วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยังไม่สูญพันธุ์! แมงกะพรุนยักษ์ พันธุ์หายากพบเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่หญิงผู้ควบคุมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ "Underwater World aquarium" ของสหรัฐฯ ค้นพบแมงกะพรุนมีชื่อพันธุ์ว่า "Crambione Cookii" มีลักษณะสีชมพู เป็นแมงกะพรุนมีพิษร้ายแรง ตัวยาวขนาด 50 ซม. สามารถต่อยได้อย่างรุนแรงจนสามารถรู้สึกได้ในท้องทะเล ขณะกำลังปล่อยเต่าลงสู่ท้องทะเล และบอกว่า เป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่รู้ว่า เขาเป็นคนแรกที่พบแมงกะพรุนนี้รอบใหม่ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แมงกะพรุนดังกล่าวถือเป็นแมงกะพรุนตัวใหญ่ที่สุดที่เธอเคยเห็นในทะเลออสเตรเลียทั้งนี้ ด้านนักชีววิทยาท้องทะเลยังคงโต้เถียงกันว่า แมงกะพรุนพันธุ์นี้ ซึ่งเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว สามารถหลบเลี่ยงการถูกพบเห็นจากมนุษย์ได้อย่างไรมาตลอดกว่า 100 ปี 
Share:

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ปลาบิน (Flying fish)

ปลานกกระจอก หรือ ปลาบิน (อังกฤษ: Flying fish; วงศ์: Exocoetidae) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Exocoetidae
มีลักษณะโดยรวม คือ มีลำตัวยาวมาก ค่อนข้างกลม จะงอยปากสั้นทู่สั้นกว่าตา ปากเล็ก ไม่มีฟัน ไม่มีก้านครีบแข็งที่ทุกครีบ ครีบหูขยายใหญ่ยาวถึงครีบหลัง ครีบท้องขยายอยู่ในตำแหน่งท้อง ครีบหางมีแพนล่างยาวกว่าแพนบน ครีบหางเว้าลึกแบบส้อม เส้นข้างลำตัวอยู่ค่อนลงทางด้านล่างของลำตัวเกล็ดเป็นแบบขอบบางไม่มีขอบหยักหรือสาก หลุดร่วงง่าย
จัดเป็นปลาทะเลขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ไม่เกิน 30 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ฺในทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นทั่วโลก โดยพบในทะเลที่ห่างจากชายฝั่งพอสมควร ส่วนใหญ่มีลำตัวสีเขียว หรือสีน้ำเงินหม่น ข้างท้องสีขาวเงิน
เป็นปลาที่มีลักษณะเด่น คือ นิยมอยู่รวมกันเป็นฝูงและหากินบริเวณผิวน้ำ มีจุดเด่น คือ เมื่อตกใจหรือหนีภัยจะกระโดดได้ไกลเหมือนกับร่อนหรือเหินไปในอากาศเหมือนนกบิน ซึ่งอาจไกลได้ถึง 30 เมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของตัวปลาและจังหวะ อันเป็นที่มาของชื่อ โดยใช้ครีบอกหรือครีบหูที่มีขนาดใหญ่มากเป็นตัวพยุงช่วย ในขณะที่บางชนิดมีครีบก้นที่มีขนาดใหญ่ร่วมด้วยปลานกกระจอกเมื่อกระโดดอาจกระโดดได้สูงถึง 7-10 เมตร ด้วยความเร็วประมาณ 65 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสามารถอยู่บนกลางอากาศได้นานอย่างน้อย 10 วินาที 
พบมากกว่า 50 ชนิดทั่วโลก แบ่งออกเป็น 8 สกุล (ดูในตาราง)  เป็นปลาที่ขี้ตื่นตกใจ และตายง่ายมากเมื่อพ้นน้ำ

Share:

วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตำนานจระเข้ปูน

จระเข้ปูนมีลักษณะเป็นหินศิลาแลงมองเป็นรูปคล้ายจระเข้ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 9 เมตร หันศรีษะไปทางทิศเหนือส่วนตรงกลางลำตัวกว้างประมาณ 10 นิ้ว อยู่ชิดกับของทางเดิน (ถนน) ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า “จระเข้ปูน” เป็นที่มาของตำนาน “จระเข้ปูน”
          กล่าวกันว่าในสมัยที่กรุงสุโขทัยยังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ราวประมาณ พ.ศ. 1420 มีเมืองแห่งหนึ่งชื่อเมือง “พราน” เป็นเมืองใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง มีวังอันเป็นที่ประทับของพระร่วงองค์หนึ่งชื่อ พระมหาพุทธสาคร วันหนึ่งพระมหาพุทธสาครได้เสด็จมาที่วังแห่งนี้เพื่อพักผ่อน ขณะนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพญานาคตนหนึ่ง กำลังคาบสาวงามนางหนึ่งเลื้อยผ่านหน้าไป พระองค์จึงได้ติดตามไปจนกระทั่งถึงภูเขาลูกหนึ่ง พญานาคได้กลืนหญิงสาวลงไปในท้อง พระมหาพุทธสาครได้เสด็จตามมาทันพอดี จึงได้ใช้มนต์สะกดพญานาคไว้ แล้วจึงได้ล้วงหญิงสาวออกมาจากคอพญานาค ทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ นางทอง ส่วนเขาบริเวณนั้นก็ชื่อว่า 
“เขานางทอง” 
          เนื่องจากนางทองเป็นหญิงสาวสวยงามมาก เป็นที่พอพระทัยของพระมหาพุทธสาคร จึงได้รับการอภิเษกเป็นมเหสี ใช้ชีวิตร่วมกับพระร่วงปกครองเมืองพานให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก (บริเวณวังที่ประทับนี้เองซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ ชาวบ้านเรียกกันว่า บ้านวังพานเก่า ในช่วงที่มีความเจริญมีวัดตั้งอยู่ ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑ์ได้มากันเขตไว้เป็นที่สาธารณะ บริเวณนี้ชาวบ้านเคยไถนาแล้วพบซากวังเก่า ๆ มากมายและที่สำคัญได้พบ “พระอู่ทอง” และ “พระวังพาน”)
          ในบริเวณวังที่ประทับของพระมหาพุทธสาครมีบึงน้ำขนาดใหญ่ลึกมากมีถ้ำอยู่ใต้น้ำ เป็นที่อยู่ของพญาจระเข้ยักษ์ ทุกครั้งที่นางทองออกมาอาบน้ำในบึงแห่งนี้ จระเข้จะลอยมาแอบมองด้วยจิตเสน่หา วันหนึ่งขณะที่นางทองอาบน้ำอยู่พญาจระเข้ได้ตรงรี่เข้าไปหานางทองแล้วคาบหนีออกจากบึง เมื่อพระมหาพุทธสาครทราบเรื่องจึงโกรธมากรีบเสด็จติดตามโดยด่วน และทันที่บริเวณใกล้เมืองกำแพงเพชร เข้าช่วยนางทองออกมาได้ ด้วยความโกรธจึงได้สาบให้พญาจระเข้ยักษ์เป็นหินอยู่ตรงนั้น 
          ปัจจุบันบริเวณที่จระเข้ถูกสาปมองไม่ค่อยจะออกแล้วว่ามีร่องรอยของจระเข้หินอยู่เพราะชาวบ้านได้ขุดดินใช้พื้นที่ทำการเกษตรและค้นหาสมบัติบริเวณส่วนหัว ลำตัว และอื่น ๆ ของพญาจระเข้ อย่างไรก็ตามหลังจากมีแนวความคิดที่จะฟื้นฟูถนนพระร่วงบริเวณจระเข้หิน หรือจระเข้ปูนตามที่ชาวบ้านนิยมเรียกกัน
Share:

แอโฟรไดที

แอโฟรไดที (อังกฤษ: Aphroditeเสียงอ่าน: /ˌæfrəʊˈdaɪti/; กรีก: Ἀφροδίτη; ละติน: Venus) เป็นเทพเจ้ากรีกแห่งความรัก, ความปรารถนา, และความงาม ชื่ออื่นๆ ที่เรียก “ไคพริส” (Kypris) “ไซธีเรีย” (Cytherea) ตามชื่อสถานที่ ไซปรัส และ ไซธีราซึ่งเชื่อว่าเป็นที่เกิดของแอโฟรไดที สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแอโฟรไดทีได้แก่ต้นเมอร์เติล (Myrtle), นกพิราบ, นกกระจอก และ หงส์
เทพีแอโฟรไดทีทิเทียบได้กับเทพีวีนัส ในตำนานเทพเจ้าโรมัน
แอโฟรไดทีทรงเป็นเทพธิดาแห่งความรักและความงาม ทั้งความรักที่บริสุทธิ์ และความรักที่เต็มไปด้วยตัณหา และความริษยา ทรงครอบครองสายคาดวิเศษที่สามารถมัดใจเทพและชายทุกคนได้ในทันที ทรงเป็นผู้ให้พรเพื่อให้ผู้มีความรักสมหวัง ในขณะเดียวกันก็ทรงสามารถที่จะทำลายความรักของผู้ที่พระนางไม่พอใจได้ในทันที

การกำเนิดของแอโฟรไดทีมีอยู่ 2 ความเชื่อ ความเชื่อแรกนั้นเชื่อว่าแอโฟรไดทีถือกำเนิดขึ้นจากฟองน้ำในมหาสมุทร และความชื่อที่สองเชื่อว่าแอโฟรไดทีเป็นบุตรีของซุสกับนางไดโอนี
คำว่า อะฟรอส ในชื่อของแอโฟรไดที หมายถึงฟองน้ำทะเล และคำว่าแอโฟรไดที ก็หมายถึง เกิดขึ้นจากฟองน้ำทะเล
เชื่อกันว่าเมื่อครั้งที่โครนอสทำการโค่นอำนาจจากยูเรนัส โครนอสได้โยนบิดาของตนเองลงในมหาสมุทร ทำให้เกิดฟองน้ำที่มีเด็กหญิงอยู่ภายในขึ้น และหลังจากเด็กหญิงผู้นั้นเติบโต เธอก็ลอยมาติดฝั่งพาฟอส ของไซปรัส โดยมีเปลือกหอยเป็นพาหนะ
อีกความเชื่อหนึ่ง เชื่อว่าแอโฟรไดทีเป็นบุตรของซุส และไดโอนีแห่งเกาะดอโดน่า และว่าไดโอนีคือมเหสีองค์แรกของซูสก่อนที่จะสมรสกับเทพีเฮรา
เทพีแอโฟรไดทีเป็นหนึ่งในเทพีที่เลื่องชื่อด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวมาก พระนางได้รับบัญชาจากซุสให้สมรสกับเทพเฮเฟตัสผู้อัปลักษณ์และพิการ ซึ่งเป็นบุตรชายของซุสกับเฮรา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเทพและเทพีทั้งสองกลับไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เทพีแอโฟรไดทีทรงมีความสัมพันธ์กับเทพและชายหนุ่มมากมายที่ไม่ใช่สวามีของตนเอง จนเกิดเรื่องราวนับไม่ถ้วน
หนึ่งในชู้รักของเทพีแอโฟรไดทีทีคือเทพแอรีส เทพแห่งสงครามผู้เป็นบุตรชายอีกองค์ของซุสและเฮรา เทพเฮเฟตัสได้ดัดหลังทั้งคู่ด้วยการวางกับดักตาข่ายไว้ที่เตียงนอน เมื่อถึงเวลาเช้าที่แอรีสจะหลบออกไปจากห้องบรรทมของแอโฟรไดที ทั้งเทพแอรีสและเทพีแอโฟรไดทีจึงรู้ตัวว่าติดกับดัก และต้องทนอับอายต่อการที่ถูกเทพทั้งมวลมองดูร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่อยู่เป็นเวลานาน
นอกจากแอรีสแล้ว แอโฟรไดทียังมีชายชู้อีกหลายคนรวมถึง อะโดนิส และเฮอร์มีสด้วย

แอโฟรไดทีมีบุตรกับแอรีส 3 องค์ คือ
  1. อีรอส หรือ คิวปิด ผู้เป็นกามเทพ
  2. แอนติรอส ผู้เป็นเทพแห่งรักที่ไม่สมหวัง การรักตอบ และเป็นผู้ลงโทษผู้ที่ดูถูกความรัก
  3. ฮาร์โมเนีย หรือ เฮอร์ไมโอนี่ ผู้เป็นเทพีแห่งความปรองดอง
บุตรของแอโฟรไดทีกับเฮอร์มีส มี 1 องค์ คือ เฮอร์มาโฟรไดตุส ซึ่งเป็นเทพผู้คุ้มครองเพศที่ 3
นอกจากนี้แอโฟรไดทียังมีบุตรเจ้าชายแอนคีซีสแห่งโทรจันซึ่งเป็นมนุษย์ 1 คน คือ อีเนียส ผู้เป็นกำลังสำคัญในสงครามแห่งทรอย
Share:

ประจำวันเกิด

ผู้เกิดวันอาทิตย์
พระปางถวายเนตร เสริมวันเกิด
เสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 เสริมการค้า
พระแก้วมรกต เสริมความสำเร็จ
พระแม่ลักษมี เสริมความร่ำรวย
พระโพธิสัตว์กวนอิม เสริมความสุข
ผู้เกิดวันจันทร์
พระปางถวายเนตร เสริมวันเกิด
พุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 เสริมการค้า
กุมารทอง เสริมเรียกลูกค้า
นางกวัก เสริมกวักเงิน กวักทอง
ผู้เกิดวันอังคาร
พระปางไสยาสน์ เสริมวันเกิด
พระแก้วมรกต เสริมการค้า
พระพุทธชินราช เสริมความสมหวัง
รัชกาลที่ 5 เสริมความสำเร็จ
พระนารายณ์ เสริมขจัดศัตรูหมู่
ผู้เกิดวันพุธ
พระปางอุ้มบาตร เสริมวันเกิด
พระหลวงปู่ปาน เสริมความรวย
รัชกาลที่ 5 เสริมการค้า
พระแม่อุมา เสริมความสำเร็จ
ผู้เกิดวันพฤหัส
พระปางสมาธิ เสริมวันเกิด
พระพุทธชินราช เสริมความสำเร็จ
พระสิวลี เสริมเสน่ห์
พระแม่อุมาเทวี เสริมอำนาจ
ปู่ฤาษี เสริมความสำเร็จ
ผู้เกิดวันศุกร์
พระปางรำพึง เสริมวันเกิด
รัชกาลที่ 5 เสริมงาน
พระโพธิสัตว์กวนอิม เสริมชีวิต
พระแก้ว เสริมความสำเร็จ
ผู้เกิดวันเสาร์
พระปางนาคปรก เสริมวันเกิด
รัชกาลที่ 5 เสริมความสำเร็จ
หลวงพ่อโสธร เสริมการงาน
พระนารายณ์ เสริมอำนาจ
Share:

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

รังสีแกมมา(Gamma


รังสีแกมมา(GammaRay) ใช้สัญลักษณ์ y เกิดจากการที่นิวเคลียสที่อยู่ในสถานะกระตุ้นกลับสู่สถานะพื้นฐานโดยการปลดปล่อยรังสีแกมมาออกมา รังสีแกมมา ก็คือโฟตอนของการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกับรังสีเอ็กซ์ แต่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าและมีอำนาจในการทะลุทะลวงสูงมากกว่ารังสีเอ็กซ์ ไม่มีประจุไฟฟ้าและมวล ไม่เบี่ยงเบนในสนามไฟฟ้าและสนามแม่ เหล็กและ เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าแสง 

ประโยชน์ของรังสีทางการแพชย์
1.รังสีวินัจฉัย ได้แก่ การเอกซเรย์ทั่วไป การตรวจพิเศษทางรังสี เพื่อใชในการวินิจฉัยโรค

2.รังสีรักษา รังสีในทางการแพทย์ที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รังสีแกมมา ซึ่งเกิดจากการสลายตัวของแร่บางชนิด ได้แก่ แร่เรเดียม แร่ซีเซียม และแร่โคบอลต์ เป็นต้น และรังสีเอกซ์ที่เกิดจากเครื่องผลิตรังสี ซึ่งอาศัยหลักการทำงานเหมือนเครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์ คือ อิเล็กตรอนจะวิ่งไปชนเป้า และปล่อยรังสีเอกซ์ออกมา รังสีทั้ง 2 ชนิดทำให้เนื้อมะเร็งตายได้เหมือนๆ กัน โดยที่การตายของเนื้อมะเร็งมี 2 ลักษณะ คือ เซลล์แตกตายในทันที หรือเซลล์สูญเสียคุณสมบัติในการแบ่งตัว
การใช้รังสีรักษาในการรักษามะเร็งกระทำได้โดยการฉายรังสีไปยังตำแหน่งที่เป็นโรค ซึ่งสามารถฉายรังสีคลุมก้อนมะเร็งทั้งหมด และต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงได้ เครื่องฉายรังสีในปัจจุบัน มีด้วยกันหลายแบบ ขึ้นกับพลังงานทะลุทะลวง ซึ่งสามารถกำหนดความลึกของปริมาณรังสีสูงสุดได้ จึงทำให้ปริมาณรังสีสูงสุดอยู่ลึกไปจากผิวหนัง ดังนั้น เมื่อฉายรังสีอย่างระมัดระวังจะพบอาการแทรกซ้อนน้อยลง หรือในขนาดที่ยอมรับได้ เครื่องฉายรังสีที่นิยมใช้คือ เครื่องโคบอลต์ และเครื่องเร่งอนุภาคคือ การฉายรังสีที่อวัยวะที่เป็นมะเร็งเพื่อรักษาโรค
3.
เวชศาสตร์นิวเครีย คือวิทยาการด้านการแพทย์สาขาหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้สารกัมมันตรังสีในการตรวจวินิจฉัย หรือ รักษาโรคบางชนิดเช่น โรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ สารกัมมันตรังสี  ( Radioactivity ) หรือ ราดิโอนิวไคลด์ ( Radionuclides ) คือสารที่มีโครงสร้างอยู่ในสภาวะไม่เสถียร จะมีการสลายตัวปล่อยอนุภาคและรังสีชนิดต่างๆออกมา ได้แก่ อนุภาคอัลฟ่า อนุภาคเบต้า และ รังสีแกมม่า สารกัมมันตรังสีมีทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติ และ มนุษย์ผลิตขึ้น ตัวอย่างสารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้งานทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เช่น Tc-99m, Tl-201, Xe-133, I-131สารเภสัชรังสี ( radiopharmaceuticals ) หมายถึง สารเคมีที่ติดฉลากด้วยสารกัมมันตรังสี ซึ่งสารเคมีนี้จะมีโครงสร้างและคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะใช้นำเข้าไปในร่างกายเพื่อการวินิจฉัยโรค
Share:

ผู้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่มีความขาดแคลนต่อการแสดงข้อมูลยืนยัน


กรณีใดเป็นการปรากฎของมนุษย์ต่างดาว

ผู้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง แต่มีความขาดแคลนต่อการแสดงข้อมูลยืนยัน จากที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ด้วยเพราะสองประเด็นใหญ่คือ

1.ถูกปกปิดข้อมูลโดยรัฐบาล (อเมริกา)
2.มีข้อขัดข้องต่อหลักการวิทยาศาสตร์ ที่จะให้ประชาคมมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องเพื่อเข้าใจแต่ละปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

จึง เป็นเงื่อนไขทำให้มีช่องว่าง และมีรายละเอียดต่างๆน้อยมาก กลอุบายที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาใช้ปกปิดต่อประชาคมโลก เป็นเรื่องผิดปกติโดยเฉพาะในสหรัฐฯเอง แน่นอนยิ่งมองเห็นความเป็นไปได้ เรื่องมนุษย์ต่างดาวมีน้ำหนัก

กลายเป็นแรงจูงใจเห็นความไม่โปร่งใส และเป็นเรื่องปกติที่สาธารณะเมื่อไม่ได้รับข่าวสารจากรัฐบาล จำต้องสืบค้นความลับให้ประจักษ์ในด้านต่าง แม้แต่ประดิษฐ์กรรมเครื่องบินที่ปกปิด ที่ออกแบบหรือปรับปรุงใหม่โดยรัฐบาล อาจถูกนำไปกล่าวขวัญถึงยานมนุษย์ต่างดาวในที่สุด

ครึ่งหนึ่งของ ประชาคมโลกเชื่อข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ ว่ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกยิ่งจะทำให้ตกใจได้ขึ้นไปอีก หากเกิดจู่ๆเป็นข่าวที่น่ากลัว จากเหตุหนึ่งเหตุใด

สำหรับเครื่อง ยนต์ กลไกของยานมนุษย์ต่างดาวนั้นยากจะนึกออกว่ามีลักษณะเช่นใดจึงมีความสามารถ เดินทางข้ามระหว่างจักรวาลได้ เพราะด้วยระยะทางนับร้อยนับพันปีแสง และระหว่างทางเต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น หลุมดำ แรงโน้มถ่วง ที่เป็นรอยต่อระหว่างระบบดาว สสารมืดที่มีทั่วไปถึง 70% กลุ่มอุกกาบาต หรือ เรื่องเชื้อเพลิงพลังงาน การดำรงชีพตลอด ระยะการเดินทาง เป็นต้น

เพราะ ฉะนั้นระบบเทคโนโลยีคงไม่เหมือนบนโลกที่เข้าใจแน่ และทำไมยานมนุษย์ต่างดาวต้องลงจอด เฉพาะในสหรัฐอเมริกาหลายครั้งเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งสร้างความสงสัยว่าเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของมนุษย์ต่างดาว จากข้อกล่าวหา

กระทั่ง มีการอ้างขึ้นอย่างไม่รู้ โดยความเป็นจริงนักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ลดล่ะต่อเรื่องนี้ เหตุผลซึ่งอธิบายได้คือ มีการติดตามปรากฎการณ์แปลกๆและสำคัญเสมอ แต่เมื่อพิสูจน์แล้ว ไม่เคยเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว

เพราะแม้แต่ลูกเห็บตกจากท้องฟ้า นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องเฝ้าติดตาม ตลอดเวลา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จำต้องแสดงเหตุอย่างประจักษ์แจ้งในทางกายภาพ ถ้า UFO หรือมนุษย์ต่างดาวเข้ามาสู่โลกจริง เรดาห์ระบบของสนามบินทั่วโลกสามารถ ตรวจจับและรายงานวัตถุลึกลับนั้นได้ทันที หรือระบบดาวเทียมจำนวนมากของหลายประเทศก็ตรวจจับได้

นอกจากนั้นยัง มีหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ จำนวนนับ ร้อยหลายที่เฝ้าคอยตรวจสอบท้องฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างไม่เคยหลับ แต่ก็ไม่เคยพบและพิสูจน์ได้ว่าเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว

ยังไม่เคย มีห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ในโลกที่หนึ่งที่ใด ที่ได้รับชิ้นส่วนแม้แต่ชิ้นเดียวเกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว เพื่อทำการวิเคราะห์ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพอากาศสหรัฐฯ สามารถเก็บตัวอย่างชิ้นส่วน เรียกว่า Space junk (ขยะอวกาศ) ได้แล้วมากกว่า 1,000 ชิ้น จากสถานีอวกาศสากล จากดาวเทียมที่หมดสภาพการใช้งานและดาวเทียมที่ใช้งานปกติ แต่ยังไม่เคยพบชิ้นส่วนใดๆที่แสดงถึงหรือเกี่ยวข้องกับ มนุษย์ต่างดาวเลย

อย่าง ไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ ยังมีความหวังและเชื่อว่าสักวันหนึ่งอาจมีมนุษย์ต่าง มาเยือนโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใฝ่ฝันที่จะต้อนรับเช่นกัน ซึ่งจะได้รู้ว่า มนุษย์ต่างดาวนั้น มีความฉลาดรอบรู้ หรือหน้าตาเป็นอย่างไร แม้ว่าเป็นเรื่องยากจะเกิดขึ้นก็ตาม

หลายประเด็น แสดงเหตุผลอย่างเลื่อนลอย ไม่ใช่เพราะเลื่อนลอย แต่หมายความว่าขาดแคลนพยานหลักฐานที่ประจักษ์แจ้ง ทำให้การอ้างขาดน้ำหนัก ความเชื่อถือ

แต่ถ้ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกจริง แต่ขาดพยานหลักฐานเพราะ ไม่ต้องการให้มนุษย์รู้ และบางคนเชื่อว่ามีจริง ก็ไม่สามารถหยุดความเชื่อนั้นได้ เพียงแต่จะไม่สามารถอ้างอิง บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ได้เท่านั้น

ข้อสรุป ความสำคัญอยู่ที่การแบ่งแยกระหว่าง ข้ออ้างและมนุษย์ต่างดาว ที่เข้ามาเยือนโลก (หรือเคยมาในอดีต) และความเป็นไปได้ของอารยะธรรมที่มี หลังจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 การท่องอวกาศมีความเป็นจริงขึ้นเพราะเหตุใด นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากทดลองจนสำเร็จเป็นจริง และการท่องของโลกอื่นก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีและอารยธรรม แม้วันนี้โลกเพียงมีความสามารถเดินทางสู่ดวงจันทร์ได้ อนาคตอาจสู่ถิ่นฐานที่ไกลขึ้น แม้ยังมีข้อโต้แย้งมากมาย แต่เวลาที่ผ่านไปและมีอารยะธรรมเกิดขึ้นเป็นไปแบบปกติ อาจมีหนทางเดินทางสู่ดาวอื่น และดาวอื่นก็มีหนทาง มาสู่โลกเช่นกัน
Share:

การมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวครั้งโบราณ

ความ เชื่อของคนส่วนใหญ่เรื่องมนุษย์ต่างดาว เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้นโบราณเดินทางมาด้วยยาน วันนี้ก็เช่นกัน หลายคนยอมรับไปแล้วว่ามนุษย์ต่างดาว เคยมาเยือนโลกจริงๆ ความคิดบนโลกกรณีดังกล่าวฟังดูน่าจะเป็นไปได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารยธรรม ที่เจริญเกิดขึ้นในกาแล็คซี่ โลกให้ความสนใจต่อมนุษย์ต่างดาว แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่า ยานต่างดาวนั้นเข้ามาศึกษาโลก เมื่อพันล้านปีที่แล้ว หรือ บรมยุคกำเนิดโลก ก่อนพัฒนาการระบบมนุษย์หรือไม่

หรือเข้ามาศึกษามนุษย์หลังจากเกิด อารยธรรมแล้ว แต่มีผู้คนจำนวนหนึ่งอ้างว่า กรณีมนุษย์ต่างดาวเยือนโลก มีพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ หลักฐานดังกล่าวคือ การแสดงรูปแบบลายเส้น ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกสนับสนุน เหตุผลการมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาว เป็นตำแหน่งเห็นชัดจากอวกาศ สำหรับการลงจอดยาน

ทางโบราณคดี มีความประหลาดใจ จากข้อสันนิษฐานต่อครื่องมือที่ใช้การกระทำดังกล่าว การอ้างทางโบราณคดีด้วยความรู้เช่นนั้น ยังไม่สามารถที่จะเป็นข้อสรุปเกิดจากฝีมือมนุษย์ต่างดาวเช่นกรณี ร่องรอยลายเส้นบนพื้นของ Nazca desert ในประเทศเปรู
Share:

วงกลมปริศนา และการลักพาตัว

ความ หายนะ UFO ของมนุษย์ต่างดาวที่ Roswell ถูกสงสัยถึงคำอธิบายต่างๆจึงไม่สามารถพาดพิงไปในแง่ความสำเร็จให้มีน้ำหนัก พอ เรื่องการเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาวได้สมบูรณ์นัก

เพื่อให้มีความ เป็นจริงต่อการเปิดเผย สู่สาธารณชน เพื่อให้เกิดการพิสูจน์ เรื่องเห็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งหน้า ในฐานะเพื่อนบ้าน เช่น การลักพาตัว (Abductions) หรือวงกลมปริศนา (Crop circles) และอีกหลายเรื่อง เช่น ปรากฎการณ์ทำลายปศุสัตว์ในฟาร์มวัว และกัดกินแพะ เป็นต้น

วงกลม ปริศนา เกิดขึ้นครั้งแรกในอังกฤษ รูปแบบใช้หลักเกณฑ์ทางเรขคณิตเพื่อเจตนาให้เห็นเป็นลักษณะความสามารถ สื่อความหมายจากต่างดาว โดยเป็นการติดต่อด้วยวิธีสากลสู่มนุษย์ ให้ทันสมัยขึ้นตามยุค

แต่เมื่อพิสูจน์แล้วผลคือ การกระทำดังกล่าวเป็นฝีมือ มนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ยาก ช่วงไม่เกินข้ามคืน เป็นการเล่นตลก มิใช่ข้อความจากต่างดาว

ประดิษฐกรรม ที่เกิดขึ้นบนทุ่งหญ้า มีมากขึ้นเรื่อยๆ การออกแบบมีความซับซ้อนน่าเชื่อมากขึ้นตามลำดับ เพื่อให้เกิดการตีความที่พิศดารออกไป หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการสร้างวงกลมปริศนา ยอมรับว่าต้องการเล่นตลก
Share:

สิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์

มนุษย์ต่างดาว (Alien) เป็น
สิ่งที่เชื่อว่าอาจมีอยู่จริงแต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ ลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก ซึ่งในความคิดของคนส่วนใหญ่ มักจะวาดภาพ มนุษย์ต่างดาว ลักษณะคล้ายคนแต่ ตัวเขียว หัวโต ตาโต เคยมาเยือนโลก
ได้มีการแบ่งประเภทการเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวไว้ 5 ระดับ คือ
  • การเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง (Close Encounters of the First Kind) หมายถึง การได้พบปะหรือเจอะเจอกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวในระยะที่ไกลห่างออกไป เช่น จานบินลอยอยู่บนท้องฟ้า หรืออยู่ห่างจากผู้ที่พบเจอในระยะ 50 หลา เป็นต้น
  • การเผชิญหน้าระดับที่สอง (Close Encounters of the Second Kind) หมายถึง การพบปะกับจานบินหรือมนุษย์ต่างดาวคล้ายกับการเผชิญหน้าระดับที่หนึ่ง แต่อยู่ในระยะที่ใกล้ขึ้น เช่น อาจพบจานบินที่จอดอยู่บนพื้น เป็นต้น
  • การเผชิญหน้าระดับที่สาม (Close Encounters of the Third Kind) หมายถึง การได้เข้าไปในจานบินจะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และ สามารถออกมาได้ ในปี 1977 ได้เอาชื่อนี้มาสร้างหนัง มนุษย์ต่างโลก
  • การเผชิญหน้าระดับที่สี่ (Close Encounters of the Fourth Kind) หมายถึง การที่ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป อาจจะถูกทดลองด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา แต่สามารถจดจำประสบการณ์ได้และออกมาได้
  • การเผชิญหน้าระดับที่ห้า (Close Encounters of the Fifth Kind) หมายถึง การที่มีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในระดับที่เป็นกิจจะลักษณะ สามารถสื่อสารกันได้ความระหว่างมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว
Share:

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

10 อันดับ สถานที่สยองขวัญ ประเทศไทย

ดถึง เรื่องวิญญาณย่อมมีทั้งคนที่เชื่อว่า "มีจริง" และ "ไม่เชื่อว่ามีจริง" นอกจากคนสองกลุ่มนี้ยังมีอีกสองกลุ่มคือ "เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง" และ"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีทัศนะ ต่อผีต่อวิญญาณในกลุ่มไหนก็ตาม หากขอให้ไปเดินเล่นคนเดียวในป่าช้าตอนเที่ยงคืน เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครเล่นด้วยเด็ดขาด. บุคคลทั่วไปเชื่อว่า สถานที่ซึ่งควรจะเป็นที่ชุมนุมผีชมรมวิญญาณ คือป่าช้าทั้งหลายนั่นเอง ดังนั้นป่าช้าจึงได้รับการยกย่อง ให้เป็นที่สยองขวัญระดับสุดยอด และดูเหมือนไม่เคยตกอันดับทุกยุคทุกสมัย สถานที่สยองขวัญนอกจากป่าช้าแล้ว ก็ยังมีที่อื่นอีกกระจายไปทั่วทุกๆจังหวัด สำหรับสถานที่ใดได้รับการย่อง ให้เป็นอาณาบริเวณสยองขวัญชวนขนหัวลุก จะต้องมีมาตรฐานประการสำคัญนั่นคือ จะต้องมีผี หรือ วิญญาณปรากฏซ้ำซาก มีประวัติน่าหวาดเสียวระทึกใจ และต้องมีพยานรู้เห็นหลายครั้งหลายหนเป็นที่น่าเชื่อถือได้ และ 10 อันดับนั้นก็คือ
ในซอยวัชรพล

เป็น หมู่บ้านร้างตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการ ไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้าง จึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คน ประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้ จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่า ผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก

ในซอยวัชรพลเช่นกัน
เป็น บ้านทรงยุโรปหลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่ง และว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชายหญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆ สาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้าง เนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัด และประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน



โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรมบางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)
สถาน ที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง คือเครื่องปั๊มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้นคนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอน จนต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศ เจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงาน และกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมาก ปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั๊มลมมรณะก็ยังอยู่


วัดปราสาท จ.นนทบุรี
วัด ปราสาท จ.นนทบุรี เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปี ด้านหลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวี ชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ " เวลากลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมาก ผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่ มักจะพบกับเหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก


ในซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ

ใน ซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถ.พัฒนาการ เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกา และเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคน ผู้ลงทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการ หากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้าง จะสัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่าหากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่งตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที



รังสิต คลอง 13
จาก ถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร มีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลัง แต่ยังเหลือซากบ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่า มีผู้หญิงตายในกองไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้าง คนในระแวกใกล้เคียงต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืน จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆ พร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้านด้วย



ในซอยรอดอนันต์ 1 ถ.สุขาภิบาล1
เป็น บ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึง ห่างไกลจากบ้านอื่นๆ ในระแวกนั้นบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยคุณยายเจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่า วิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่าผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้านเมื่อมี เด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน

ในซอยสายหยุด อู่รถเมลล์เก่า

ที่ นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสารประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การ ไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละคันมีประวัติคนตายโหงคารถ ในสภาพสยดสยองมาแล้ว และเป็นที่เล่าลือกันว่า อยู่ดีๆไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไปบางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ

วัดมหาบุศย์ พระโขนง

ที่ วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่ สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาคพระโขนง ที่รู้กันแพร่หลายเล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาละวาดหลอกหลอน จนชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต ( วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผีวนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน

ในซอยรามคำแหง 32

ลึก เข้าไปในซอยรามคำแหง 32 ท่านจะพบบ้านทรงสเปนหลังหนึ่งรูปทรงสวยสง่าน่าอยู่ แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า 20 ปีแล้ว ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องให้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป
Share:

ตั้งกระทู้ ผงะ!! พบศพลอยอืดในแทงค์น้ำโรงแรมมะกัน แขกไม่รู้ใช้น้ำกิน-อาบ

สื่อ มะกันเผยแพร่เรื่องราวอันน่าสยดสยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย พบแทงค์น้ำบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเก่าแก่แห่งหนึ่ง  ย่านดาวน์ทาวน์  มีศพของหญิงสาวที่ลอยอืด เหม็นคละคลุ้ง
ทั้งนี้ แขกของโรงแรมได้แจ้งว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำ แขกบางรายพบว่ามีน้ำเป็นสีดำในช่วงแรก แต่ก็หายไป จน กระทั่งช่างไปตรวจสอบก็ถึงกับผงะ พบศพ นางสาวเอลิซ่า เลม นักศึกษาชาวแคนาดา วัย 21 ปี โดยที่ศพลอยอืดมาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สอดคล้องกับคำให้การของบรรดาญาติๆที่ระบุว่าผู้ตายหายตัวไปเมื่อช่วงต้น เดือน และทางแขกของทางโรงแรมก็ไม่รู้เลยว่า น้ำที่ใช้กินใช้อาบนั้น เป็นน้ำจากแทงค์ที่มีศพอยู่

ทั้ง นี้ โรงแรมดังกล่าวไม่ได้ชี้แจงใดๆกับแขก สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างขนหัวลุก และขวัญผวา เนื่องจากที่ผ่านมาน้ำที่ใช้บริโภคเป็นน้ำศพ และพากันย้ายออกไปพักที่โรงแรมอื่นทันที
Share:

10 เรื่องเล่า ผี ในมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา

1.ที่มาของชื่อ "ศาลายา"
เชื่อ กันว่าชื่อ "ศาลายา" นี้มาจาก ในสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เกิดโรคระบาดหรือโรคห่าลง เด็ก ผู้ใหญ่ ฯลฯ ผู้คนมากมายนอนตายทับถมเป็นกองสูง
ศพที่ไม่ได้นำไปเผาก็ถูกทิ้งให้แร้ง จิกกินเป็นที่น่าสังเวช เช่นเดียวกับประตูผีที่ วัดสระเกศ บริเวณภูเขาทองในปัจจุบัน ทางการจึงตั้งศาลาแห่งหนึ่ง
ไว้เพื่อส่งมอบยาแก่ชาวบ้าน ต่อมาจึงเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "ศาลายา"


2.เพลงรักน้อง "เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม..."
นั่น คือเนื้อเพลงรักน้องหรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปาก เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายา มีเรื่องเล่ากันว่านักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง
ถูก ผู้เป็นพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ ด้วยความเสียใจกอปรกับคิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้ว นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้า
ของหอพักและเขียนข้อความ สั้นๆนี้ไว้ จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพลงรักน้อง จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษา
พยาบาลคนนั้น ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง >มิฉะนั้น
จะ เท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียง ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระ
โดดลงจากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วย พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆอยู่เลย


3.SI วันมหิดล เตียงC
อีก หนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งกล่าวถึงนักศึกษา คณะแพทย์ศิริราช(ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่าSI)ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียน
หอ พักในวันนี้ของทุกๆปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความเฮี้ ยนสุดยอด
ใน วิทยาเขตศาลายา นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัยอาจเป็น เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึง
ไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไป เรียบร้อยแล้วห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่อง ถูกปิดตาย ทราบแต่เพียงว่า เตียงCของนัก
ศึกษาSIในคืนวันมหิดลเท่านั้น ที่จะพบเห็นเค้าได้ ถ้าอยากทราบว่าความเฮี้ยนนั้นจัดขนาดไหน? ก็ลองสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดถึง
เรื่องนี้ในคืนนี้ >ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นที่สนุกปากขนาดไหนก็ตาม


4.เชือกในห้องน้ำ
เรื่อง นี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆมีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า ช่วงปิดเทอมเดือนตุลา แม่บ้านคนหนึ่งได้ผูกคอตายในห้องน้ำชาย ห้องดังกล่าว
ได้ ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า "ห้องน้ำเสีย" นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจาก
ประตู เจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง แม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตา
ไป เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า>"เค้ากลับต่างจังหวัด" ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้าน
ผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบหล่อนด้วย คุณคือผู้โชคดีแล้ว


5.ผีถ้วยแก้ว
ขอ ยกเรื่องเล็กๆให้ฟังพอหอมปากหอมคอละกัน ก็มีอยู่ว่า... นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เล่นผีถ้วยแก้วในบริเวณหอพัก ทีนี้เมื่อเล่นจบก็ถกเถียงกันว่า
ใครเป็นคนดันแก้ว เมื่อไม่มีข้อสรุป และด้วยความไม่เชื่อในเรื่องผีสางทั้งหมดก็เดินออกไปหน้า ม.เพื่อหาข้าวกิน เพื่อนต่างคณะที่นั่งรถแท็กซี่
เข้ามาได้สวนกับนักศึกษากลุ่มนั้นพอดี ภาพที่เห็นก็คือ ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณศาลใกล้คณะอินเตอร์ และได้ยกมือชี้ ร้องไล่ให้
ผู้หญิงในกลุ่มออกไป แต่ทุกคนกลับไม่มีใครใส่ใจ เมื่อมาถึงหอนักศึกษาคนหนึ่งก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า "นี่ เมื่อกี๊เล่นผีถ้วยแก้ว มันบอกว่าเป็นผู้หญิง
ว่ะ อย่าให้กูจับได้นะว่าใครเป็นคนดัน" เพื่อนก็รีบเล่าเรื่องที่ชายแก่ไล่หญิงสาวในกลุ่มให้ฟัง ทุกคนก็ยืนยันว่ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ ชายแก่คนดังกล่าว
อาจเป็นวิญญาณเจ้า ที่เจ้าทางที่รู้จักกันในนาม"พ่อปู่จันธูป"หรือ "เจ้าขุนทุ่ง" ส่วนผู้หญิงคนดังกล่าว >จะเป็นคนเดียวกับในถ้วยหรือเปล่า? โฮะๆ
คิดเอาเอง


6.เรือนไทย

เรือนไทยเป็นเรือนสีแดงสดตั้งอยู่ตรงข้ามตึกวิทย์เก่า เดินเข้ามาไม่ไกลก็จะพบได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสวยงามและอากาศเย็นสบาย ทำให้
เรือน ไทยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม นักศึกษาหลายกลุ่มมานั่งติวหนังสือกันที่นี่ และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ เรือนไทยมีมากมาย เพราะความคลุมเครือในที่มาของเรือนไทยโบราณหลังนี้ เมื่อ2ปีก่อน นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปอ่านหนังสือ
บริเวณเรือนไทย เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพักก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆคล้ายผมของใครบางคน
ปลิว ไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้ม
แสยะเห็นฟันดำขลับ นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันที>พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วย เหลือ-ทำการปฐมพยาบาล >รุ่นพี่เล่าต่อๆกันมาว่าเสา
ต้นหนึ่งในเรือน ไทยตกน้ำมันได้ >ถ้าคุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ"ความแรง"ของที่นี่ >มีเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าที่เรือนไทยนี้อากาศเย็นสะท้านตลอด เวลา
ไม่ว่าจะฤดูอะไร และวันนั้นแดดจะแรงขนาดไหนก็ตาม:-)


7.หอชาย
เชื่อหรือไม่? ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความ
เป็น มาตรงนี้เลย หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10) ก็มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย
ภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวน
มาก ที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือ 1.บันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดิน
ทางนี้ บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี นอกจากวิ่งชนหรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง2.ทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่าง
ของหอ นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน โถฉี่ในหอพักหญิงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี แต่อย่าหวังคำตอบจากเจ้าหน้าที่หอเกี่ยว
กับสาเหตุที่ย้ายมา เพราะต่อให้ตาย "...เค้าก็ไม่ตอบคุณหรอก"


8.คอนโดC ห้องxxxx
คอน โดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโดCซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์ และประไว้ที่หน้าประตูอีก
หนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี
ประวัติ ของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า ช่วงปิดเทอมเมื่อ4-5ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย กว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่า เฟะ เละจน
แทบจำไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี2 น้อยใจแฟนก็เลยประชดด้วยการลาโลก พองานศพเสร็จ เพื่อนๆทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คน
ที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำบางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆ ที่ไม่มีใคร แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่า
นักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้อง
เจ้า ปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!!! รูมเมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่
ถูกทอดทิ้ง หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า-ข้าวของ >เปิดปิด เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอทสุดๆและเฮี้ยนสุดๆ
ในรั้วศาลายา


9.ตู้ผี
ฟัง ชื่อแล้วต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังผีเกาหลีเกรดบี แต่นี่คือเรื่องจริงของนักศึกษาดวงซวยสุดๆในคืนวันมหิดล เมื่อสองปีก่อน ช่วงสอบกลาง
ภาคตรงกับวันมหิดลพอดี >นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ภายในห้องพัก กำลังจะไขกุญแจตู้เสื้อผ้าไปอาบน้ำ เครียดก็เครียด
อ่านก็ไม่ทัน ไหนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ความซวยก็เข้าเยือนต่อทันที ขณะเดียวกันเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากข้างใน คว้า
ท่อนแขนนักศึกษาโชคร้ายและพยายามดึงเข้าไปในตู้ เท่านั้นแหละ...เสียงกรี๊ดดังลั่นมาถึงหอชาย เพื่อนร่วมห้องได้ยินก็กระวีกระวาดมาดู เห็น
เจ้าหล่อนเป็นลมนอนฟุบอยู่ กับพื้นห้อง จึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่หอให้รับตัวไปโรงพยาบาลทันทีสอบถามจากเจ้า หน้าที่หอพักก็ตีหน้าซื่อ แก้ตัว
กับเหตุการณ์นี้ว่า "สงสัยเค้าจะเครียดมากไป" เป็นอันว่าเรื่องสยองในคืนวันมหิดลก็ยังเป็นปริศนาต่อไป ยาวไปหน่อย แต่อ่านแล้วขนลุกได้เลย
Share:

เสียงฝีเท้าใครเอ่ย

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใหม่ๆครับ เป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นวิทยาเขตแห่งแรกของประเทศและที่ตั้งเป็นที่เก่าแก่ เล่าลือกันว่าผีดุมาก มีเรื่องเล่าหลอกน้องใหม่อยู่สองสามเรื่องเกี่ยวกับเด็กนุ่งโจงกระเบนจะมา นั่งซ้อนท้ายจักรยานหากขี่ไปคนเดียวบ้าง เรื่องของ สาวสไบเขียวสไบแดงที่มาปรากฏตัวให้เห็นยามดึกบ้าง ฯลฯ

แต่เรื่องที่ผมเจอมานั้น ผมเองก็ไม่ แน่ใจเหมือนกันว่า เกี่ยวข้องกับตำนานบทไหนของที่นั่นบ้างหรือไม่ ตอนเข้าไปใหม่ๆต้องมีการรับน้อง ที่นั่นรับกันเป็นเดือนล่ะครับ ช่วงแรกที่ว้ากผู้ชายจะโดนก่อน สองสามสัปดาห์ วันสุดท้ายของการว้ากชาย ผมป่วยเป็นอีสุกอีใส รุ่นพี่เลยอนุญาตให้พักได้ ไม่ ต้องลงว้าก คือไข้มันขึ้นสูงก่อนที่เม็ดจะออกนะครับ(ใครเคยเป็นคงทราบ) และตามกำหนดนี่ ทางสโมสรนักศึกษาเค้ากำหนดว่าวันนั้นจะต้องเป็นวันสุดท้ายของการรับน้อง เดี่ยวได้แล้ว (และเริ่มรับน้องรวม คณะไหนจะเลิกก่อนก็ได้แต่ห้ามเกินวันนี้) และก็จำเพาะว่าทุกคณะจะ ต้องมาว้ากวันสุดท้ายวันนั้นพอดี(ตอนนั้นมี 5 คณะ)

ผมก็เลยนอนอยู่บนหอเกือบจะคนเดียว เพราะพวกปีหนึ่งไปโดนว้ากแล้วพวกรุ่นพี่ก็ไปว้ากน้องงัยครับ ห้องที่ผมพักนั้นเป็นหอพักรุ่นแรกๆของมหาวิทยาลัย มีห้าชั้นรวมดาดฟ้า และห้องที่ผมพักนั้น เป็นห้องที่อยู่สุดทางเดินชั้นสี่พอดี เป็นห้องที่กว้างกว่าห้องอื่นๆ ชั้นหนึ่งๆจะมีห้องเช่นนี้เพียงสี่ ห้องแต่ก็จะมีคนพักมากกว่าห้องธรรมดาเหมือนกัน ห้องผมพักกันห้าคน แต่มีเตียงเพียงสามหลัง ก็เลยต้องเอาเตียงทั้งหมดมาต่อกันถึงจะนอนกันพอ เข้ามุมห้องพอดี ด้านข้างจะเป็นกำแพง ส่วนอีกด้านหัวนอนจะเป้นหน้าต่าง วันนั้นผมก็ นอนอยู่ในห้อง

ประมาณสามทุ่มได้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้ยินเสียงเค้ารับน้องกัน ใกล้ๆ ในห้องตอนนั้นมืดมาก เพราะผมนอนไปตั้งแต่เย็น ตามันเลยยังปรับไม่ได้ด้วย ก็เลยนอนอยู่ อย่างนั้น

ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่างข้างๆหู รู้สึกว่าเป็นเสียงที่ดังอยู่ในห้องนี่ แหละ ผมพยายามฟังอยู่สักครู่ก็ทราบว่าเป็นเสียงเดินลากเท้าดังแสกๆๆๆๆ มันดังมาจากทาง หน้าประตู ผมก็เริ่มขี้ขึ้นหัวแล้ว (ขอโทษนะครับที่ใช้คำนี้ แต่ตอนนั้นมันเป็นอย่างนี้จริงๆ) เพราะ โดนรุ่นพี่ขู่ไว้มาก อีกอย่างผมเป็นคนกลัวผีมากๆด้วย

เสียงฝีเท้านั้นเหมือนเดินตรงเข้ามาที่เตียง ผมเลยหลับตา บทสวดอะไรก็นึกไม่ออก นึกถึงพ่อ แม่อย่างเดียว สักพักเสียงเดินนั้นมันก็ผ่านมาข้างๆเตียง แล้วผ่านไปทางหัวนอน วกกลับมาอีก ด้านหนึ่งของเตียงแล้ววนมาที่ปลายเตียงอีกครั้ง เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณสี่ห้ารอบ

รุ่นพี่ของผม คนหนึ่งก็เปิดประตูห้อง เปิดไฟ เข้ามาเรียกผมลงไปกินข้าวกับเพื่อนก่อนจะเปิดใจ(กิจกรรมรับน้อง) ผมลุกพรวดเข้าไปหาแกเลยทันที แกยังบอกเลยว่า สงสัยผมหายป่วยแล้ว แต่พอพี่เค้า เห็นหน้าผมแกก็เลยรีบพาลงไปข้างล่าง ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ๆเพื่อนๆฟัง เค้าว่าผมคงเพ้อเพราะ ไข้ไปเอง แต่พอเรากลับถึงห้องพักสิครับ เพื่อนๆถึงกับอึ้งไปเลย เรียกใครต่อใครมาดูกันใหญ่

เพราะที่ห้องผมนั้นเต็มไปด้วยรอยเท้าเปื้อนโคลนเต็มรอบเตียงไปหมด เป็นรอยเท้าที่ข้างขวาลง น้ำหนักเต็ม ส่วนข้างซ้ายนั้นลากตามมาเหมือนคนขาเสีย รอยนี้ยังเปื้อนเข้าไปถึงใต้เตียงด้วย เพื่อนๆก็เลยมานั่งคุยกันเรื่องนี้ ว่ามันอาจเป็นขโมยก็ได้ ผมก็แย้งว่าแล้วมันเดินไปใต้เตียงทำไม ถามเฉยๆครับ ทุกคนก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ มันเข้าไปเดินไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเตียงต่ำมาก นอกจากว่า คนๆนั้นจะเลื่อนเตียงออกจากข้างผนังเสียก่อน

หรือไม่ก็คือเค้าต้องสามารถเดินผ่านเตียงไปได้ เลย ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็เลยย้ายไปอยู่ห้องอื่นเลยครับ ขอโทษนะครับ อาจจะยาวไปหน่อย แต่ผมอยากให้เห็นภาพครับ

ที่มา ที่มา shockfmclub
Share:

ที่โรงแรม

ประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน7คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ่อนผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน
จนกระทั่งใกล้จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ "ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!" เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้น และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุกสนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง
น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใครเจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ
แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บน ไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์ งานกันในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดินออกมาปิดล็อกห้องอย่าง ดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี ฉันจึงตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที
สี่วันผ่านไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้ว
อยู่มานานแล้ว.......
คิดแล้วปวดใจ และคุยกันว่า ถ้ามาอีกทีไปหาที่อื่นพักกันเถอะ....
Share:

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดาวเนปจูน (อังกฤษ: Neptune)

ดาวเนปจูน (อังกฤษ: Neptune) หรือชื่อไทยว่า ดาวสมุทร[หรือ ดาวเกตุ คือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะลำดับสุดท้ายที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ (ขึ้นอยู่กับการโคจรของดาวพลูโต ซึ่งบางครั้งจะเข้ามาอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่า แต่ปัจจุบันดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว) ตัวดาวมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เป็นอันดับที่ 4 รองจากดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และมีมวลเป็นลำดับที่ 3 รองจากดาวพฤหัสและดาวเสาร์ คำว่า "เนปจูน" นั้นตั้งชื่อตามเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของโรมัน (กรีก : โปเซดอน) มีสัญลักษณ์เป็น (♆)
ดาวเนปจูนมีสีน้ำเงิน เนื่องจากองค์ประกอบหลักของบรรยากาศผิวนอกเป็น ไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทน บรรยากาศของดาวเนปจูน มีกระแสลมที่รุนแรง (2500 กม/ชม.) อุณหภูมิพื้นผิวอยู่ที่ประมาณ -220℃ (-364 °F) ซึ่งหนาวเย็นมาก เนื่องจาก ดาวเนปจูนอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก แต่แกนกลางภายในของดาวเนปจูน ประกอบด้วยหินและก๊าซร้อน อุณหภูมิประมาณ 7,000℃ (12,632 °F) ซึ่งร้อนกว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก
ยานวอยเอเจอร์ 2 เป็นยานอวกาศจากโลกเพียงลำเดียวเท่านั้น ที่เคยเดินทางไปถึงดาวเนปจูนเมื่อ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ภาพของดาวเนปจูนซึ่งได้ถ่ายลักษณะของดาวมาแสดงให้เราเห็นจุดดำใหญ่ (คล้ายจุดแดงใหญ่ ของดาวพฤหัส) อยู่ค่อนมาทางซีกใต้ของดาว มีวงแหวนบางๆสีเข้มอยู่โดยรอบ (วงแหวนของดาวเนปจูน ค้นพบก่อนหน้านั้น โดย เอ็ดเวิร์ด กิแนน (Edward Guinan)
ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวาร 8 หรือ 13 ดวง และดวงใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า ไทรทัน


ประวัติการค้นพบ
ในปี พ.ศ. 2389 เออร์เบียง เลอ เวอร์ริเยร์ (Urbain Le Verrier) คำนวณว่า ต้องมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัส จนเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2389 โจฮันน์ จี. กาลเล (Johann G. Galle) นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันแห่งหอดูดาวเบอร์ลิน ได้ค้นพบดาวเนปจูน ในตำแหน่งใกล้เคียงกับผลการคำนวณดังกล่าว
Share:

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ดาบซามูไร ตำนานของอาวุธสังหาร และงานศิลปะ

๑. ยุคดาบโบราณ (Ancient Sword) ก่อนคริสต์ศักราช ๙๐๐ (ก่อน พ.ศ. ๑๔๔๓) ยุคที่ดาบของ "อามากุนิ" ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการถลุงเหล็กเนื้อดีในสมัยนาร่า

๒. ยุคดาบเก่า (Old Sword) ราวปี พ.ศ. ๑๔๔๓-๒๐๗๓ ถือเป็นยุคทองของดาบซามูไร แทบไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ศิลปะไทย จะอยู่ในช่วงเดียวกับศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๘) จนถึงสมัยศิลปะสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๒๐) ในขณะที่ปี พ.ศ. ๑๘๔๐ เป็นปีที่ดาบของ "มาซามูเน่" ถือกำเนิดขึ้นและภูมิปัญญาขั้นสูงสุดที่ตกทอดเป็นมรดกของดาบชั้นยอด

๓. ยุคดาบใหม่ (New Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๑๓๙-๒๔๑๐ ซึ่งอยู่ช่วงเดียวกับศิลปะสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ คือช่วงสมัยเอโดะ และยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศห้ามคนเข้าออกอย่างเด็ดขาด (พ.ศ. ๒๑๘๒)

๔. ยุคดาบสมัยโมเดิร์น (Modern Sword) ราวปี พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึงปัจจุบัน ยุคที่ดาบทหารถือกำเนิดขึ้น (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๘๘) การผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการสงครามไม่มีพิธีกรรมแบบโบราณ ดาบญี่ปุ่นมัวหมองเพราะถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ การตัดคอเชลยศึกไม่ใช่ประเพณีของชนชั้นซามูไร พอมาถึงสมัยปัจจุบันดาบกลายเป็นงานศิลปะชั้นสูงที่มีราคาแพง



ชนิดของดาบซามูไร
ดาบมีหลายแบบและหลายประเภท แต่สามารถแบ่งชนิดหลักๆ ออกได้ ๓ ชนิดดังนี้

ดาบยาว (Long Sword)
๑. "ตาชิ" (Tachi) ดาบยาวของทหารม้า มีความโค้งของใบดาบมาก ใช้ฟันจากหลังม้า มีความยาวของใบดาบมากกว่า ๗๐ เซนติเมตร
๒. "คาตานะ" (Katana) ดาบที่มาแทนที่ดาบตาชิของทหารม้า ตั้งแต่กลางสมัยมุโรมาชิ (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) สามารถใช้ต่อสู้บนพื้นดินได้คล่องตัวกว่า เพราะมีความโค้งน้อยควบคุมได้ง่าย ความยาวใบดาบโดยประมาณ ๖๐.๖ เซนติเมตรขึ้นไปถึง ๗๐ เซนติเมตร

ดาบขนาดกลาง (Medium Sword)
"วากิซาชิ" (Wakizashi) ดาบที่ใช้พกพาคู่กับดาบคาตานะของซามูไร ใบดาบมีความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วถึง ๒๔ นิ้ว ดาบที่ซามูไรใช้สำหรับทำ "เซปปุกุ" เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้
ตามปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และโดยธรรมเนียมห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น

ดาบขนาดสั้น (Short Sword)
๑. "ตันโตะ" (Tanto) มีลักษณะคล้ายมีดสั้น ความยาวน้อยกว่าดาบวากิซาชิ
๒. "ไอกุชิ" (Aikuchi) คล้ายมีดไม่มีที่กั้นมือ ใช้สำหรับพกในเสื้อ เหมาะกับสตรี
Share: