Ecuador) แอนดีสตอนกลาง อยู่ในพื้นท่ตอนใต้ของเอกวาดอร์ เปรู (Peru) โบลิเวีย (Bolivia) และพื้นที่ตอนบนของอาร์เจนตินา (Argentina) กับชิลี และ แอนดีสตอนใต้ เป็นส่วนที่อยู่ในพื้นที่ตอนล่างของอาร์เจนตินาและชิลี<br />
<br />
<ol>
<li>เทือกเขาแอนดีสมองจากทะเลสาบสิบินาโกชา </li>
<li>ชนพื้นเมืองแห่งแอนดีส </li>
<li>ฝูงญามะ พาหนะขนสัมภาระ </li>
</ol>
<div align="justify">
ตลอดความยาทั้งสิ้นกว่า 8,000 กิโลเมตรได้ก่อกำเนิดธรรมชาติอันงดงามหลากหลาย และอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่ของชนเผ่าต่างๆ ที่รู้จักกันดีคือจักรวรรดิอินคา (Inca) ในส่วนของธรรมชาติขุนเขาแล้วต้องยกให้แอนดีสในส่วนที่ทอดผ่านประเทศเปรูเป็นหนึ่งในด้านความงาม ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Cordillera Blanca ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นส่วนของขุนเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้อุทยานแห่งชาติวาสคารัน (Huascran National Park) ของเปรูได้รับการประกาศให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางธรรมชาติ หรือ Cordillera Huayhuash, Cordillera Vilcanota ก็ล้วนแต่ยิ่งใหญ่ตระการตา
<div align="justify">
เราจะได้พบเห็นภาพขุนเขาหิมะที่สูงกว่า 6,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลางทะเลสาบน้ำจืดบนพื้นที่สูงทั้งยังได้มีโอกาสได้สัมผัสชาวแอนดีสตามหุบเขา ซึ่งใช้ชีวิตท่ามกลางฝูงสัตว์เลี้ยงพวกญามะ (Llama) อัลปากา (Alpaca) และแกะ บางโอกาสเราอาจได้พบเห็นสัตว์ป่าหายากบางชนิด เช่น วิกุนยา (Vicun~a) กัวนาโค (Guanaco) วิสกาชา (Viscacah) หรือแร้งคอนดอร์ (Condor Vulture) สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ดึงดูดให้ผู้คนจากทั่วโลกหาโอกาสมาสัมผัสธรรมชาติและผู้คนของที่นี่กันสุกครั้งในชีวิต
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSKWsUkOUM0AOGLScU_HqtSAtBYfMagEt32jSdZts6TiqoemQuRLtxevdp2IjnrDuKtbW8bZr8TVmTCk4BLPtPQuW6hFtiKEvY6DBDyhMus4yInluVs4D2N7cW4FcGaFIVU16KrNA9LCVn/s1600/Andes1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" eea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSKWsUkOUM0AOGLScU_HqtSAtBYfMagEt32jSdZts6TiqoemQuRLtxevdp2IjnrDuKtbW8bZr8TVmTCk4BLPtPQuW6hFtiKEvY6DBDyhMus4yInluVs4D2N7cW4FcGaFIVU16KrNA9LCVn/s1600/Andes1.jpg" /></a></div>
การเดินทางจากประเทศไทยสู่เปรูนั้นไม่มีเที่ยวบินตรง ต้องไปต่อเครื่องที่อเมริกา โดยอาจซื้อตั๋วจากเอเยนต์ที่สามารถจัดเที่ยวบินเชื่อมต่อในอเมริกาให้ได้ หรือซื้อตั๋วไปลงเมืองใหญ่ในอเมริกาจากนั้นซื้อตั๋วที่สนามบินในอเมริกา หรือจองตั๋วผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วไปรับที่สนามบินในอเมริกา สายการบินที่บินระหว่างเมืองใหญ่ในอเมริกากับเปรู คือ American Airline และ Lanchile<br />จากกรุงลิมา (Lima) มีรถโดยสารและเที่ยวบินไปยังเมืองวาราช (Huaraz) ศูนย์กลางการเดินเขาในพื้นที่ของ Cordillera Blanca และ Cordillera Huayhuash<br />ส่วนผู้ที่จะไปเดินเขาในส่วนของ Cordillera Vilcanota ต้องไปยังเมืองคูซโก (Cuzco) ซึ่งมีเที่ยวบินจากกรุงลิมาไปวันละหลายเที่ยวบิน</div>
</div>
smallhttp://www.blogger.com/profile/05305901259246223158noreply@blogger.com0