วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นอสตราดามุส 2012 นอสตราดามุสแห่งบัลแกเรีย ทำนายชะตาโลก ถึงปี 3797

และต่อไปนี้คือคำทำนายถึงโลกในอนาคต

2008 - ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 - เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี
2016 - ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 - จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 - เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์
2033 - น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 - เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 - มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 - สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 - สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 - ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู
2088 - เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 - เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 - ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 - มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 - โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 - โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
2164 - สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
2167 - เกิดศาสนาใหม่
2183 - อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 - โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 - อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน
2196 - ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 - ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 - ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
2262 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 - การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
2279 - พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 - มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 - ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 - เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 - ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
2302 - เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 - พบความลับของดวงจันทร์
2354 - เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 - เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 - ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 - สงครามบนดาวอังคาร
3010 - ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 - ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว

และนี่คือคำทำนายในดาวดวงใหม่ที่มนุษย์ไปตั้งถิ่นฐาน

3803 - A new planet is populated by little. Fewer contacts between people. Climate new planet affects the organisms of people - they mutate.
3803 - มีประชากรเพียงน้อยนิดบนดาวเคราะห์ดวงใหม่ และไม่ค่อยมีการติดต่อกัน สภาวะบนดาวดวงใหม่นี้สร้างผลกระทบกับร่างกายมนุษย์ - ทำให้เกิดการกลายพันธุ์

3805 - The war between humans for resources. More than half of people dying out.
3805 - เกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรณ์ขึ้น ตายกันมากกว่าครึ่ง

3815 - The war is over.
3815 - สงครามจบ

3854 - The development of civilization virtually stops. People live flocks as beasts.
3854 - ดูเหมือนว่าการพัฒนาทางอารยธรรมจะชงักลง ผู้คนใช้ชีวิตราวสัตว์ป่า

3871 - New prophet tells people about moral values, religion.
3871 - ศาสดาใหม่ถือกำเนิดขึ้น สั่งสอนผู้คนในเรื่องศีลธรรมและศาสนา (พ.ศ. 4414)

3874 - New prophet receives support from all segments of the population. Organized a new church.
3874 - ศาสดาได้รับการสนับสนุนจากผู้คนทุกหมู่เหล่า จัดสร้างนิกายขึ้นมาใหม่

3878 - along with the Church to re-train new people forgotten sciences.
3878 - เมื่อนิกายใหมถือกำเนิด ผู้คนยุคใหม่ก็ลืมเรื่องวิทยาศาสตร์

4302 - New cities are growing in the world. New Church encourages the development of new technology and science.
4302 - เมืองต่างๆ เติบโตขึ้นบนโลก นิกายใหม่สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์

4302 - The development of science. Scientists discovered in the overall impact of all diseases in organism behavior
4302 - ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ภาพรวมของโรคทุกชนิด

4304 - Found a way to win any disease.
4304 - เจอทางกำจัดโรคทุกชนิด

4308 - Due to mutation people at last beginning to use their brains more than 34%. Completely lost the notion of evil and hatred.
4308 - ในที่สุดมนุษย์ก็ใช้สมองเกิน 34% ทำให้กำจัดความเกลียดชังออกไปจากใจได้

4509 - Getting to Know God. The man has finally been reached such a level of development that can communicate with God.
4509 - ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น มนุษย์พัฒนาถึงขั้นที่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้

4599 - People achieve immortality.
4599 - มนุษย์เข้าถึงความเป็นอมตะ

4674 - The development of civilization has reached its peak. The number of people living on different planets is about 340 billion. Assimilation begins with aliens.
4674 - อารยธรรมถูกพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุด ประชากรรวมๆ ในทุกๆ ดาวอยู่ที่ 340 พันล้านคน เริ่มมีการรวมเผ่าพันธุ์กับเอเลี่ยน

5076 - A boundary universe. With it, no one knows.
5076 - สู่สุดขอบจักรวาล ที่ซึ่งหามีผู้ใดรู้จักไม่

5078 - The decision to leave the boundaries of the universe. While about 40 percent of the population is against it.
5078 - เกิดการตัดสินใจก้าวข้ามขอบจักรวาล ในขณะที่ผู้คน 40% ไม่เห็นด้วย

5079 - End of the World.
Share:

คำนายนอสตราดามุส, ชีวประวัติบุคคลสำคัญในอดีต

นอสตราดามุส เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว เกิดวันที่ 14 ธ.ค. ค.ศ.1503 ที่เมืองแซงต์ เรมี ในครอบครัวที่มีอันจะกิน พ่อชื่อชาคส์ แม่ชื่อเรอเน่

นอสตราดามุสเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ เพราะสนิทกับคุณปู่และคุณตาที่เป็นถึงแพทย์หลวง เขาจึงมีความรอบรู้เก่งกล้าในหลักวิชาแขนงต่างๆ มีความรอบรู้มากกว่าเด็กร่วมยุคในวัยเดียวกัน รอบรู้ทั้งวรรณคดีคลาสสิค ประวัติศาสตร์ การแพทย์ สมุนไพร ฯลฯ ปัจจุบันนี้ผู้คนจะรู้จักนอสตราดามุสในฐานะนักพยากรณ์เอกของโลก แต่ความจริงแล้วเขาเป็นถึงแพทย์ปริญญา เภสัชกร นักสมุนไพร นักโภชนาการ นักคิดนักปฏิรูป นักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ชีวิตของเขาฝ่ามรสุมมาอย่างโชกโชน


นอสตราดามุสจบแพทย์ มหาวิทยาลัยมองต์เปลิเยต์ ปี 1525 เขาเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับวิชาการแพทย์ที่เก่าคร่ำครึ เช่น การไม่ยอมทำความสะอาดแผลของผู้ป่วย เพราะกลัวว่าเป็นการล้างบาป ซึ่งความคิดดังกล่าวทำให้ยุโรปยุคศตวรรษที่ 16 ตกอยู่ในช่วงการระบาดของเชื้อโรคมากมาย

ในปี ค.ศ.1537 โรคระบาดแพร่ระบาดมาถึงเมืองอายีน คนตายกันเป็นเบือ และขณะที่นอสตราดามุสเดินทางไปรักษาคนป่วยอย่างเหน็ดเหนื่อย เขากลับมาบ้านและพบว่าภรรยาและลูกของเขาติดเชื้อกาฬโรคเสียแล้ว เขาพยายามทุกวิถีทางแต่ก็สายเกิ

หลังจากที่ลูกเมียตาย นอสตราดามุสก็เข้าสู่ช่วงตกต่ำที่สุด นอกจากจะเสียใจที่สูญเสียคนรักแล้ว ชาวเมืองอายีนก็หมดศรัทธา ไม่ยอมเชื่อถือในวิชาแพทย์และการรักษาของเขาอีกต่อไป และคราวนี้นอสตราดามุสก็ทำอะไรไม่ถูกใจคนไปเสียหมด โดยระหว่างที่เขาเดินผ่านไปเห็นคนงานกำลังหล่อรูปพระแม่มารีอยู่นั้น เขาก็แหย่เล่นว่า “กำลังหล่อรูปปีศาจใช่ไหม” เพียงเท่านั้นนอสตราดามุสก็ถูกตราหน้าว่าไม่เคารพพระแม่มารี ทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนด้วย

ในที่สุดนอสตราดามุสจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองอายีน หลบหนีพวกกรรมการสอบสวน เร่ร่อนไปทั่วยุโรปตอนใต้และตะวันตกอยู่ 6 ปี ซึ่งในช่วงเวลานี้เขาเสาะแสวงหาสัจธรรมของชีวิต และในที่สุดเขาก็ใช้วิธีอ่านเหตุการณ์ล่วงหน้า ให้กลายเป็นมิติภาพในจิตทัศน์ของเขาได้ เขาเสียชีวิตวันที่ 1 ก.ค. 1566 ด้วยโรคเกาต์

คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสที่ถูกต้องและเลื่องชื่อมากคือเขาเห็นบาทหลวงฟรานซิส ที่พบกันโดยบังเอิญ และพยากรณ์ว่าบาทหลวงผู้นี้จะเป็นองค์สันตปาปาในอนาคต ซึ่งตอนนั้นคนอื่นหัวเราะกันเอิ๊กอ๊าก เพราะบาทหลวงผู้นี้ไม่โดดเด่นเลย พื้นเพยังเป็นคนต่ำต้อยอีกด้วย นอกจากนี้คำพยากรณ์ว่าพระเจ้าอังรีที่ 2 จะสวรรคตด้วยการประมือกับคนหนุ่ม ก็เป็นจริง ภายหลังพระเจ้าอังรีที่ 2 ภายระหว่างการประลองยุทธ์กับนักรบหนุ่มในกองทหารสกอตรักษาพระองค์ ส่วนเหตุการณ์ยุคหลังๆที่ตรงได้แก่ การลอบสังหารประธานาธิบดีเคเนดี้ และโรเบิร์ต เคเนดี้ การระเบิดของยานอวกาศชาเลนเจอร์ สงครามอ่าวเปอร์เซีย ฯลฯ ซึ่งเขาทำนายไว้ถึงปี 2000
Share:

นอสตราดามุสหรือ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel De Nostradame)


นอสตราดามุส หรือ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel De Nostradame) เป็นแพทย์ และโหราจารย์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส เชื้อสายยิว เกิดวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1503 ที่เมืองแซงต์ เรมี ในครอบครัวนายทะเบียนผู้รุ่งเรืองของเมือง นอสตราดามุสจบการศึกษาด้านการแพทย์ จากมหาวิทยาลัยมองต์เปลีเยร์ ปี ค.ศ. 1525 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ 1566 ด้วยโรคเกาต์


นอสตราดามุส เป็นชาว ฝรั่งเศส มีชื่อเต็มว่า “มิเชล เดอ นอสเตรอดัม (Michel de Nostredame) ” ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามจากชาวโลกว่าเป็น “ราชาโหรโลก” หรือ “ปรมาจารย์แห่งโหราศาสตร์เอกของโลก” นี้โดยทั่วไปผู้คนรู้จักเขาในชื่อที่เป็นภาษาละตินว่า “นอสตราดามุส” (NOSTRADAMUS) เขาเกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1503 ตามแบบปฏิทินจูเลียนโบราณ ซึ่งตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1503 สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 (ค.ศ. 1498 - ค.ศ. 1515) ตามแบบปฏิทินเกรกอเรียน บ้านเกิดอยู่ที่ เมืองแซงต์ เรมี เดอ โปรวองซ์ ประเทศฝรั่งเศส ในครอบครัวของ “ช้าคส์ กับ เรอเน เดอ นอสเตรดัม” นายทะเบียนผู้รุ่งเรืองของเมือง

ปูมหลังชีวิตของนอสตราดามุส

1.พื้นฐานทั่วไป

นอสตราดามุส เกิดร่วมสมัยกับ มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther 1483-1546) ผู้นำแห่งศาสนาคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์

พระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศส ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ชาวยิว ทุกคนให้เปลี่ยนศาสนาเดิมมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ เรียกว่า คริสเตียน โดยเข้ารับศีลจุ่ม (บัปติสมา) ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ร้อนระอุ ครอบครัวนอสตราดามุสไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า ผู้นำของครอบครัวเป็นปัญญาชนรักชาติรักแผ่นดิน รักที่อยู่อาศัยมากกว่าที่จะเป็นพลเมืองชั้นสอง ที่ต้องคอยหลบลี้หนีภัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ครอบครัวยิวในฝรังเศสจึงเลือกทางออกด้วยการรับศีลเข้ารีตเป็นคริสเตียน แต่ภายในบ้านก็ยังยึดถือปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อของยิวอย่างลับๆ มาโดยตลอด ชีวิตของนอสตราดามุสจึงเติบโตขึ้นมาในสภาพที่เคยชินต่อการซ่อนเร้นปกปิดสถานภาพที่แท้จริงของครอบครัวในสายตาชาวบ้านเรื่อยมา ด้วยการอยู่ภายใต้สภาวการณ์ดัวกล่าว ทำให้นอสตราดามุสเรียนรู้ชีวิตของการหลบหลีกหนีภัยมาตั้งแต่เด็ก มีสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดดีกว่ากาลิเลโอ ทั้งๆ ที่ผลงานของนอสตราดามุส ที่ชนชั้นกษัตริย์ และสาธารณชน รวมทั้งทั่วยุโรป รับรู้กันในสมัยนั้น มีลักษณะของการท้าทายและขัดต่อกฏเกณฑ์ของศาสนจักรมากกว่าของกาลิเลโอหลายเท่า

2.พื้นฐานครอบครัว

นอสตราดามุส มีความระแวดระวังภัยรอบตัว มาแต่อ้อนแต่ออก จึงทำให้เขารอดจากการจ้องจับผิดของเจ้าหน้าที่สังฆจักรโรมันคาทอลิกอยู่เรื่อยมา ชื่อนอสตราดามุสอยู่ในบัญชีดำ เป็นผู้ถูกเพ่งเล็งหมิ่นเหม่ต่อการถูกเรียกตัวเข้าคอกเป็นจำเลยเพื่อไต่สวนหลายครั้ง แต่ความเป็นนายแพทย์ที่สร้างคุณประโยชน์ อาจหาญรักษาเพื่อนร่วมชาติที่ล้มตายด้วยโรคระบาดตามหัวเมืองต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงความน่าสยอดสยองของโรคร้าย ความดีอันนี้ จึงมีส่วนช่วยเป็นเกราะกำบังภัยให้นอสตราดามุสเรื่อยมา

คุณปู่และคุณตาของนอสตราดามุส ชื่อ “ปีแอร์ เดอ นอสเตรดัม ”กับ “ฌอง แช็งต์ เดอ เรมี ” ต่างเป็น แพทย์หลวง (หมอหลวง) ในราชสำนักฝรั่งเศส ทั้งสองเป็นเพื่อนรักสนิทกัน ฝ่ายแรกมีลูกชาย “ช้าคส์” ฝ่ายหลังมีบุตรสาว “เรอเน” โตขึ้นก็จับคู่แต่งงานกลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน

3.พื้นฐานการศึกษา

เมื่อนอสตราดามุสมีอายุครบ 14 ปี คุณปู่ แนะนำให้เข้าเรียนต่อด้านศิลปศาสตร์ ที่เมืองอาวียอง แหล่งวิชาสำคัญของฝรั่งเศสยุคนั้น นอสตราดามุสศึกษาวิชาปรัชญา, ไวยากรณ์ และศิลปการพูด ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของพระ ยามว่านอสตราดามุสหนุ่มมักใช้เวลาหมดไปในห้องสมุด และที่แห่งนี้ นอสตราดามุสได้พบหนังสือหลายเล่มที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของไสยศาสตร์ผีสางและเวทมนตร์ รวมทั้งชีวประวัติของศาสดาพยากรณ์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งทำให้นอสตราดามุสเกิดความสนใจในวิชาโหราศาสตร์มากขึ้น มากเพียงพอที่จะพลักดันให้นอสตราดามุสค้นคว้าหลักการทำนายอนาคต การเรียนการสอนในยุคสมัยนั้น ศาสตร์ต่างๆ ถูกควบคุมภายใต้กฏเกณฑ์ของศาสนจักรอย่างเข้มงวด ทฤษฎีใหม่ข้อใดที่ขัดต่อคำสอนทางศาสนาจะถูกห้ามหรือให้ใช้สอนตามแนวที่สังฆจักรอนุมัติ อาจารย์ผู้สอนในยุคนั้นเมื่อกระทบเรื่องใดที่เป็นหัวข้อหมิ่นเหม่ มักจะหันเหไปสอนลูกศิษย์ในเรื่องอื่นๆที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับตนแทน การอภิปรายในชั้นเรียน นอสตราดามุส มักจะออกหน้าปกป้องความคิดใหม่ๆของตนเอง รวมทั้งความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์ มิหนำซ้ำยังยืนหยัดเชื่อใน “ทฤษฎีโคเปอร์นิคัส” นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส นอสตราดามุส มีความรู้แตกฉานด้านดาราศาสตร์ หรือจะด้วยพลังจิตทัศน์ที่แผงอยู่ในตัวมาก่อน นอสตราดามุสเชื่อและยืนหยัดปกป้องทฤษฎีโคเปอร์นิคัสดังกล่าว ก่อนหน้าที่กาลิเลโอจะเสนอทฤษฎีของตนในลักษณะเดียวกันเกือบ 100 ปี เสี่ยงต่อการถูกตั้งข้อหาฉกรรจ์จากสังฆจักรในข้อหาสร้างทฤษฎีซาตานขึ้นมาขัดแย้งความเชื่อเดิม ลบหลู่ท้าทายคำสอนทางศาสนา ซึ่งในศตวรรษต่อมา กาลิเลโอได้ถูกจับไต่สวน และถูกจองจำหลายครั้งในข้อหาเดียวกัน
บิดาของนอสตราดามุส หัวเสียพร้อมผิดหวังที่ลูกชายคิดหันชีวิตมุ่งไปทางโหราศาสตร์ ด้วยคุณปู่ คนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจความปรารถนาของหลานชาย และเป็นผู้หาทางออกให้นอสตราดามุสได้อย่างแยบยล ปีแอร์แนะนำหลานชายให้ยึดถืออาชีพการแพทย์ควบคู่ไปกับการมุ่งศึกษาด้านโหราศาสตร์ คุณปู่เชื่อว่าคนทั้งโลกอาจจะไม่ยอมรับโหราจารย์ไปเสียทั้งหมด แต่ถ้าโหราจารย์ผู้นั้นเป็นหมอรักษาคนไปด้วย ความยอมรับของผู้คนในสังคมจะมีมากกว่า และที่ลึกไปกว่านั้น ทางออกที่แนะนำหลานชายไม่เพียงแต่วางรากฐานอนาคตของนอสตราดามุสให้มั่นคงเท่านั้น แต่ยังทำให้ตระกลูนอสเตรดัมมีผู้สืบสกุลแพทย์ การตัดสินใจเรียนแพทย์ของลูกชายทำให้ผู้พ่อคลายความขึ้งใจลงไปเป็นอันมาก ดังนั้น นอสตราดามุสจึงเข้าเรียนวิชาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยมองต์เปลีเยร์ ในปี ค.ศ. 1522 ด้วยวัยเพียง 19 ปี

ปี ค.ศ. 1525 นอสตราดามุส สอบผ่านจบหลักสูตร ได้ปริญญาบัตรการแพทย์จากมหาวิทยาลัยมองต์เปลีเยร์ พร้อมด้วยใบประกอบโรคศิลปทางแพทย์

กาฬฝากโรค

ในยุคสมัยนอสตราดามุสนั้น เกิดกาฬโรคระบาดร้ายแรงทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โรคระบาดทำให้ผู้คนเสียชีวิตดุจใบไม้ร่วง คนป่วยนอกจากจะได้รับความเจ็บปวดอย่างสาหัสแล้ว ยังได้รับการทรมานจากแผลที่เน่าแฟะเป็นหนอง ส่งกลิ่นเหม็นอบอวลไปทั่ว ถึงรักษาหายก็ยังฝากรอยแผลเป็นไว้ตามตัวและใบหน้า คนที่ถูกกาฬโรคเล่นงานในสมัยนั้น ไม่ต่างอะไรกับได้ตายไปแล้วทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่

นอสตราดามุสได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณและสมุนไพร จากคุณปู่และคุณตา
ปี ค.ศ. 1529 โรคระบาดเริ่มทุเลาลดลง นอสตราดามุสหวนกลับมาติดตามความตั้งใจเดิมที่ตกค้างคาใจอยู่ อยากจะเผยแผ่ทฤษฎีการแพทย์ใหม่ให้แก่สถาบัน โดยนอสตราดามุสเข้าศึกษาต่อทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยมองต์เปลีเยร์ แต่คราวนี้นอสตราดามุสหนุ่ม กลายเป็นแพทย์มืออาชีพชื่อดังไปเสียแล้ว วันที่มหาวิทยาลัยนัดสอบปากเปล่าเพื่อเข้าเรียนต่อนั้น มีประชาชนจำนวนมากแห่ไปยืนออเฝ้าดูการตอบโต้ของนอสตราดามุส ต่อคณะกรรมการ ราวกับมีงานมหรสพ นอสตราดามุสตอบโต้ข้อซักถามที่คณาจารย์ป้อนคำถามมาอย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด ตอบอย่างแตกฉานและแน่นหนาในวิชา แต่ละคำตอบไม่ใช่คำตอบแบบนักศึกษาตอบอาจารย์ทั่วๆไป แต่เป็นคำตอบที่มาจากประสบการณ์นอกตำราเป็นส่วนใหญ่ เป็นคำตอบที่ล้นเปี่ยมด้วยความรอบรู้ของแพทย์มืออาชีพที่มีผลงานจริงเป็นรากฐานรองรับ บางครั้งนอสตราดามุสโต้แย้งทฤษฎีการแพทย์เก่าที่ผิดๆ ด้วยข้อพิสูจน์ทางปฏิบัติ จนไม่มีอาจารย์คนใดกล้าโต้แย้งได้ ทำให้เป็นที่ประทับใจ คณบดีของคณะแพทย์ศาสตร์ ถึงกับมอบรางวัลพิเศษ รวมทั้งแหวนแพทย์ดีเด่นให้แก่นอสตราดามุส พร้อมตำแหน่งศาสตราจารย์ของคณะแพทย์ศาสตร์มองต์เปลีเยร์ ชีวิตนอสตราดามุสผันแปรมากลายเป็นอาจารย์ รับบทบาทสอนวิชาแพทย์อยู่ได้ 3 ปีก็เริ่มเกิดอาการเบื่อหน่ายร้อนวิชา จิตใจรุ่มร้อนกระวนกระวายไม่เป็นสุข อยากกระโจนออกสู่โลกที่กว้างไกลกว่านี้ นอสตราดามุส ต้องการอิสรภาพทางความคิด มาตรฐานวิชาแพทย์รูปแบบใหม่ที่นอสตราดามุสวางรากฐานไว้ระหว่างที่สอนที่มหาวิทยาลัยมองต์เปลีเยร์เริ่มเวียนวนซ้ำซาก จนบางครั้งนอสตราดามุสสับสน ไม่รู้ว่าอันไหนเริ่มต้น อันไหนเป็นจุดลงเอย จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย นอสตราดามุสมุ่งหน้าเลาะไปตามเมืองต่างๆที่รู้จัก และประสบความสำเร็จในวิชาชีพเมื่อครั้งรักษาโรคระบาด

ปี ค.ศ. 1534 ในที่สุดก็ปักหลักตั้งสำนักงานแพทย์ที่เมืองตูลูส เพียงไม่นานผู้คนในเมืองตูลูส และใกล้เคียงต่างรู้จักนอสตราดามุส มารับการรักษาก็มาก มาเพื่อคบค้าสมาคมเป็นเพื่อนก็หลาย ในจำนวนนี้ มี จูเลียส ซีซาร์ สคาลิงเจอร์ นักคิดนักปรัชญาชื่อดังแห่งเมืองอายอง รวมอยู่ด้วยโดยคบกันอย่างถูกอัธยาศัยจนกลายเป็นเพื่อนสนิท อายองเป็นเมืองที่มีอากาศดี มีแสงแดด แห้งไม่เปียกชื้น ในเวลาต่อมา นอสตราดามุสได้ตัดสินใจย้ายมาตั้งรกรากอยู่ในเมืองนี้

คนหนุ่มโสดหน้าตาดีมีความรู้ดี มีอาชีพมั่นคง มีเกียรติในสังคมอย่างนอสตราดามุส ย่อมเป็นบุรุษเนื้อหอมของเมืองอายอง หญิงสาวในระดับไฮโซตระกูลร่ำรวยหลายคนอยากได้นอสตราดามุสเป็นคู่ครอง ในที่สุดนอสตราดามุสตัดสินใจสละโสดเข้าพิธีแต่งงานกับหญิงสาวรวยทรัพย์มากเสน่ห์คนหนึ่งของเมือง โดยมีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละหนึ่งคน นอสตราดามุสใช้ชีวิตช่วงนี้อย่างบรมสุขแวดล้อมด้วยสิ่งดีๆที่ประเสริฐเท่าที่ชีวิตคนคนหนึ่งจะถึงแสวงหามาได้ คบหาเพื่อนฝูงระดับปัญญาชนคอยป้อนอาหารทางความคิดในตอนกลางวัน มีภรรยาและลูกๆคอยหว่านพืชผลแห่งความรักอย่างอบอุ่นในตอนค่ำ ชีวิตของนอสตราดามุสในช่วง 3 ปีนั้น จึงเป็นชีวิตที่เหมือนตกอยู่ในฝันทั้งยามหลับและยามตื่น

ปี ค.ศ. 1537 โรคระบาดที่ทะลักมาจากเมืองอื่นเริ่มเข้ามาคุกคามเมืองอายอง มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านได้ยินเสียงล้อรถเก็บศพดังกระทบแผ่นหินบนถนนของเมืองทั้งกลางวันและกลางคืน นอสตราดามุสรวบรวมความรู้ประสการณ์ที่เคยมีมา ออกตระเวนรักษาคนป่วยอย่างเต็มกำลัง ทุกวันก่อนที่จะออกจากบ้านไปปราบโรคร้าย เขาต้องกล่าวอำลาลูกเมียเยี่ยงสามีที่ดีทั้งหลาย หาได้เฉลียวใจสักนิดไหมว่า ความวิบัติหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาสู่ตนกับครอบครัวของนอสตราดามุสอย่าน่าสะพรึงกลัว

คืนวันหนึ่ง นอสตราดามุสกลับมาถึงบ้าน พบลูกและเมียตัวเองมีอาการไข้ ตามใบหน้าและลำตัวเริ่มมีแผลพุพองของเชื้อกาฬโรค นอสตราดามุสเพิ่งรู้ว่าโรคร้ายได้กรายเข้ามาใกล้ตัวอย่างไม่คาดฝัน เทคนิคการแพทย์ทุกชนิดเท่าที่จะสรรหามาได้ในขณะนั้นถูกนำมารักษาภรรยาและลูกทั้งสองจนหมดสิ้น มือแพทย์ฉมังที่เคยรักษาคนไข้ให้หายจากโรคร้าย นับพันนับหมื่น พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับรักษาคนใกล้ตัวอันเป็นที่รักไว้ไม่ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างรวดเร็วเหมือนถูกสวรรค์แกล้ง ภรรยาและลูกทั้งสองของนอสตราดามุสต้องจบชีวิตด้วยโรคร้ายในคราวนั้น

เหตุการณ์เศร้าสลดของนอสตราดามุส ทำให้ชาวเมืองอายอง แสดงธาตุแท้ของมนุษย์ออกมาด้วยการปฏิเสธ ไม่ยอมรับให้ความเชื่อถือในวิชาแพทย์ของนอสตราดามุสที่ใช้รักษาอีกต่อไป รวมทั้งญาติฝ่ายภรรยาผู้ทรงอิทธิพลในเมืองที่เสียใจกับการสูญเสียออกมาซ้ำเติม ทำให้เหตุการณ์เลวร้าวลงไปอีก อีกทั้งเพื่อนๆ ปัญญาชนที่เคยสนิท อย่างจูเลียส ซีซาร์ สคาลิงเจอร์ ที่รักใคร่สนิทสนมกันหนักหนา ครั้นนอสตราดามุสประสบปัญหาชีวิตส่วนตัว แทนที่จะช่วยยามตกยากตามประสาเพื่อนที่ดี กลับตีตัวออกห่าง ตัดไมตรีความเป็นมิตรกับนอสตราดามุสอย่างไม่มีเยื่อใย ทำให้นอสตราดามุสผิดหวังเสียใจเพิ่มขึ้นไปอีก
Share:

ไอ้ด่างคลองบางมุด

หากย้อนกลับไป 40 ปีที่แล้วสมัยที่เมืองไทยยังใช้เส้นทางน้ำเป็นทางสาย หลัก และบางแห่งก็มีจระเข้ชุกชุมตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ชาวบ้านทั่วไปมีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับน้ำ แต่จู่ๆกลับเกิดข่าวสะเทือนขวัญพาดหัวข่าวในหน้าหนัง สือพิมพ์ ปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยเริ่มออกอาละวาดตั้งแต่ต้นเดือนกันยา ในคลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน จระเข้ตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก และดุร้ายถึงขั้นไล่กัดผู้คนที่เดินริมตลิ่ง และไล่กัดเรือที่สัญจรไปมา จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือหรือเดินเลาะริมตลิ่ง



ต่อมาในกลางเดือนกันยายน เย็นวันหนึ่ง นายอุดม ชาวบ้าน ต.นาขา ลงอาบน้ำในคลอง ถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกินต่อหน้าต่อตา ต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ รุ่งเช้าพบศพนายอุดมลอยขึ้นมา ปรากฏว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้อง
๒ – ๓ วันต่อมา นายอิน ชาวเขมรบ้านเดิมอยู่ จ.ตราด มาตั้งรกรากที่คลองบางมุด ได้นำเรือเล็กไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ขณะยืนตัดกิ่งจากอยู่ในเรือ จระเข้ยักษ์ได้พุ่งตัวขึ้นมาบนเรือคาบขานายอินตกลงไป ในน้ำ นายอินดิ้นและเกาะแคมเรือร้องให้ภรรยาซึ่งอยู่บนฝั่ง ช่วย เธอพยายามกระพุ่มน้ำและส่งเสียงไล่ แต่ไม่เป็นผล จระเข้ยักษ์ได้คาบนายอินจมหายลงไปใต้ท้องน้ำต่อหน้าต ่อตา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมา ก็พบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียวกับนายอุดม
ข่าวจระเข้ยักษ์อาละวาดกินคนไปแล้ว ๒ ศพแพร่กระจายไปทั่วชุมพร ส.ต.อ.บุญโชติ และครูสมพงษ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายอินผู้ตาย ถึงกับลาราชการเพื่อออกล่าจระเข้ล้างแค้นแทนเพื่อนโด ยร่วมกับนายแดง เจ้าของโรงสี โดยใช้เรือ ๒ ลำ ปืนและดินระเบิด
กลางเดือนตุลาคณะล่าจระเข้ยังออกควานหาตัวแต่ไม่มีวี ่แวว
กระทั่งบ่ายจึงใช้ระเบิดกระป๋องนมจุดโยนลงไปในน้ำถึง ๑๔ กระป๋อง ระเบิดติดต่อกันจนถึงกระป๋องสุดท้าย จระเข้ยักษ์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันพุ่งเข้าใส่เรื อลำหนึ่ง พร้อมกับอ้าปากกว้างงับแคมเรือจนขาดทะลุ นายแดงเจ้าของโรงสีซึ่งทำหน้าที่คัดท้ายเรือเสียหลัก ตกน้ำ จระเข้ยักษ์ว่ายรี่เข้าไปจะคาบนายแดง ตำรวจชุดติดตามล่าจึงพากันระดมยิงใส่ลำตัวจระเข้ยักษ ์ด้วยปืนเล็กยาวแบบ .๘๓ และปืนพก จระเข้ยักษ์จึงผละจากนายแดงจมหายไปทันที นายแดงจึงรอดหวุดหวิด
หลังจากถูกคณะไล่ล่าใช้ระเปิดกระป๋องนมและระดมยิงจนจ ระเข้ยักษ์อาละวาดฟาดหัวฟาดหาง ทำให้ชาวบ้านเห็นชัดว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่รอบลำคอ
จึงเป็นที่มาของชื่อ “ไอ้ด่าง” จากนั้นจระเข้ยักษ์เงียบหายไประยะหนึ่งกระทั่งวันที่ ๒๕ ตุลาคม สายตรวจ สภอ.หลังสวน ๒ นายออกตรวจพื้นที่โดยใช้เรือหางยาวแล่นไปตามคลองบางม ุด ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นและฝนตกพรำ ฉับพลันน้ำในคลองก็ปั่นป่วนและเกิดกระแสคลื่นลูกใหญ่ ด้วยความสงสัยจึงเหลียวดูรอบกาย และต้องตัวเย็นวาบเมื่อพบกับตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาอย ่างอาฆาตมาดร้าย
เห็นเข้าก็รู้ว่ามันคือจระเข้ และมันกำลังว่ายตามเรืออยู่ ด้วยความตกใจทั้งสองจึงรีบเร่งเครื่องหนีทันทีโดยไม่ สนใจว่าจระเข้ยักษ์จะจมหายไปตอนไหน
จากการที่จระเข้ยักษ์อาละวาดไล่กัดกินคนจนประชาชนชาว คลองบางมุดนับพันครอบครัวต่างพากันเดือดร้อน จึงมีคำสั่งให้ตำรวจพลร่มหน่วย ” เสือดำ ” ๒ นายแห่งค่ายนเรศวร หัวหินเข้าร่วมกับราษฎรคลองบางมุดทำการออกล่าจระเข้ย ักษ์ โดยสมทบกับคณะล่าของ ส.ต.อ.บุญโชติ โดยตีวงตั้งแต่ปากอ่าวตะโกจุดหนึ่ง กับจากคลองบางมุดเข้าหากัน
ปลายเดือนตุลาคม นักล่าทั้ง ๒ คณะได้นำเรือชุดละลำหายออกจากปลายคลองบางมุดตั้งแต่เ ช้า เพื่อค้นหาจระเข้ยักษ์ โดยเรือของ “เสือดำ” พายล่วงหน้าไปก่อน ๑ คุ้งน้ำ จากนั้นนักล่าชุด ส.ต.อ.บุญโชติจึงออกติดตามไป การค้นหายังดำเนินต่อไปกระทั่งบ่ายก็ยังไม่พบ
จนเวลาเย็น ขณะที่เรือของตำรวจเสือดำ ผ่านถึงหมู่บ้านบางหมี กับบ้านทับซัน จนลับคุ้งน้ำไปแล้ว ไอ้ด่างก็ลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำ กลางคลองบางมุดจนเห็นชัดถนัดตา พอดีกับเรือ ส.ต.อ.บุญโชติและครูสมพงษ์ตามมา โดยมีนายหยึดเป็นคนแจวท้าย พอเห็นไอ้ด่างเท่านั้นครูสมพงษ์เร่งให้นายหยึดรีบแจว เรือเข้าไปเพื่อได้ระยะยิงหวังผล แต่นายหยึดกลัวจนตัวสั่นค้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งไ อ้ด่างจมลงไป พลาดโอกาสทองอย่างน่าเสียดาย
รุ่งขึ้นนายสุคนธ์ บ้านอยู่ปากอ่าวตะโก พายเรือขนานคู่กับเพื่อนบ้านซึ่งพายมาคนละลำ ทั้งสองคุยกันและหัวเราะเสียงดังเพื่อความเพลิดเพลิน ทันใดนั้น ไอ้ด่างก็โผล่ขึ้นมาในช่องกลางระหว่างเรือทั้งสองลำ โดยให้เห็นแค่ส่วนหัวและกลางหลัง คนขับเรือทั้งสองจึงรีบพายจ้ำหนีขึ้นฝั่งอย่างไม่คิด ชีวิต
ข่าวไอ้ด่างลอยตัวครั้งที่สองเช้าวันนั้น ครูสมพงษ์รู้เรื่องเข้าจึงขอแรงชาวบ้านนั่งห้างดักยิ งไอ้ด่าง โดยครูสมพงษ์กุมปืนไรเฟิล .๓๗๕ นั่งห้างอยู่ที่ต้นโกงกาง แล้วให้คนนำสุนัขไปผูกแพล่อ แต่ก็ไม่มีวี่แววไอ้ด่าง
พร้อมๆกับนักล่าทั้ง ๒ ชุดที่นำเรือออกล่าถึง ๔๘ ชั่วโมง ปรากฏมีนักล่าชุดที่ ๓ เป็นแขกชื่อนายหะหมัด อายุ ๖๕ ปี ผมขาวโพลนทั้งศรีษะ มาจาก ต. เขาสง ท่าชนะ โดยใช้วิธีบุกเดี่ยวลงเรือเล็กออกล่าด้วยตนเองโดยใช้ หอกเล่มเดียวซึ่งอ้างว่าเคยฆ่าจระเข้มาแล้ว ๑๕ ตัวด้วยหอกเล่มนี้ ขณะนี้นายหะหมัดยังคงลงเรือเล็กออกควานหาไอ้ด่างในคล องบางมุดทุกวัน
เนื่องมาจากการติดตามค้นหาล่าจระเข้ยักษ์ของตำรวจพลร ่มหน่วย “เสือดำ” คณะส.ต.อ.บุญโชติ อภิสนธิสมบัติ กับบังหะหมัด ซึ่งนักล่า ๓ คณะออกติดตามค้นหา ”ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ตั้งแต่วันที่ ๒๙ - ๓๑ตุลาคม กับวันที่ ๑ กันยายน ต้องประสบความล้มเหลว
จากความล้มเหลวในการล่าไอ้ด่างหลายสิบครั้งจนครั้ง
ล่าสุดความมุ่งมั่นในการล่าของ ๓ คณะติดตาม จระเข้ยักษ์ ได้เรียกขวัญชาวบ้านที่หวาดกลัวกลับคืนมาและร่วมมือก ันวางแผนประกาศขีดเส้นตายไอ้ด่าง ในการนี้กำนันตำบลปากตะโก กำนันตำบลบางน้ำขวาง และผู้ใหญ่บ้านคลองบางมุด ได้ร่วมมือประสานงานกับชาวบ้าน ๒๐๐ คน และระดมเรือที่จะใช้เป็นพาหนะปราบจระเข้ประมาณ ๑๐๐ ลำเศษ โดยได้ทำพิธีบวงสรวงกรมหลวงชุมพรขอไอ้ด่าง โดยมีจุดนัดพบคือหน้าโรงถ่านของนายจรัญ ปรกติ คหบดีใหญ่แห่งปากอ่าวตะโก อ.สวี
โดยมีแผนการล่าคือให้ผูกเรือเล็กเป็นแพ แพละ ๕ – ๖ ลำแยกย้ายไปเริ่มต้นจากในบาง ( คลองซอย ) ที่เป็นต้นน้ำ แล้วใช้ไม้กระทุ้งลงไปถึงพื้นน้ำ ไล่ไปทุกระยะจนถึงคลองใหญ่ ในคลองใหญ่จะมีกองเรืออีกขบวนหนึ่งใช้ไม้กระทุ้งไล่ม าจาก ๓ คลองคือ คลองบางมุด คลองน้ำขาว และคลองบางด้าน
จากนั้นยังมีกองเรือขบวนหลังไล่ตามใช้ไม้กระทุ้งจระเ ข้ที่กบดานอยู่ ให้หนีมุ่งออกไปยังปากคลองตะโก ที่บริเวณปากคลองกว้าง ๒๐ วานั้น ได้ขึงอวนขนาดใหญ่ปิดกั้นขวางทั้งคลอง และก่อนจะถึงกำแพงอวน มีการวางเบ็ดราวขึงจากหน้าดินสลับเป็นชั้นขึ้นมาถึงผ ิวน้ำ จระเข้ทุกตัวจะหนีการขับไล่ มารวมกันที่นี่และไม่มีทางรอดไปได้ ส่วนระยะทางจากปลายคลองถึงปากคลองตะโกที่เป็นเขตกวาด ล้างมีความยาวประมาณ ๙ กิโลเมตร
เรือทุกลำได้แยกย้ายออกกระทุ้งตั้งแต่ก้นคลองออกมาตา มแผนการที่วางไว้ เรือที่ผูกเป็นแพได้ใช้ไม้กระทุ้งลงไปถึงก้นคลอง จนพลบค่ำไม่ปรากฏว่าพบจระเข้แม้แต่ตัวเดียว ทั้งๆที่คลองตะโกกับคลองบางมุดเป็นแหล่งที่มีจระเข้ช ุกชุมมากที่สุด ทำให้แผนการกวาดล้างต้องล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ส่วนสาเหตุของการล้มเหลวน่าจะเกิดจากการออกกวาดล้างอ ย่างหนักก่อนหน้านี้จากคณะล่าหลายกลุ่ม ประกอบกับช่วงนี้ระดับน้ำขึ้นสูง และน้ำเหนือไหลบ่าทำให้น้ำเชี่ยวกราก จระเข้น้อยใหญ่ถูกกวนจึงย้ายถิ่นหนีไปอยู่ที่อื่น
จากเหตุดังกล่าวทำให้พักการออกล่าจระเข้ยักษ์ไว้ชั่ว คราว จนกว่าน้ำจะลดสู่ระดับปกติ เพราะเชื่อว่าเมื่อระดับน้ำลดจระเข้จะหวนสู่ถิ่นเดิม แต่พรานใหญ่จาก อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี นำโดยนายประยูร คณาณุรักษ์ พร้อมกับคณะถ่ายภาพยนตร์ของไทย ที.วี ได้เดินทางไปบันทึกภาพ รวมทั้งบังหะหมัดผู้บุกเดี่ยวด้วย
สภาพคลองบางมุดในสมัยนั้น สองข้างทางมีป่าโกงกางสลับด้วยป่าจากเป็นระยะ ตอนบนของคลองแคบ แต่น้ำลึกไม่ต่ำกว่า ๓ วา ( ๖ เมตร ) บางแห่งเช่นทางโค้ง จะมีวังน้ำลึกซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นแห่งๆ นายยวย ภู่ไทย พรานใหญ่ผู้ลุกคลีกับจระเข้ที่หลังสวนตั้งแต่อายุ ๑๓ ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลและสงวนพันธุ์จระเข้ที่บึงบ อระเพ็ด จ.นครสวรรค์
เผยว่าสาเหตุที่การล่าในวันดี – เดย์ล้มเหลวเพราะผู้ล่าไม่เข้าใจลักษณะนิสัยจระเข้ซึ ่งจะขึ้นผึ่งแดดบนฝั่งในเวลากลางวัน แต่คณะล่าควานหาตัวเฉพาะในน้ำ มิได้ครอบคลุมถึงบนฝั่งในป่าจาก
ขณะเดียวกัน นายมง สุวรรณสินธ์ หรือชาวบ้านเรียกลุงมง ผู้เฒ่าวัย ๖๐ เศษ ซึ่งมีที่พักริมคลองจากกึ่งกลางจุดเกิดเหตุครั้งแรกแ ละครั้งที่สอง เผยว่าจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อในการพิชิตจระเข้ยักษ ์ตัวนี้ หลังจากการตามล่าล้มเหลวมาตลอด ลุงมงได้กล่าวอีกว่าสมัยก่อนบริเวณแถบคลองบางมุดอุดม ไปด้วยจระเข้ แทบทุกปีต้องมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อ ต่อมามีพวกญวนจากสุราษฎร์ มาจับเอาไปแล่ขาย ทำให้จำนวนลดลง
ท่ามกลางมรสุม และพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทยที่โหมทั้งฝนและลม ทำให้น้ำท่วมในเขตชุมพรและภาคใต้ขณะนี้ ข่าวร้ายได้เกิดขึ้นในคลองบางมุด อำเภอสวน ดินแดนจระเข้ยักษ์อีกครั้ง “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ได้อาละวาดลอยขึ้นมากันกินคนอีกในคลองเขา ปีบ เขตติดต่อระหว่างอำเภอหลังสวนกับอำเภอสวี
เมื่อตอนเช้าวันที่ ๑๘ พฤศจิกายนเวลา ๘ น.เศษ จระเข้ยักษ์ได้ลอยตัวขึ้นมาในคลองเขาปีบแล้วคาบนายช้ วน พิมาน ชาวบ้านในคลองเขาปีบดำหายไปในคลองเขาปีบ โดยชาวบ้านเพื้อเห็นเหตุการณ์ยืนยันว่าเป็นไอ้ด่างแน ่นอน
การอาละวาดครั้งใหม่ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ที่ย้ายแหล่งใหม่จากคลองบางมุดครั้งนี้ คาดว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ได้หหลบหลีกการกวาดล้างครั้ง ใหญ่ของวันดี-เดย์ ตลอดวันที่ ๖ เดือนนี้รอดไปได้ แล้วเข้าไปอยู่ในคลองเขาปีบซึ่งเป็นคลองแยกไปจากคลอง บางมุด และคลองตะโก โดยการกวาดล้างวันนั้นไปไม่ถึงคลองเขาปีบ ทำให้ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ได้แหล่งใหม่ในคลองเขาปีบอันสงบเงียบเป็น ที่ซุ่มซ่อนกบดานอยู่ตั้งแต่วันที่ ๖ เป็นต้นมา
จากการเปิดเผยของชาวบ้านปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน มีจระเข้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งลอยตัวขึ้นกลางคลองและบางที ก็ขึ้นฝั่งบนตลิ่ง ท้ำให้คลองเขาปีบที่เคยสงเงียบเพราะเป็นคลองไม่สู้กว ้างใหญ่นักต้องเป็นเขตอันตราย ยิ่งกว่านั้นจระเข้ใหญ่ตัวนี้ยังอาละวาดไล่หนุนกัดเร ือพายที่ผ่านเข้าไปในคลองเขาปีบ และไล่งับพายจนชาวบ้านไม่กล้านำเรือผ่านคลองเขาปีบอี กเลย
ต่อมาวันที่ ๑๗ กระบือของชาวบ้านลงไปแช่ในคลองถูกจระเข้ยักษ์ตัวเดีย วกันนี้ ใช้หางฟาดถูกตัวและกัดที่ขาหลังข้างซ้าย โดยจระเข้ยักษ์พยายามจะลากกระบือตัวนั้นลงไปในน้ำเสี ยงร้องของกระบือประกอบกับการปักหลักดื้อของมันทำให้เ จ้าของและชาวบ้านมาช่วยใช้ปืนระดมยิงลงไปในน้ำสกัดไว ้ จนจระเข้ยักษ์ต้องปล่อยเหยื่อตัวมหึมาไว้พร้อมกับดำน ้ำหนีไปซ่อนในบริเวณวังน้ำ
ในตอนเช้าวันนั้น เวลาประมาณ ๔ น.เศษ นายช้วน พิมาน บ้านอยู่ริมคลองเขาปีบ ต.ทุ่งตะไคร้ บ้านหัวท่า ได้ออกจากบ้านไปตัดกล้วยมาเลี้ยงหมู และเพื่อไปซื้อเนื้อควายที่ถูกไอ้ด่างกัดเมื่อวันที่ ๑๗ มาทำอาหารด้วย
ในขากลับนั้น นายช้วนแบกต้นกล้วยเดินข้ามคลองเขาปีบตรงบริเวณนั้นก ว้างเพียง 2 วาเท่านั้น อีกมือหนึ่งของนายช้วนหิ้วเนื้อควายมาด้วยขณะที่นายช ้วนซึ่งแบกต้นกล้วยเดินท่องน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพาน ลึกถึงเข่า เดินมาถึงกลางคลองพอดี
จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่ในร่องน้ำบ่าจากริมคลองก็ พุ่งตัวราวกับลูกธนูเข้าใช้ปากอันกว้างใหญ่ กัดเข้าตรงเข่านายช้วนแล้วลากลงใต้น้ำทันที
นายช้วนได้ร้องขอความช่วยเหลือดังทั่วบริเวณ 2 ฝากคลองทำให้ชาวบ้านและญาติพี่น้องออกมาช่วยเหลือ
แต่ไอ้ด่างนำนายช้วนเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปขัดไว้ใต้ รากไม้ริมตลิ่งเสียแล้วสักครู่หนึ่งไอ้ด่างจึงลอยตัว ขึ้นมาอีก ทำให้ชาวบ้านออกติดตามจับความเคลื่อนไหวของมันได้ ทุกระยะจนกระทั่ง “ไอ้ด่าง” ดำน้ำลงไปกบดานอยู่ในแอ่งน้ำลึกถึง ๒ ช่วงตัวคนซึ่งเป็น “วัง” ของมัน
ญาติของนายช้วนได้เดินทางเข้าตัวจังหวัดชุมพร โดยนำข่าวไปบอกกับ ส.อ.ห้วง พิมานกับ ส.อ.จำนง พิมาน ญาติของนายช้วนซึ่งเป็นทหารประจำค่ายทหารบกชุมพร
พอได้รับข่าวร้ายเท่านั้น ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ.จำนง พิมาน ได้รายงานผู้บังคับบัญชาขอลาและขออนุมัติติดตามล่าจร ะเข้ยักษ์โดยใช้อาวุธ ซึ่งผู้บังคับบัญชามีคำสั่งอนุญาต
ในการออกเดินทางครั้งนี้นอกจาก ส.อ.ห้วง พิมาน กับ ส.อ. จำนง พิมานแล้ว ได้มีผู้ร่วมเดินทางไปปราบจระเข้ยักษ์อีก ๔ คน คืน ร.ท.ลิขิต จันทโรทัย ร.ท.มาโนช เขียนยาคำ ส.อ.ละออ นาคจิตติ และส.อ.ช่วน แปลงรอด โดยไปถึงเมื่อเวลา ๑๒ น.เศษ
ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่า ชาวบ้านประมาณ ๑๐๐ กว่าคน พร้อมด้วยอาวุธปืน และฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์กับศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้ง 2 ฝั่งคลองเขาปีบอย่างชุลมุน ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วนอยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่ง ถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้ และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า ๒๐ คนดึงอยู่พักใหญ่จึงลากศพนายช้วนมาได้
ปรากฏว่าศพนายช้วนไม่มีส่วนใดเหลือเป็นชิ้นดีให้เห็น เลยเพราะถูกจระเข้กัดกินด้วยความหิวกระหายกับถูกรากไ ม้ครูดจนจำแทบไม่ได้ ทุกคนได้แต่สังเวชและอนาถใจไปตาม ๆ กัน
จากแหล่งที่พบศพของนายช้วนนั้นเอง คณะนักล่ากับชาวบ้านจึงรู้ว่า เป็นบริเวณแอ่งน้ำลึกหรือวังจระเข้เก่าที่ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ใช้เป็นที่หลบซ่อนและกบดานอยู่ในวัง
พอรู้แหล่งซ่อนของจระเข้ยักษ์ คณะนักล่าแห่งค่ายทหารบกชุมพรได้ให้ชาวบ้านทุกคนหลบซ ุ้มอยู่บนตลิ่งแล้วใช้ระเบิดซี .3 หย่อนลงไปในบริเวณวังจระเข้ยักษ์เป็นนัดแรก
เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับน้ำพุ่งเป็น ลำขึ้นสูงเทียมยอดตาลกลางลำน้ำ พอสิ้นเสียงระเบิดและสงบลงแล้วไม่ปรากฎว่ามีสิ่งหนึ่ งสิ่งได้ลอยขึ้นมาเลย
จากนั้นอีก ๑๐ นาที ส.อ.ห้วงได้ตัดสินใจทิ้งระเบิดซี.๓ นั้นที่ ๒ ตามลงไปในวังน้ำลึกนั้นอีกเสียงระเบิดครั้งที่ ๒ นี้เองทำให้ทุกคนเห็นพรายน้ำผุดขึ้นแล้ววิ่งพุ่งเป็น ทางจากจุดระเบิดเหนือวังไปตามลำคลองด้านเหนืออย่างรว ดเร็ว “นั่นไอ้ด่าง หนีไปแล้ว”
เสียงคนร้องบอก ทำให้คนนับร้อยและคณะล่าจระเข้วิ่งไล่ตามทั้งสองฝั่ง คลองไปอย่างกระชั้นชิด จนกระทั่งทุกคนเหนื่อยหอบ และได้พบว่าพรายน้ำผุดเป็นทางนั้นไปหยุดที่ริมตลิ่งท ี่มีน้ำลึกแค่เอว แต่ก่อนที่ใครจะทำอะไรต่อไป ส.อ.ห้วงได้สั่งให้ทุกคนหนีขึ้นตลิ่งก่อนแล้ว ส.อ.ห้วงได้ปีนขึ้นต้นตาตุ่มริมคลอง พร้อมเหวี่ยงระเบิดซี .๓ นัดที่ ๓ ลงไปในน้ำตรงบริเวณที่พรายน้ำวิ่งมาหยุดตรงนั้น
การระเบิดครั้งที่ ๓ นี้ได้ผล เพราะแรงระเบิดตกถูกเป้าหมาย เป็นผลให้ส่วนหางของจระเข้โผล่ขึ้นก่อนลอยกระเพื่อมต ามกระแสน้ำ บอกให้รู้ถึงการสิ้นอิทธิฤทธิ์ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์แล้ว
ทันใดนั้น ส.อ. จำนงได้ใช้ฉมวกพุ่งลงไปกลางส่วนหลังของไอ้ด่าง ซึ่งทำให้มันดิ้นพลิกขึ้นมาให้เห็นทั้งตัวแต่มันไม่ส ามารถจะอาละวาดต่อไปได้อีกแล้ว เพราะกระดูกสันหลังของมันหักด้วยอำนาจของแรงระเบิดซี .๓ ชาวบ้านจึงช่วยกับเอาเชือกมัดพันธนาการตัว “ไอ้ด่าง” และลากจระเข้จอมเพชฌฆาตแห่งลำน้ำขึ้นมาบนตลิ่ง ซึ่งไอ้ด่างอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่
จากนั้นคณะล่าจระเข้ได้ใช้เชือกลากจระเข้ยักษ์จากคลอ งเขาปีบมุ่งไปยังตลาดอำเภอสวี แต่ระหว่างที่ลากมาในคลองนั้น “ไอ้ด่าง” ก็พลิกท้องบอกถึงการจบชีวิตปิดฉากอันโหดเหี้ยมของมัน เสียก่อน
มีผู้เชื่อว่าจระเข้ที่เคยปรากฏเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วเป็นตัวเดียวกับไอ้ด่าง เกี่ยวกับประวัติความดุร้ายของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์กินคนละแวกคลองบางมุดและคลองเขาปีบมี นายอุดม , นายอิน , นายเต็ก, นางรัด ,ด.ช.เลือน ทองมาก และนายช้วน พิมานเป็นศพที่ 6
โดยจระเข้ยักษ์ที่อาละวาดตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ - ๒๕๐๐ ที่คลองเขาปีบโดยถูกกัดจนได้รับบาดเจ็บ ๕ คนคือสิบเอกห้วง พิมาน นายเฉียน พิมาน และนายสาย พวงมาลัย นายจวง และนายนิกูล เสียชีวิต ๑ รายคือนายจ๊ง
สำหรับลักษณะของจระเข้ยักษ์ที่เรียกกันว่า “ไอ้ด่าง” นั้นเพราะเป็นจระเข้พันธุ์ “ไอ้เคี่ยม” ซึ่งเป็นจระเข้ตีนเป็ด หรือพันธุ์ทองหลาง ตัวดำเมื่อมสนิทมีสีขาวที่คอและตามตัวเวลามันโผล่ลอย ตัวขึ้นมาเหนือน้ำนั้นจะมองเห็นสีขาวพาดที่บริเวณคอ
ซากไอ้ด่างถูกนายไห้ แซ่เซ็งซื้อตัวไปในราคา ๒๓,๐๐๐ บาท ทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดได้ตัวไอ้ด่าง
จากการวัดจากซากของไอ้ด่าง มีความยาวจากหัวถึงหาง ๔.๒๕ เมตร รอบตัว ๑.๗๕ เมตร เล็กกว่าถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ๗ นิ้ว จากหัวถึงคอ ๒๕ นิ้ว อ้าปากกว้าง ๒๐ นิ้ว
การชำแหละไอ้ด่างเพื่อทำสต๊าฟฟ์ไว้ เมื่อผ่าลงไปในท้องก็พบกระดูกในท้องไอ้ด่างมากมาย และยืนยันได้ว่ากินคนแน่
ปรากฎว่าหลังจากการผ่าชำแหละซากแล้ว ได้พบแผลเห็นได้อย่างชัดเจนในซาก ‘ไอ้ด่าง’ จระเข้ยักษ์ดังนี้
ขาหน้าด้านขวาถูกกระสุนปืนลูกโดดฝั่งในด้านซ้ายของลำ ตัว เนื้อเละไปทั้งแถบ คอด้านขวาเป็นรูเน่า ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ ‘ไอ้ด่าง’ จระเข้ยักษ์พบจุดจบ ส่วนสันหลังบริเวณกว้างยาว ๑ ศอก ยุ่ยเป็นรอยไหม้ซี่โครงหักหลายซี่ เพราะถูกแรงระเบิดซ้ำซากหลายครั้งอย่างไม่ปราณี
โดยเฉพาะเมื่อผ่าแหวะส่วนกระเพาะของจระเข้ยักษ์แล้ว ทำให้นายบุญถึง และเจ้าหน้าที่ ๑๐ กว่าคนต้องตะลึงเมื่อพบว่า นอกจากเศษอิฐ เศษหินแล้ว ยังพบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง ๒ หัวยังอยู่ในสภาพมีเศษผมติดกับหนังศรีษะอยู่ นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนของมนุษย์ในกระเพาะจระเข้ตัวน ี้อีกมีกระดูกส่วนขากับสะบ้าจากเข่าคน กับมีตะขอเหล็กขนาดใหญ่อีก 1 ตัว ด้วย
จากการพบส่วนกระโหลกศรีษะของมนุษย์ถึง 2 หัวในท้องจระเข้ยักษ์ตัวนี้ ซึ่งเป็นการพิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าจระเข้ตัวนี้เป็น “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์แห่งคลองบางมุดแน่
สำหรับส่วนกระโหลก 2 ชิ้นนี้ แสดงว่า ‘ไอ้ด่าง’ จระเข้ยักษ์ได้กินคนมาแล้ว 2 คน นอกจากการกัดกินคนอื่น ๆ ซึ่งไอ้ด่างเลือกกินเฉพาะส่วนท้องเท่านั้น จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ต้องกินคนมาก่อนหน้านี้
Share:

นอสตราดามุส


ชื่อของ 'นอสตราดามุส' โหรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอายุเมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านี้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ เหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่นการไฮแจ็คเครื่องบินพาณิชย์ที่บรรทุกผู้โดยสารร้อยกว่าชีวิตก่อนจะพุ่งเข้าชน อาคารธุรกิจชื่อดังของโลกอย่าง เวิล์ด เทรดเซนเตอร์ ในกรุงนิวยอร์ก

เหตุการณ์หลังจากการชนนั้น ถูกนำไปผูกกับคำทำนายของเขาอย่างช่วยไม่ได้
นอสตราดามุสเขียนเอาไว้ที่ เซ็นจูรี่เล่ม 6 โคลงบทที่ 97 ว่า

“ ท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญ ณ องศาที่ 45 เพลิงจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหม่ในบัดดล ดวงไฟใหญ่จะแตกกระจายทะลวงพุ่งขึ้นมา”

“ มาบัส (MABUS ) จะตายในไม่ช้า จะมีการฆ่าหมู่คนและสัตว์อย่างสยดสยอง ทันใดนั้นการแก้แค้นจะปรากฎขึ้นจากร้อยแผ่นดิน ความกระหาย อดอยาก จะเกิดชึ้นเมื่อดาวหางโคจรผ่านมา.....”

“ ศาสนาที่มีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย การต่อต้านนิกายของอะดาลูนกาทิฟผู้บุตรพวกหัวดื้อ พวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง อาลิฟ กับ อาลิฟ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง....”

นั่นคือโคลงที่ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตีความไปในทางเดียวกัน เพราะนอสตราดามุสเขียนแบบไม่ค่อยจะติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก ที่สำคัญเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของเวลาอย่างแน่ชัด แต่กระนั้นหลายคนตีความว่ายามที่นอสตราดามุสมองเห็นเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ตึกเวิล์ดเทรดไม่แตกต่างไปจากหอกแหลมจากฟากฟ้าจะบินมาพร้อมกับลูกไฟ

เพราะหัวของเครื่องบินที่มีปีกนั้น ดูเผินๆก็ไม่แตกต่างกับหอกขนาดยักษ์เท่าใดนัก
เช่นเดียวกับการชนก็เกิดการระเบิดทันทีจนเป็นลูกไฟไปทั่วฟ้า

ที่สำคัญเขาพูดถึงเมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามว่าเป็น ดินแดนที่ 45 ตรงกับเส้นรุ้งที่ 45 อันเป็นที่ตั้งของมหานครนิวยอร์กเหมือนกัน

แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่นอสตราดามุสกล่าวต่อว่า จะเกิดสงคราม ผู้คนจะล้มตายเมื่อมาบัสถูกฆ่าในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะมีการตีความต่อว่า Mabus นั้น มาจากการย้อนชื่อต้นของ USaMA Binladen(อุสมา บิน ลาเดน) ซึ่งเป็นคนที่สหรัฐมองว่าเป็นตัวการในการก่อวินาศกรรมครั้งนี้

ยิ่งถ้ามองตามคำทำนายต่อ หลายคนเชื่อว่า การตายของบินลาเดน จะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสันติภาพและจะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าทุกครั้ง โดยการแก้แค้นของพวกร้อยแผ่นดิน (United State) ซึ่งก็คือ สหรัฐนั่นเอง

ส่วนอาวุธลับที่สหรัฐจะใช้จัดการกับขบวนการก่อการร้ายจนกระทั่งเกิดการตายอย่างมากมายนั้น นอสตราดามุสใช้คำว่า ดาวหางมาเยือน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ดาวหางที่นอสตราดามุสเห็นจะเป็นระบบป้องกันภัยจากอวกาศที่สหรัฐภาคภูมิใจนักหนา เช่นเดียวกับเรื่องของความอดอยาก เพราะเมื่อสหรัฐทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมาตรการแซงชั่น ป้องกันไม่ให้นำอาหารเข้าสู่ประเทศนั้นๆจะต้องเกิดขึ้นอย่างแนนอน

ก่อนหน้านี้มีคนพยายามตีความว่า นอสตราดามุส มั่ว ฝันเฟื่อง คำทำนายของเขาดูจะไม่เป็นจริง ส่วนใหญ่ที่คนเชื่อก็เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว แลไปทึกทักตามที่นอสตราดามุสเขียนเอาไว้เอง

เชื่อว่า หลายคนก็ยังหวังว่า คำทำนายของโหรบรรลือโลกคนนี้จะผิดอีกครั้งหนึ่ง
เพราะ คงไม่มีใครอยากจะเจอกับสงครามโลกที่กินเวลายาวนานกว่า 50 ปีอย่างแน่นอน

เนื่องจากเขากล่าวเอาไว้ในอีกโคลงว่ายุคของสันติจะกลับมาอีกครั้งในปี 2055
Share:

ศิลาที่เมืองควิริกัว จารึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 3114 ปีก่อนคริสตกาลเอาไว้

ขึ้นชื่อว่าอารยธรรมโบราณ ย่อมต้องมี "ปริศนา" ควบคู่มาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในปริศนาจากอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่งจากดินแดนโลกใหม่ (New World) ที่ดูจะเป็นที่สนใจของนักวิชาการและคนทั่วไปเป็นอย่างมาก นั่นคือปริศนาคำทำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลกในปี ค.ศ.2012 ของอารยธรรมมายา อารยธรรมท่ามกลางป่าฝนของทวีปอเมริกากลาง ซึ่งเราจะมาเปิดเผยกันในครั้งนี้นั่นเองครับ


หลายๆท่านอาจจะเคย ได้ยินมาว่า ในปี ค.ศ. 2012 มนุษยชาติอาจจะสูญสลายไปจากโลก โลกจะเข้าสู่กลียุค ในที่สุดก็จะถูกทำลายล้างจากเพลิง อุทกภัยครั้งใหญ่ และภัยพิบัติซึ่งจะมาเยือนในรูปแบบที่น่ากลัวเกินกว่าจะคาดเดาได้ แล้วทำไมต้องเป็น ค.ศ.2012? ตรงนี้คงต้องอธิบายแนวคิดพื้นฐานของปฏิทินมายาโบราณคร่าวๆให้เข้าใจ

ปฏิทินของชาวมายา ไม่ได้ทำจากกระดาษ และแขวนบนผนังเพื่อหาดูวันหยุดนักขัตฤกษ์แบบเราๆท่านๆหรอกครับ แต่ปฏิทินของชาวมายาบันทึกไว้บนแผ่นหินครับ ดังนั้น ใครที่กำลังคิดว่าสาเหตุที่ปฏิทินของชาวมายาหมดลงในปี ค.ศ. 2012 เป็นเพราะกระดาษหมด เลยไม่อยากเขียนต่อ ก็เปลี่ยนความคิดได้เลยครับ

ปฏิทิน ของชาวมายาที่เราจะพูดถึงกันในครั้งนี้ เรียกว่าปฏิทินแบบนับยาว (Long Count Calendar) ซึ่ง 1 ปีของปฏิทินชนิดนี้จะมี 360 วัน แบ่งออกเป็น 18 เดือน และเดือนละ 20 วัน ทุกๆ 20 ปี จะมีคำเฉพาะที่เรียกว่า k’atun และทุกๆ 20 k’atun (400 ปี) ก็จะเรียกว่า bak’tun ตอนนี้หลักๆที่ควรทำความรู้จักคือคำว่า bak’tun ครับ เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับคำทำนายปี ค.ศ.2012 ด้วย

ด้วยความที่ชาวมายา โบราณมีความเชื่อว่าวันและเวลาของพวกเขาเป็นวงรอบที่จะครบวงรอบเล็กทุกๆ 52 ปี และพวกเขาก็จะปรับปรุงบ้านเรือน และต่อเติมวิหาร รวมทั้งพีระมิดทุกๆการครบรอบ 52 ปีเช่นกัน สำหรับปฏิทินแบบนับยาวนี้ ชาวมายาโบราณมีความเชื่อว่า 1 วงรอบใหญ่ (Great Cycle) ประกอบไปด้วย 13 bak’ tun นั่นก็คือจะกินเวลาประมาณ 5,200 ปีนั่นเอง (นั่นคือ 13 เท่าของ 400 ปี เท่ากับ 5,200 ปี)

เมื่อ การถอดความภาษามายาโบราณมีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้นักวิชาการสามารถเทียบวันที่ในปฏิทินมายาโบราณเข้ากับปฏิทินของพวกเรา ได้ นักวิชาการทราบว่า bak’tun ที่ 13 หรือวงรอบใหญ่ที่ผ่านมาครั้งล่าสุดนั้น เกิดขึ้นในวันที่ 8 กันยายน 3114 ปีก่อนคริสตกาล และจะดำเนินไปสู่ bak’tun ที่ 13 หรือวงรอบใหญ่อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 23 ธันวาคม ปี ค.ศ.2012 ที่จะถึงนี้ ทำให้ หลายๆท่านอาจจะเชื่อว่าปฏิทินมายา "หมดลง" ในปี ค.ศ.2012 นั่นหมายถึงชาวมายาโบราณทำนายว่าโลกจะถึงจุดจบในปี ค.ศ.2012 นี้ด้วย

สิ่ง ที่จะให้คำตอบเกี่ยวกับวันสิ้นโลกกับพวกเราได้ก็คือหลักฐานทางโบราณคดี ที่ขุดพบจากดินแดนของชนเผามายานั่นเองครับ หลักฐานชิ้นแรกที่จะนำมาเสนอคือตำนานจากคัมภีร์โพโพล วูห์ (Popol Vuh) ของชาวมายาโบราณที่เล่าถึงตำนานการสร้างโลก การสร้างมนุษย์และการ "ทำลายล้าง" มนุษย์ครับ

ตำนานนี้เริ่มต้นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างโลก เอาไว้ว่า ณ จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ที่ซึ่งยังไม่มีสัตว์และต้นไม้ใดๆทั้งสิ้น มีเพียงแค่ผืนฟ้า ท้องทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา และเทพเจ้านามหทัยสวรรค์ (Heart of Sky) เท่านั้น ปัญหาคือ พระองค์ต้องการสร้างผู้ที่สามารถเอ่ยนามของพระองค์และยกย่องเกียรติพระองค์ ได้ นั่นทำให้พระองค์เริ่มกระบวนการ "สร้างโลก" และ "สร้างมนุษย์" ขึ้นมา

ตามตำนานกล่าวว่า เพียงพระองค์เอื้อนเอ่ยวาจา สรรพสิ่งตามคำเอ่ยของพระองค์ก็ปรากฏ พระองค์ทรงสร้างผืนดิน ภูเขา และสรรพสัตว์ต่างๆและพระ องค์ได้มอบแหล่งที่อยู่ให้แก่สรรพสัตว์เหล่านั้นแต่ด้วยความที่จุดประสงค์ ที่แท้จริงของพระองค์คือต้องการสร้างผู้ที่สามารถเอ่ยนามของพระองค์และ สรรเสริญพระองค์ได้ แต่ว่าเหล่าสัตว์ที่พระองค์ สร้างขึ้นนั้นได้แต่กู่ร้องไม่เป็นภาษา พระองค์จึงเริ่มเปลี่ยนแนวคิดไปสร้างสิ่งที่เรียกว่า "มนุษย์" แทน ครั้งแรก พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นจากโคลน แต่มนุษย์ โคลนนั้นปวกเปียก ไม่มั่นคง พระองค์จึง "ทำลาย" ทิ้ง หลังจากนั้นทรงเปลี่ยนมาใช้ไม้ในการสร้างมนุษย์ มนุษย์ไม้พวกนี้ สามารถเอ่ยพระนามของพระองค์ได้ แต่มนุษย์พวกนี้เอาแต่ทำลายธรรมชาติ ฆ่าสัตว์ และไม่ให้ความเคารพพระองค์เลย พระองค์ จึงตัดสินใจ "ทำลาย" มนุษย์ไม้เหล่านี้ด้วยการให้ ฝนตกทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายพระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นจาก "แป้งข้าวโพด" และมนุษย์ที่เกิดจากแป้งข้าวโพดก็คือเราๆท่านๆทุกวันนี้แหละครับ

แต่ ถ้าชาวมายาโบราณมีความเชื่อว่า bak’tun ที่ 13 ที่กำลังจะมาถึงในปี 2012 นี้คือการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆแล้วล่ะก็ วงรอบใหญ่รอบที่แล้วเมื่อ 3114 ปีก่อนคริสตกาล ก็ควรจะต้องเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้นเช่นกัน แต่ศิลา ซี จากเมืองควิริกัว (Quirigua Stela C) ที่จารึกเหตุการณ์ในครั้งนั้น กลับชี้ให้เห็นมุมมองที่ต่างออกไป เพราะว่าจารึกชิ้นนี้บอกเล่าเรื่องราวของการสร้าง ไม่ใช่การทำลายล้าง โดยกล่าวถึงการวางหินเพื่อสร้างเป็นพื้นเตา สำหรับการก่อไฟทำอาหารเท่านั้นเองครับ อ้าว!! แล้วคำทำนายที่ว่า มนุษยชาติจะล่มสลายในปี ค.ศ.2012 นี้เขาอ้างอิงมาจากไหนล่ะมันมีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่ง และแห่งเดียวเสียด้วยครับ ที่จารึกเกี่ยวกับ "คำทำนายในปี ค.ศ.2012" เอาไว้ มันคืออนุสาวรีย์หมายเลข 6 แห่งเมืองทอร์ทูกัวโร (Tortuguero Monument 6) ครับ จารึกหินแผ่นนี้มีลักษณะเหมือนรูปตัวที (T) ซึ่งปีกด้านซ้ายหายไปจึงเหลือเพียงตัวแอล (L) กลับหัว สำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำทำนายปี ค.ศ.2012 นั้นได้รับการจารึกเอาไว้ที่ปีกด้านขวาของศิลาแผ่นนี้ครับ
ข้อความที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดคือข้อความที่ถอดความได้ว่า "...เป็นเวลานาน 2 วัน 9 เดือน 3 ปี 8 k’atun 3 bak’tun ก่อนที่จะครบ 13 bak’tun (ซึ่งเทียบได้กับวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012) มันจะเกิดความมืด?? และจะเป็นการลงมาประทับของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างที่...??"

ถึง แม้ว่าอนุสาวรีย์ ชิ้นนี้จะจารึกถึงวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2012 เอาไว้อย่างชัดเจน แต่มันก็แตกหัก จารึกไม่สมบูรณ์ ถอดความได้ยังไม่ชัดเจน เช่นคำว่าความมืดหรือสีดำ หรือที่ภาษามายาโบราณอ่านว่า "เอค" (Ek) นั้นก็ขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นคือ ความมืด หรือย่างอื่นกันแน่ ที่สำคัญ ตัวอักษรในศิลาแผ่นนี้ที่เป็นตัวบอกว่าเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างทรงลงมา ประทับที่ไหน หรือลงมาทำอะไร ก็เลือนไปเสียด้วยครับ

สรุปอนุสาวรีย์ แห่ง นี้คือหลักฐานชิ้นเดียวที่บ่งบอกว่า "จะเกิดอะไรขึ้นในปี 2012" ซึ่งมันก็ยังไม่สามารถถอดความได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าข้อความที่จารึกไว้จะเป็นความจริง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีเพียงแค่ความมืด และการลงมาประทับของเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างเท่านั้นเองครับ ไม่ใช่วันอวสานของโลกแต่อย่างใด เพราะเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างองค์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายล้างเพียง อย่างเดียว แต่พระองค์ยังปรากฏกายในโอกาสอื่นๆด้วย เช่นเมื่อปฏิทินของชาวมายาดำเนินไปครบ 1 ปี หรือ ka’tun (20 ปี) เป็นต้น


ที่ สำคัญ ปฏิทินมายาก็ไม่ได้หมดลงที่ bak’ tun ที่ 13 ด้วยครับ เนื่องจากนักวิชาการได้พบหลักฐานเป็นศิลาจากเมืองโคบา (Coba) ที่จารึกชื่อของปีที่วงรอบใหญ่ว่า bak’tun ขึ้นไปอีก 19 ลำดับ โดยที่วงรอบใหญ่ที่สุดจริงๆของปฏิทินมายาโบราณ จะสามารถเทียบเป็นเวลาถึง 13 เท่าของ 20 ยกกำลัง 21 ปี นั่นคือหลายล้านล้านปีก่อนที่จักรวาลจะถือกำเนิดเสียอีกครับ ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นเลยที่ปฏิทินจะหมดลงแค่ปี ค.ศ.2012
ถึง แม้ว่าอนุสาวรีย์หมายเลข 6 แห่งเมืองทอร์ทูกัวโรจะไม่ได้บันทึกอย่างชัดเจนถึงอวสานของมนุษยชาติ แต่ถ้ามนุษย์ที่เทพหทัยสวรรค์สร้างขึ้นจากแป้งข้าวโพดอย่างเราๆท่านๆยัง ทำตัวไม่ ต่างจากมนุษย์ไม้ ที่เอาแต่ทำลายธรรมชาติกันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเหมือนทุกวันนี้ ความมืดและเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างจากอนุสาวรีย์ หมายเลข 6 อาจจะหมายถึงการลงมือสร้างมนุษย์ครั้งใหม่ของเทพหทัยสวรรค์ก็เป็นได้ครับ

แต่ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเรื่องวันอวสานโลกในปี 2012 นั้น เป็นประเด็นที่มีคนสนอกสนใจกล่าวขวัญกันทั่วโลก จนถูกหยิบยกมาเป็นไอเดียในการสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง "2012...วันสิ้นโลก" ซึ่งเหตุการณ์จริงของโลกเราในปี 2012 นั้น จะรุนแรงระทึกขวัญเหมือนในภาพยนตร์หรือไม่...จะเป็นวันอวสานโลกหรือเปล่า เราคงต้องนับถอยหลังรอลุ้นกันต่อไปอีกเพียงแค่ 3 ปี
Share:

2012 กับ ชาวมายา


ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าชาวมายาคือใคร ชาวมายาสร้างอาณาจักรมายา ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán) อาณาจักรมายาปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K’uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์

อาณาจักรชาวมายา
ชาวมายาใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาการเกิดสุริยุปราคา และจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา
นอกจากนี้ชาวมายายังมีการสร้างพีระมิดอีกด้วย ซึ่ง พีระมิดของชาวมายามีความสูงกว่า 150 ฟุต บนยอดพีระมิดจะแบนราบแตกต่างไปจากของอียิปต์ที่ปลายแหลม ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน บันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของพีระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู
สังคมมายามีการแบ่งชั้นวรรณะ โดยมีพระนักบวชอยู่ในวรรณะสูงสุด เพราะเป็นผู้เข้าใจดาราศาสตร์ รู้สถาปัตยกรรมศาสตร์ และรอบรู้ในสรรพวิทยาการ ดังนั้น ชีวิตของพระจึงเป็นชีวิตที่สบาย มีหยก ขนนกปักษาสวรรค์ และหนังสัตว์ในครอบครอง และเวลาเดินทางไปไหนมาไหน จะมีทาสหามเสลี่ยงไป ส่วนชาวบ้านธรรมดานั้นก็จะทำแต่งาน แล้วนำผลิตผลดีๆ ไปถวายแด่กษัตริย์
เมื่ออยู่ในวัยเด็กชาวมายาจะใช้ชื่อหนึ่ง เวลาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะใช้อีกชื่อหนึ่ง และจะเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเมื่อแต่งงาน ดังนั้น ชาวมายาแต่ละคนจะใช้ชื่อมากถึง 3 ชื่อในชีวิต ณ วันนี้ ปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนคือ อารยธรรมมายาล่มสลายเพราะเหตุใด

ปฏิทินของชาวมายานั้น เป็นผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ที่แม่นยำที่สุดปฏิทินหนึ่ง การคำนวณเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์ตามที่บันทึกไว้นั้น (ชาวมายามีปฏิทินหลักหนึ่งปฏิทิน และมีปฏิทินที่คำนวณ เหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อีก 22 ปฏิทิน) จะมีความแม่นยำอย่างสูง และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
ชาวมายาสามารถคำนวณเวลาของการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ซึ่งชาวมายารู้แต่แรกว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ (ซึ่งเราเพิ่งมาทราบกันในภายหลังนี่เอง โดยเราเชื่อกันว่าโลกแบนในสมัยก่อน) นอกจากนี้ชาวมายายังทราบอีกว่าระบบสุริยะนี้ เป็นเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งของส่วนย่อยในจักรวาลนี้เท่านั้น ซึ่งชาวมายาบอกว่ายังมีดวงอาทิตย์ศูนย์กลางอีกดวงหนึ่ง (sun alcione เป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มไพลเอดส์) เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปฏิทินของชาวมายาระบุว่า ดาวศุกร์ใช้เวลา เดินทางไปรอบดวงอาทิตย์ 584 วัน ซึ่งเท่ากับที่เป็นเวลาที่เรารู้กันทุกวันนี้ หรือบันทึกว่า โลกใช้เวลาเดินทางรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบหรือหนึ่งปีเท่ากับ 365.2420 วัน ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันคือ 365.2422 วัน
ปฏิทินของชาวมายาใช้ ในระยะวงโคจร 5,000 ปี และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 เวลา 11:11 GMT ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของยุคใหม่ เป็นผลมาจากดวงอาทิตย์เดินทางผ่านเส้น equator ของ Galaxy และโลกจะปรับทิศทางให้เข้ากับศูนย์กลางของ Galaxy ดวงอาทิตย์ของวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นทุกๆ 26,000 ปี โดยดวงอาทิตย์จะขึ้นเชื่อมกับ การทับกันของทางช้างเผือกกับระนาบของเส้นกึ่งกลางของจักรวาล ซึ่งบนท้องฟ้าจะปรากฏดาวเคราะห์ และดวงดาวต่างๆมากมาย ปรากฏการณ์ของจักรวาลครั้งนี้ถือว่าเป็น The Sacred Tree, The Tree of Life การที่ดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งเดียวกับจักรวาล ในปี ค.ศ. 2012 นั้น จะเปิดช่องทางหนึ่งสำหรับพลังงานจักรภพที่จะไหลผ่านโลก ล้างโลกให้สะอาด รวมทั้งล้างสิ่งที่อาศัยอยู่ ยกทั้งหมดสู่ภาวะที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ชาวมายายังกล่าวอีกว่าในวันที่ 21 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2012 ดาว Planet X หรือพระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง หนึ่งด้วย เนื่องจากดาวดวงนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก ชาวมายาจึงกล่าวว่าวันนั้นดวงอาทิตย์จะมี ถึง 2 ดวง ซึ่งที่ชาวมายากล่าวมานั้นปรากฏว่าในวันที่ 21 เมษายน 2552 ที่ผ่านมานี่เอง ณ ประเทศรัสเซีย ที่ Chkalovsky มีคนเก็บภาพดาวดวงนี้ที่กำลังมุ่งมาสู่โลกเราเอาไว้ได้
Share:

อาณาจักรมายา




อาณาจักรมายา เป็นอาณาจักรโบราณในอเมริกากลาง มีพื้นที่บริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา มีความรุ่งเรืองช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 1502 มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครวากา ปัจจุบันคือ เอลเปรู มีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกาน (Teotihuacán)
อาณาจักรมายาปกครองด้วยระบบกษัตริย์ เรียกว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul ajaw) หรือ เทวกษัตริย์


ชาวมายาใช้อักษรภาพในการบันทึก มีความสามารถทางดาราศาสตร์ จนสามารถทำนายเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน รู้จักทำปฏิทินใช้ รู้จักประดิษฐ์เลขศูนย์ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ รู้จักค้าขายเกลือ หยก และเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง
ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้นจึงมีพิธีบูชายัญด้วยชีวิตของหญิงพรหมจารี(บริสุทธิ์)เพื่อถวายเทพ


พีระมิดของชาวมายามีความสูงกว่า 150 ฟุต บนยอดพีระมิดจะแบนราบแตกต่างไปจากของอียิปต์ที่ปลายแหลม ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน บันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของพีระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู

ประกอบด้วยเมืองสำคัญ ๆ คือ
ตีกัล (Tikal) มีพีระมิดของชาวมายา สูง 212 ฟุต บนยอดวิหารมีห้องมากมาย มีแท่นบูชากับหินแกะสลักอักษรภาพเป็นจำนวนมาก ตามฝาผนังของวิหารก็มีรูปสลักเต็มแทบทุกด้าน
เปเตน (Peten)
ปาเลงเก (Palenque) มีสิ่งก่อสร้างที่สร้างโดยปากัล พบหลุมศพจำนวนมากและในวิหารแห่งศิลาจารึก (Temple of the Inscriptions)
ซีบิลชัลตุน (Dzibilchaltun) มีวิหารขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า The Temple of the Seven Dolls
Share:

ชนเผ่ามายา (MAYAS)


ชาวมายา ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนยูคาทาน ในเม็กซิโกและกัวเตมาลาในราวศตวรรษที่ 3-16 ก่อนคริสตกาลนับเป็นอีกชนชาติหนึ่งที่มีความก้าวหน้าล้ำยุคจนนักวิชาการต่างๆ พากันส่ายหน้าปวดหัวด้วยความแปลกใจเป็นอันมาก กล่าวคือ ชาวมายามีความเป็นเลิศทางด้านการคำนวณและดาราศาสตร์ สิ่งที่ชาวมายาคิดค้นได้ก็คือ ปฏิทินและการคำนวณบางประการที่ไม่น่าเชื่อว่า ชนเผ่าโบราณอันลึกลับนี้ จะสามารถทำได้ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์สมัยใหม่อย่าพวกเราเข้าไปช่วยแม้แต่น้อย ปฏิทินของชาวมายาใช้ในระยะวงโคจร 5000 ปี (สงสัยไหมครับว่าทำไมถึงนานขนาดนั้น) และวงโคจรที่ใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด จะจบลงในวันที่ 24 ธันวาคม ปี พ.ศ. 2554 ซึ่งตามความเชื่อของชาวมายาก็คือ พระเจ้า ของพวกเขาจะเสด็จกลับลงมายังโลกนี้อีกครั้ง ชาวมายาดูจะมีความผูกพันคุ้นเคยกับดาวศุกร์เป็นพิเศษ พวกเขาสามารถคำนวณว่า ปีบนดาวศุกร์มีจำนวณ 584 วัน และวันของโลกเรามี 365.2420 วัน ซึ่งตามการคำนวณในปัจจุบันปรากฏว่า มี 365.2422 วันนับว่าคลาดเคลื่อนน้อยจนแทบไม่น่าเชื่อ ในเมือง Chichen มีผู้พบหอดูดาวที่ชาวมายาได้สร้างขึ้น นอกจากนี้ชาวมายายังได้คำนวณปฏิทิน ซึ่งสามารถใช้ต่อเนื่องไปในเวลาข้างหน้าถึง 64 ล้านปี สำหรับเรื่องของวงโคจร การหมุนรอบตัวเอง วันเวลา และแรงกระทำจากดาวศุกร์นั้น นักวิชาการยอมรับว่าเหลือเชื่อมากสำหรับชนเผ่าโบราณพวกนี้ ค่าที่ได้จากการคำนวณน่าจะมาจากอุปกรณ์คำนวณอิเล็คทรอนิคส์ ซึ่งก็ไม่มีหลักฐานปรากฏแต่อย่างใดว่า ชาวมายาสามารถประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาได้ดังที่กล่าวไปในหน้าที่แล้วว่า ชาวมายามักจะเกี่ยวพันกับดาวศุกร์อยู่เสมอๆ ลองมาดูสูตรคำนวณดาวศุกร์ของชาวมายาสิครับ ว่าสลับซับซ้อนมากขนาดไหน ดาวซอลคิน (ชื่อเรียกดวงจันทร์ของชาวมายา) มี 260 วัน โลกมี 365 วัน ดาวศุกร์มี 584 วัน สามารถจะหารด้วย 73 ได้ 5 ครั้ง ดังนั้นสูตรดังกล่าวจึงเป็นดังนี้ (ดวงจันทร์) 20 X 13 = 260 x 2 x 73 = 37,960 ดวงอาทิตย์) 8 x 13 = 104 x 5 x 73 = 37,960 (ดาวศุกร์) 5 x 13 = 65 x 8 x 73 = 37,960ดังนั้นดาวทั้งสาม เมื่อคำนวณแล้วจึงได้ผลเป็น 37,960 วัน ซึ่งตำนานของชาวมายากล่าวไว้ว่า จะครบรอบวันซึ่งพระเจ้าจากห้วงเวหาของพวกเขา กลับมาประทับยังตำหนักใหญ่
Share:

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นอสตราดามุส

ปี 2000ที่ผ่านมาเราหวาดกลัวกันว่า วาระสุดท้ายของโลกจะมาถึงแล้ว ผู้พยากรณ์อย่าง "นอสตราดามุส" ได้ทำนายไว้ว่าความวินาศจะเกิดขึ้นกับโบกมนุษย์ในช่วง 200 จาภัยธรรมชาติโดยเฉพาะเพมือใหญ่ๆที่อยู่ในซีกโลกตอนเหนือ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นทะเลยักษ์ จะคร่าชีวิตคนหลายล้านคน ฟังดูน่ากลัว โลกจะพินาศจริงหรือ แล้วมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีอะไรเป็นสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้า และเราจะแก้ไขป้องกันได้อย่างไร? อย่าเพิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องของพระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ แต่ผมกำลังจะบอกให้ท่านๆทราบว่าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์(Holy Bible)ได้ทำนายถึงวาระของโลกเราใบนี้ไว้อย่างไร ท่านลองอ่านช้าและพินิจพิเคราะห์ตามว่าจริงหรือเท็จ ทุกข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นถ้อยคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าซึ่งเขียนขึ้นเมื่อหลายพันปีมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวถึงวันสิ้นโลกอย่างละเอียด ซึ่งจะสรุปโดยย่อได้ดังนี้ "วันสิ้นโลก" หมายถึงยุคสุดท้ายที่พระเยซูจะเสด็จกลับมายังโลกครั้งที่ 2 (ครั้งแรกคือการที่พระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์และพลีชีพบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปมนุษย์เมื่อสองพันกว่าปีที่ผ่าน) ซึ่งพระคัมภีร์ได้ทำนายและบอกไว้ว่าจะมีเหตุการณ์สำคัญๆที่บ่งบอกให้เราทราบถึงวันสิ้นโลกหรือวันที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งดังนี้ 1. ชนชาติยิวหรืออิสราเอลจะกลับคืนมามีประเทศอีกครั้งหนึ่ง ชาวยิวหรือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลเป็นชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้ที่จะไม่มีวันสิ้นชาติไปจากแผ่นดินโลก เราเห็นได้ว่าในประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อ 586 ปีก่อนพระเยซูจะเสด็จลงมาเกิดนั้น ชนชาติยิวหลงลืมพรเจ้าและพระองค์ได้อนุญาตให้อาณาจักรบาบิโลนซึ่งรุ่งเรืองมากในสมัยนั้นยกทัพมาโจมรคกรุงเยรูซาเล็มและจับพวกเขาไปเป็นเชลย ในยุคต่อๆมาชาวยิวจึงแตกกระจัดกระจายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทั่วโลก(เหมือนม้งเราเลย) เมื่อ2000ปีก่อนพระเยซูได้ตรัสไว้ว่าเมื่อไรก็ตามที่ชนชาติอิสราเอลกลับคืนมรตั้งประเทศได้อีกที จะไม่มีใครสามารถทำลายพวกเขาได้อีก และเมื่อท่านเห็นเช่นนั้นเป็นสัญญาณตัวหนึ่งที่บ่งบอกว่าใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ทุกท่านอิสราเอลกลับคืนสู่ประเทศและสหประชาชาติรับรองเอกราชของประเทศนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ว่าเป็นประเทศ เมื่อเริ่มแรกอิสราเอลมีพลเมืองไม่ถึง 1,000,000 คน (น้อยกว่าจังหวัดเชียงใหม่เราอีก)ได้ถูกกลุ่มอาหรับรังแกจนแทบจะตั้งตัวไม่ติด และแล้วในเดือนมิถุนายน 1967 อาหรับ 5 ประเทศซึ่งมีประชากรกว่า 200,000,000 คนได้รวมตัวกันสู้รบและทำสงครามกับอิสราเอลซึ่งมีประชากรไม่ถึงหนึ่งล้านคน ทำการสู้รบกับประเทศอาหรับ 5 ประเทศเป็นเวลา 7 วัน ผลปรากฎว่าอิสราเอลขยี้อาหรับจนสิ้นฤทธิ์ เครื่องบินทิ้งระเบิดของประเทศอียิปต์และซีเรีย 4,000 กว่าลำยังไม่ทันบินขึ้นจากสนามบินก็ถูกอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มยับเยิน แต่อาหรับยังไม่ท้อและเลิกโจมตีง่ายๆ ปี1972ในเช้าของวันหยุดทางศานาของอิสราเอลที่กองทัพอิสราเอลไม่ได้เตรียมตัวและตั้งตัวทันก็ถูกโจมตีจากอาหรับอีก(เหมือนหนังเรื่อง Pearl Harberเลย) คราวนี้ยืดเยื้อไปถึง 14 วัน แต่สุดท้ายอาหรับก็ต้องสยบยอมแพ้อีกเช่นเคย ชนชาติอิสราเอลจะไม่มีใครทำลายได้ (แม้แต่ฮิตเลอร์ที่มีกองทัพเกรียงไกรและไล่เข่นฆ่าชาวยิวจนกองได้เป็นภูเขาๆ) นั่นเพราะพระเจ้าจะให้พวกเขากลับมาหาพระองค์ เมื่อเวลาที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้ง ทำไมอเมริกาและยุโรปมักจะอยู่ข้างอิสราเอลทุกครั้งที่เกิดปัญหาที่ตะวันออกกลาง นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าไม่มีใครจะปรบมือสู้รบกับประชากรที่พระเจ้าเลือกได้ 2. เหตุการณ์ทางการเมือง (จากพระธรรม มัทธิวบทที่ 24 ข้อ 6 - 7) 2.1 สงคราม ก่อนวันที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา ประเทศต่างๆในโลกจะมีการแย่งชิงอำนาจ และความเป็นใหญ่ โดยการทำสงครามกัน จะมีการเกลียดชัง และเอาเปรียบกันซึ่งนำไปสู่การสู้รบที่รุนแรง นับแต่วันที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้มา ไม่มีสงคราใดจะใหญ่โตเลย จนกระทั่ง - ศตวรรษที่ 20 ก็ได้อุบัติสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี 1914 - 1917 ) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939 - 1945) ปะทุขึ้น มีคนเสียชีวิตมากว่า 29,000,000 คน - สงคราเกาหลี (1950 - 1953 ) และสงครามเวียตนาม (1968 - 1972) ได้คร่าชีวิตผู้คนมากกว่า 10,000,000 คน ปัจจุบันมีการสู้รบกันประปรายในประเทศต่างๆทั่วโลกไม่น้อยกว่า 20 สงครามในทุกๆวัน 2.2 การรวมตัวกันของประชาชาติต่างๆ เห็นได้จากการรวมตัวกันของสหภาพยุโรปหรืออียู (E.U. = Europe Union) เป็นการรวมตัวกันของ 11 ประเทศในยุโรป ไม่ใช่สิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ใหม่หรือแปลกประหลาดอะไรเลย เพราะในพระคัมภีร์ในพระธรรมดาเนียลบทที่ 7 ข้อ 19และ 24 ได้ทนายไว้เกือบ 500 ปีก่อนสมัยที่พระเยซูคริสต์จะเกิดเสียอีก และในพระธรรมวิวรณ์บที่ 17 ข้อ 12 ได้ทำนายไว้หลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว 95 ปีไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีประเทศต่างๆ 10 ประเทศซึ่งเคยรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ์โรมันในสมัยก่อนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง การรวมตัวนี้จะเกิดขึ้นเป็น 2 ช่วงคือ - ช่วงที่ 1 เป็นการรวมตัวกันเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือการประกาศใช้เงินสกุลยูโร(Euro)สกุลเดียวในช่วงปี 1999 ที่ผ่านมา (หรือแม้ASEANเราที่กำลังเป็นประเด็นพูดคุยกันอยู่ในปัจจุบัน ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศที่ประเทศกัมพูชาที่ผ่านมาก็ได้หยิบยกประเด็นนี้มาพูดอีกครั้งและมีการพูดถึงการใช้เงินสกุลอาเซียนเราด้วย) - ช่วงที่ 2 จะมีการรวมตัวทางการเมืองคือ มียุโรปเดียว รัฐบาลเดียว ซึ่งในช่วงที่สองนี้กำลังมีการเจราจารายละเอียดอยู่ในขณะนี้ พระคัมภีร์ทำนายไว้ว่าจะมีการรวมตัวกันของ 10 ประเทศ นั่นหมายถึงอาจมีหนึ่งประเทศถอนตัวในอนาคตอย่างแน่นอน 3. เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ (จากพระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ 7 ) 3.1 เกิดการกันดารอาหารทั่วโลก เมื่อปี 1800 ประชากรของโลกมีจำนวน 2,000,000,000 คน (สองพันล้านคน)ปี 1950 เพิ่มเป็น 3,000,000,000 คน (สามพันล้านคน)เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1999 ประชากรโลกมี 6,000,000,000 คน (หกพันล้านคน) นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าอีก 50 ปีข้างหน้าน้ำมันเชื้อเพลิงจะหมดไปจากโลกนี้ ทุกวันนี้ประเทศเอธิโอเปียมีคนตายเพราะขาดอาหารวันละ 3,000 คน นักเศรษฐศาสตร์ทำนายว่าแต่ละวันประชากรโลก 2,000,000,000 คน(สองพันล้านคน)มีอาหารกินอิ่ม อีก 2,000,000,000 คน (สองพันล้านคน)มีอาหารกินอย่างเร้นแค้นและกินไม่อิ่ม ในขณะที่อีก 2,000,000,000 คน(สองพันล้านคน)ไม่มีแม้แต่จะกิน (ครบ 6,000,000,000 ล้านคนพอดี) 3.2 เกิดโรคระบาด (ในพระธรรมลูกาบทที่ 21 ข้อ 11และพระธรรมวิวรณ์บทที่ 6 ข้อ ปัจจุบันโรคเอดส์ โรคอีโบล่า โรคฝีดาษลิง ล้วนแต่เป็นโรคสายพันธ์ใหม่ที่ยังไม่มียารักษาให้หายได้ โดยเฉพาะโรคเอดส์ที่เพิ่งค้นพบในปี 1982 ระยะเวลาอันสั้นแต่ปัจจุบันคนทั่วโลกติดเชื้อHIVนี้เข้าไปแล้ว 40,000,000 คน (สี่สิบล้านคน) ในจำนวนนี้ 1,500,000 คนเป็นเด็ก และในปี 1999ที่ผ่านมามีคนตายด้วยโรคเอดส์แล้ว 2,600,000 คน (ในขณะที่ประเทศไทยคาดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีคนไทยติดเชื้อเอดส์ถึง 4,000,000คน) 4. เหตุการณ์ทางธรรมชาติ (จากพระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ 7) คัมภีร์ทำนายไว้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทั่วโลก ซึ่งจะคร่าชีวิตคนเป็นแสนๆทีเดียว ตลอด 20 ปีท่ผ่านมา ได้เกิดแผ่นดินไหวในอเมริกา ญี่ปุ่น จีน อินเดีย อัฟกานิสถาน ตุรกี ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ได้มีคนเสียชีวิตนับล้านคนและทรัพย์สินสูญหายมหาศาล ลำดับคร่าวๆได้ดังต่อไปนี้ - ปี ค.ศ. 1000 - 1008 มีแผ่นดินไหว 21 ครั้ง (ในช่วงระยะเวลา 800 ปี) - ปี 1800 - 1900 มีแผ่นดินไหว 18 ครั้ง (เป็นเวลา 100 ปี) - ปี 1900 - 1950 มีแผ่นดินไหว 33 ครั้ง (50 ปี) - ปี 1950 - 1990 มีแผ่นดินไหว 93 ครั้ง (40 ปี) - ปี 1990 - 1999 มีแผ่นดินไหว 103 ครั้ง (9 ปี) หากสังเกตตัวเลขในวงเล็บจะพบว่า ระยะเวลายิ่งน้อยลงเท่าไหร่จำนวนของแผ่นดินไหวก็ทวีมากขึ้นเท่านั้น และทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหว จะมีคนเสียชีวิตนับพันขึ้นไป 5. เหตุการณ์ทางสังคม (จากพระธรรมมัทธิว บทที่ 21 ข้อ 12) 5.1 ความรักความผูกพันจะเยือกเย็นลง (พระธรรมมัทธิวบทที่ 24 ข้อ 12 และ 2ทิโมธีบทที่3ข้อ 1 - 4 ) มนุษย์จะเห็นแก่ตัว ความเกลียดชังจะทวีขึ้น การให้อภัยกันแทบจะไม่มี ความโหดร้ายทารุณจะทวีความรุนแรงขึ้น เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธ์สมัยนาซี และที่ประเทศเขมร มนุษย์ดุร้ายเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน 5.2 ความรักทำให้ครอบครัวมั่นคงกำลังเสื่อสลาย สถิติรวมทั่วโลกมีการหย่าร้าง 50%ต่อปี โลกต้องสูญเสียเงินจำนวน 25,000,000 บาท(ยี่สิบห้าล้านบาท)ต่อปีในการทำแท้ง 6. เหตุการณ์ทางฟ้าอากาศ (จากพระธรรมมาระโก บทที่ 13 ข้อ 24 -25) ใกล้วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาท้องฟ้าจะแปรปรวน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวจะไม่ส่องแสง ลมฟ้าอากาศจะทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนไป 7. ความรู้มนุษย์จะทวีคุณ (จากพระธรรมดาเนียลบที่ 12 ข้อ 4) 7.1 ความรู้ทางวิชาการ ความรู้ของมนุษย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 8 ปี ความรู้ที่ตีพิมพ์เป็นเล่มหนังสือนั้นเฉลี่ยแล้วปีละ 500,000 กว่าเล่ม ถ้าจะอ่านอย่างละเอียดต้องใช้เวลาถึง 1,0000000 ปีจึงจะอ่านจบ (แค่มหาลัยเชียงใหม่เดียวแต่ละปีมีวิทยานิพนธ์ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเล่มแล้ว) เทคโนโลยีและระบบComputorทำให้ความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะความรู้ของมนุษย์ทวีคุณขึ้นอย่างรวดเร็ว มีคนกล่าวว่าเด็กชั้นประถมปัจจุบัน รู้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากกว่านักวิทยาศาสตร์เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว 7.2 การสื่อสาร เมื่อ 50 ปีที่แล้ว การส่งจดหมาย ระยะทาง 100 กิโลเมตรต้องใช้เวลา 7 วัน ปัจจุบันสามารถถ่ายทอดเนื้อหาหนังสือทางEncyclopedia 25 volumesประมาณ 35,000 หน้าโดยใช้เวลาเพียง 3 วินาทีทางอิเลคทริคส์เท่านั้น 7.3 การเดินทาง ในสมัยจักรพรรดิ์ซีซาร์แห่งกรุงโรม (ซึ่งเคยเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งของมนุษย์โลก) และในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก การเดินทางไม่ต่างกันเลย คือ ใช้ม้าหรือสัตว์เป็นพาหนะ แต่ปัจจุบันเครื่องบินเจ็ทรุ่นใหม่สามารถบินรอบโลกได้โดยใช้เวลาเพียง 80 วินาทีเท่านั้น (1นาทีกับอีก20วินาที) และยานอวกาศสามารถบินทะลุทะลวงอวกาศได้ถึงชั่วโมงละ 200,000 ไมล์ (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า1 ไมล์เท่ากับ 3 กิโลเมตรครึ่งหรือเปล่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน ใครชัวร์แชร์กันได้)
Share: