-หมอผีต้องเสาะหา วิญญาณที่เฮี้ยน มาก ๆ เช่นผีตายท้องกลม
-เมื่อไปถึงป่าช้า หมอผี ต้องขอขมาอนุญาต นายป่าช้าก่อน เพื่อให้นายป่าช้าอนุญาต โดยการให้ธูปดับทันที
-เมื่อธูปดับแล้ว หมอผีต้องทำพิธีสื่อจิต เข้าไปในตัวผี จนเมื่อสื่อได้แล้ว หมอผีจะรู้ทันทีว่า ศพ ผีอยู่ไหน
-ระหว่างเดิน ทางเข้าป่าช้า ไปที่หลุมศพ หมอผีต้อง ต้องจิตให้นิ่งและภาวนาตลอด มิเช่นนั้นอาจถูกเล่นงานได้
-เมื่อถึงหลุมศพ หมอผีต้องทำพิธีเปิดธาตุทั้ง 4 ก่อน ที่จะขุด
-ระหว่างขุดหลุมขึ้นมาหมอผี ต้องใช้สมาธิจิตสูง และบริกรรมคาถากำกับ ตลอดเวลา
-เมื่อขุดศพ ขึ้นมาแล้ว หมอผีต้องกล่าว บอก ดวงวิญญาณว่าจะนำไปเลี้ยงดูหรือทำอะไร
-จากนั้นใช้ สิ่ว และค้อน อาคม ตอกหน้าผาก บริเวณ หว่างคิ้วของศพ โดยเชื่อว่าจุดนั้นเป็นจุดรวมวิญญาณ
-เมื่อนำส่วนของกะโหลกหน้าผาก มาแล้ว หมอผีต้องทำพิธี เรียกดวงจิตของดวงวิญญาณ เข้ามาประจำที่กระโหลกหน้าผาก
-และหมอผี ต้องจารอักขระ สายที่ตนเรียนมาเพื่อกำกับดวงวิญญาณ ให้อยู่ในโอวาท (ขั้นตอนนี้จะบอกได้ว่า เอาผีอยู่หรือไม่ เพราะสายวิชาที่เรียนมาอาจมีทั้ง แข็ง และ อ่อนกว่าอิทธิฤทธิ์ของผีนั้น ๆ)ฃ
-เมื่อเอาผี อยู่ หมอผีจะนำชิ้นส่วนกะโหลกหน้าผากนี้ติดตัวแบบหัวเข็มขัด(ปั้นเหน่ง) หรือ ห้อยคอ ไปด้วยเพื่อใช้ ในการปฏิบัติงานต่าง ๆ
-และต้องทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลไปให้วิญญาณดวงนั้น ๆ เสมอ เพราะทำไม่มีบุญวิญญาณจะไม่มีพลังเลย
ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก
ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก
ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย
ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ
ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้
ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ
1.ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
2.ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
3.สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4.อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย
อาถไสยศาสตร์. อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ
1.นิกายขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
2.นิกายดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์คาถา
มี 8 ประเภทคือ
1.พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
2.พระเวทย์ประสาน
3.พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
4.พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
5.พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
6.พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
7.พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
8.พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ