วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

งานประเพณีบุญหลวงการละเล่นผีตาโขน


ผีตาโขน เป็นการละเล่นชนิดหนึ่งของคนอีสาน ผู้เล่นจะสวมหน้ากากและแต่งตัวให้หน้ากลัว แต่ไม่ใช่การเชิญผีมาเข้าทรง เป็นการเล่นตลกอย่างหนึ่ง ในอดีตคนอีสานนิยมเล่นผีตาโขนในงานบุญบั้งไฟ และงานบุญผะเหวด(พระเวส)มาโดยตลอด เหตุที่มีขบวนแห่ผีตาโขน เพราะมีความเชื่อว่าเมื่อพระเจ้ากรุงสัญชัยกับพระนางผุสดีไปเชิญพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับเมือง ขบวนแห่แหนเข้าเมือง มีคนป่าหรือผีป่าที่เคยปรนนิบัติและเคารพรักพระเวสสันดรร่วมขบวนมาส่งด้วย

ผีตาโขน ในขบวนแห่จะแยกเป็น 2 ชนิดคือ ผีตาโขนใหญ่และผีตาโขนเล็ก

ผีตาโขนใหญ่ ทำเป็นหุ่นรูปผีทำจากไม้ไผ่สานมีขนาดใหญ่กว่าคนธรรมดาประมาณ 2 เท่าประดับตกแต่งรูปร่างหน้าตาด้วยเศษวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เวลาแห่ คนเล่นจะต้องเข้าไปอยู่ข้างในตัวหุ่น แต่ละปีจะทำผีตาโขนใหญ่เพียง 2 ตัวผีตาโขนชาย1ตัว หญิง1ตัว สังเกตจากเครื่องเพศปรากฏชัดเจนที่ตัวหุ่น ผู้มีหน้าที่ทำผีตาโขนใหญ่จะมีเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เพราะคนอื่นไม่มีสิทธิ์ทำต้องได้รับอนุญาตจากผีหรือเจ้าก่อน ถ้าได้รับอนุญาตแล้วต้องทำทุกปีหรือทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปี

ผีตาโขนเล็ก ทุกคนไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย มีสิทธิ์ทำและเข้าร่วมสนุกได้ทุกคน แต่ผู้หญิงไม่ค่อยเข้าร่วมเพราะเป็นการเล่นค่อนข้างผาดโผนและซุกซน

หน้ากากผีตาโขน หน้ากากผีตาโขนเล็ก ทำจากส่วนที่เป็นโคนของก้านมะพร้าวและหวดนึ่งข้าวเหนียว โดยนำมาเย็บติดกันแล้วเขียนหน้าตา ทำจมูกเหมือนผี ส่วนชุดแต่งกายของผีมักมีสีฉูดฉาดบาดตา โดยอาจเย็บเศษผ้าเป็นเสื้อตัวกางเกงตัวหรือเย็บเป็นชุดติดกันตลอดตัวก็ได้ ข้อสำคัญคือต้องคลุมร่างกายให้มิดชิด

ส่วนเครื่องแต่งตัวประกอบที่เป็นเอกลักษณ์ของผีตาโขนคือ"หมากกะแหล่ง"และดาบไม้

หมากกะแหล่ง คือเครื่องดนตรีรูปร่างคล้ายกระดิ่งหรือกระดึงแขวนคอวัว ผีตาโขนจะใช้หมากกะแหล่งแขวนติดบั้นเอวเมื่อเดินโยกตัวหรือเต้นเป็นจังหวะ ขย่มตัวสายสะโพกเสียงหมากกะแหล่งก็จะดังเสียงน่าฟังและน่าสนุกสนาน

ดาบไม้ เป็นอาวุธประจำกายผีตาโขนไม่ได้เอาไว้รบกัน แต่เอาไว้ควงหลอกล่อและไล่จิ้มก้นสาวๆ ซึ่งก็จะร้องวิ๊ดว้ายหนีกันจ้าละหวั่น ทั้งอายทั้งขำ แต่ไม่มีใครถือสา เพราะเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา เหตุที่วิ่งหนีเพราะปลายดาบนั้นแกะสลักเป็นรูปอวัยวะเพศชายแถมทาสีแดงให้ เห็นอย่างเด่นชัด การเล่นแบบนี้ไม่ถือเป็นเรื่องหยาบ หรือลามกเพราะมีความเชื่อกันว่าหากเล่นตลกและนำอวัยวะเพศชายหญิงมาเล่นมา โชว์ในพิธีแห่และงานบุญบั้งไฟจะทำให้พญาแถนพอใจ ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์

งานบุญหลวงประเพณีผีตาโขนของอำเภอด่านซ้ายจังหวัดเลย เป็นประเพณีสำคัญ เพราะอยู่ในฮิดสิบสองเดือนสี่งานบุญผะเหวด (พระเวส) แห่ผีตาโขนแม้จะมีเล่นในอีสานถิ่นอื่นบ้าง แต่ที่วัดโพนชัย อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลยเป็นที่รู้จักและจะยังคงอยู่คู่กับ "พระธาตุศรีสองรัก" ตลอดไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ที่ว่าการอำเภอด่านซ้าย โทร. 0 4289 1266
Share:

กฎ ๖ ประการที่ทำให้คนรัก

กฎข้อ ๑

จงให้ความสนใจแก่บุคคลที่เราติดต่อด้วย และแก่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา โดยการแสดง ออกทั้งทางกาย (ท่าทาง) วาจา ใจ ไม่ควรพูดแต่เรื่องของตัวเอง

"คนไม่สนใจว่าคุณรู้มากแค่ไหน จนกว่าเขาจะรู้ว่าคุณสนใจเขามากแค่ไหน"

กฎข้อ ๒

จงยิ้ม การยิ้มช่วยสร้างรอยพิมพ์ใจให้บังเกิดแก่ผู้ที่พบเห็นทุกคน และก่อให้เกิด มิตรภาพขึ้นทันที

"รอยยิ้มคือการเชื้อเชิญ"

กฎข้อ ๓

จำชื่อคนนั้น ๆ ให้ได้ และเรียกให้ถูกทุกครั้ง

กฎข้อ ๔

ให้ความสนใจฟังเรื่องที่เขาพูด ทำตนเป็นนักฟังที่ดี ให้เขาพูดเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาตามความพอใจของเขา แล้วเขาจะรักเราไม่รู้ลืม

"กระตุ้นให้คนอื่นพูดเรื่องของตัวเอง"

กฎข้อ ๕

จงพูดในเรื่องที่เขากำลังคลั่งไคล้ไหลหลง และเรื่องที่เขามีความรู้ความชำนาญ เรื่องที่เขากำลังชอบ กำลังภูมิใจ หรือเรื่องที่เขากำลังได้รับความตื่นเต้นมาใหม่ ๆ

"จงพูดคุยกับผู้อื่น เหมือนอย่างที่คุณอยากให้เขาพูดคุณกับคุณ"

กฎข้อ ๖

จงทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ หรือชี้ให้เห็นจุดสำคัญดีเด่นในตัวเขา และทำเช่นนั้นด้วยความจริงใจ และแนบเนียน ทุกคนจะชอบท่าน เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ชอบให้คนสรรเสริญ ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง

"ทุกครั้งที่เดินเข้าไปในกลุ่มคน....
คนไร้เสน่ห์ จะพูดว่า ทุกคน...ฉันมาแล้ว
คนมีเสน่ห์ จะพูดว่า ดีจริงๆ... มากันทุกคนเลย"
Share:

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม




2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น




3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์




4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง


5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง




6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้




7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง


8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานขอลสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว


9.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ




10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
Share:

ที่มาของวัน อีสเตอร์

คำว่า “อีสเตอร์” ที่ถูกนำมาใช้เรียก “เทศกาลเฉลิงฉลองการที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย” นี้ได้มาจากนามของ “เทวี หรือพระแม่เจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ” ของพวกแองโกล-แซกซอน ที่มีนามว่า “Eastre”

เข้าใจว่าการฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายหรือการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้นมาเกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ผลิ เพราะ
1. วันอีสเตอร์ อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ระหว่างเดือนมีนาคม และ เมษายน)
2. ฤดูใบไม้ผลิ เป็นสัญญลักษณ์ของชีวิตใหม่ เพราะต้นไม้ใบหญ้าที่ดูเหมือนตายไปแล้วในฤดูหนาวกลับผลิใบออกดอกดุจเกิดใหม่ นับเป็นภาพที่เหมาะสมกับการพรรณนาถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์

แต่ตัวเทศกาลนี้ จริงๆแล้วได้พัฒนามาจากเทศกาล “ปัสกา” (Passover) ของยิว ช่วงสุดท้ายของชีวิตพระเยซูคริสต์ก็อยู่ในช่วงเทศกาลปัสกาดังกล่าว

ดั้งเดิมแล้ว วันอีสเตอร์ ได้ถือปฏิบัติกันในวันปัสกา (วันที่ 14 เดือนนิสาน) จนกระทั่งในกลางศตวรรษที่ 2 คริสเตียนบางกลุ่มเริ่มเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์นั้น ในวันอาทิตย์หลังจากวันที่ 14 เดือนนิสาน โดยถือเอาวันศุกร์ก่อนหน้าเป็นวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงสิ้นพระชนม์ สุดท้ายก็เกิดการโต้เถียงในเรื่องวันที่ถูกต้องในการฉลองอีสเตอร์

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 197 วิคเตอร์ แห่งโรม ได้บีบพวกคริสเตียนที่ยังยืนกรานที่จะฉลองอีสเตอร์ในวันที่ 14 เดือนนิสาน ให้ออกไปจากหมู่คณะ แต่การถกเถียงยังคงดำเนินอยู่ต่อไป จนกระทั่งมาถึงต้นศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิ คอนสแตนติน ทรงบัญชาให้ถือรักษาวันอีสเตอร์เป็นวันอาทิตย์ หลังวันที่ 14 เดือนนิสาน แทนการฉลองในวันที่ 14 เดือนนิสานเหมือนที่เคยปฏิบัติมาแต่เดิม

ด้วยเหตุนี้เอง วันอีสเตอร์จึงได้รับการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์แรกหลังจากคืนวันเพ็ญแรก ที่ตามหลังวัน “วสันตวิษุสวัต” (Vernal equinox) ซึ่งเป็น “วันที่กลางวันเท่ากับกลางคืน” ตรงกับวันที่ 21 มีนาคม พูดง่ายๆก็คือจากวันนี้มาจนถึงวันนี้ วันอีสเตอร์จะต้องมาหลังจากวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี

จึงสรุปได้ว่า เมื่อตอนเริ่มแรกนั้น อีสเตอร์ เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่ผูกพันใกล้ชิดกับวันปัสกา ซึ่งเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอล ให้อพยพรอดออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ และเหตุการณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงตายไถ่ผู้ศรัทธาในพระองค์ให้รอดพ้นจากโทษบาป

จนกระทั่งในศตวรรษที่ 4 อีสเตอร์ จึงแยกออกมาเป็นการเฉลิงฉลองเพื่อระลึกถึง “การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์” หลังจากที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์และการฉลองนี้จะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่เคยเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ผลิของชาวยุโรป

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ ดำเนินมายาวนานนับพันปีแล้ว แต่สำหรับชาวไทยนั้น วันอีสเตอร์ยังนับว่าเป็น สิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
Share:

คำทำนายวันสิ้นโลกของ "ศาสนาอิสลาม"

ในวันสิ้นโลกจะมีการเป่าสังข์ดังทั่วโลก พระอัลลอฮ์จะเป็นผู้สอบสวน ทุกๆคน ว่ามีละหมาดมาไหม พระองค์จะปกป้องผู้ที่ศรัธทาต่อพระองค์เท่านั้น วันสิ้นโลก จะมีอุกกาบาทตกลงมา แต่ว่ามุสลิมทุกคน จะไม่ทันเห็น เพราะได้ ความเมตตาจากอัลลอฮฺให้สิ้นชีวิตกันก่อน เหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ที่ไม่ได้ความเมตตา



โลกจะยังไม่ถึงกาลอวสานจนกว่า
- ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายมีจำนวนลดน้อยลง
- ยาจกในวันนี้ สามารถสร้างตึกสูงใหญ่ในวันหน้า
- เวลาสั้นลงน้อยกว่าเดิม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
- บ่าว ให้กำเนิดบุตร ที่จะมาเป็นเจ้านายในอนาคต
- จะมีการพบภูเขาทองคำ แล้วพากันแก่งแย่งมาเป็นของตน
- เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ ในเวลาเช้า จะถูกเปลี่ยนในเวลาสาย เสื้อผ้าอาภรที่สวมใส่ในเวลาสาย จะถูกเปลี่ยนในเวลาเย็น เสื้อผ้าที่ถูกใส่ในเวลาเย็นจะถูกเปลี่ยนในเวลาก่อนนอน
- พวกผู้หญิงจะสวมใส่เสื้อกันหนาว ที่ดูเหมือนไม่สวมใส่อะไรเลย
- พวกมนุษย์หลงเชื่อ สิ่งที่เห็นในชั้นฟ้าและอวกาศ ว่ามันเป็นความจริง
- ความไว้วางใจจะไม่มีในหมู่มนุษย์
- แผ่นดินไหวทางทิศ ตะวันตก แผ่นดินไหวทางทิศตะวันออก



ในวันสิ้นโลกครับ
- จะบังเกิดควันสีดำแผ่ปกคลุมทั่วโลก
- จะมี อสูรกาย ที่ชื่อว่า ยุ มะยุด ที่ถูกกักขังอยู่ใต้พื้นโลกด้วย ผนังหนาที่เป็นทองแดงและไฟ ครั้นสิ่งกักกันถูกแตกออก มันจะขึ้นมาล่อลวงไล่เข่นฆ่ามนุษย์
- ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
- จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง สามารถพูดคุยกับมนุษย์ได้



ส่วนนี่สัญญาณวันสิ้นโลกครับ
สัญญาณย่อย ได้แก่
1. แผ่นดินไหวจะมีมาก
2. ลมพายุจะรุนแรง
3. ความตายจะดาษดื่น (จากโรคร้าย)
4. มนุษย์จะแข่งขันประดับประดามัสยิด
5. คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
6. คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจได้กลับถูกบิดพริ้ว
7. การผิดประเวณี (ซินา) จะดาษดื่น
8. สุรา ดอกเบี้ย เป็นสิ่งอนุมัติ
9. ในมัสยิดมีเสียงอึกทึก
10. คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน
11. ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
12. ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
13. อุตริกรรม (บิดอะห์) จะปรากฎชัด
14. ความอายจะน้อยลง
15. สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือนสตรี
16. สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
17. ผู้ทุจริตได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
18. ผู้คนจะอ่านอัลกุรอานกันเพียงลิ้น (ขาดการกฏิบัติตาม)
19. การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
20. การสาบานด้วยสิ่งอื่นจากอัลเลาะห์จะมีมาก
21. การหย่าร้างเกิดขึ้นมาก
22. ความชั่วช้าเลวทราบจะปรากฎชัด
23. มนุษย์จะปฏิบัติตามอารมณ์กิเลสและตัณหา
24. บุรุษจะถูกทำลาย เพราะทรัพย์สินเป็นเหตุ
25. มนุษย์จะตัดขาดญาติมิตร
26. สมาธิของคนละหมาดจะหายไป
27. ประชาชาติจะแตกออกเป็น 70 กว่าจำพวก
28. วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งหนึ่งปีเสมือนหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนเสมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน
29. การแต่งงานเกิดขึ้น เพราะสมบัติเป็นเหตุ
30. เรื่องราวของมนุษย์ ล้วนเป็นความโลภโมโทสัน
31. การตลาดจะฝืดเคือง
32. การให้เกียรติจะน้อยลง แต่การเหยียดหยามจะมากขึ้น
33. ความรับผิดชอบจะหายไป ความวุ่นวายสับสนจะแทนที่
34. ศาสนาจะถูกซื้อขายด้วยวัตถุทางโลก (ดุนยา)
35. หัวใจมนุษย์หมดสิ้นจากความดี
36. ทานบังคับ (ซะกาต) ถูกนำมาจำหน่ายค่าแรงและถูกมอบให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับ
37. บุรุษจะฆ่ากันโดยไร้เหตุผล
38. ความรู้จะถูกเก็บ คนโง่จะขึ้นแสดงธรรม (บนมิมบัร)
39. เด็กที่เกิดจากการผิดประเวณีจะมีมาก
40. คนที่มีลูกหลานต้องโศกเศร้า เพราะการเนรคุณ
41. สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
42. เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
43. ความบริสุทธิ์จะหายไปจากการงาน
44. คนชั่วจะภูมิใจ และโอ้อวดความชั่วของตน
45. การพนันจะมีมาก
46. ผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าเป็นการล้างแค้น (ไม่ใช่การรับใช้ชาติ)
47. มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรก และหันเหออกจากการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา



ส่วนสัญญาณใหญ่ ได้แก่
1. อิหม่ามมะห์ดีปรากฎตัว
2. ดัจญ้าลเผยโฉม ยักษ์ชั่วร้าย
3. ท่านศาสดาอีซาจะถูกส่งลงมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
4. ยะญูดและมะญูด พังกำแพงทะลุออกมาได้
5. มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน
6. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
7. มีหมอกควันเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน
8. เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คนไปรวม ณ ชุมนุมสถาน
9. อัลกุรอาน และความรู้ถูกเก็บ (โดยการล้มตายของบรรดาผู้รู้)



ที่มา : http://www.smoothcent.in.th
Share:

ปลาชอร์ต บอดี้


ปลาชอร์ต บอดี้ หรือ ปลาสั้น (Short Body) ปลาที่เป็นชอร์ต บอดี้ ก็คือปลาพิการมาแต่กำเนิด มีความผิดปกติของกระดูกสันหลังที่คดงอหรือโค้งไปธรรมชาติ ทำให้ลำตัวของปลาแลดูสั้นกว่าปกติ ในทางวิชาการจัดว่า เป็นสัตว์แคระ แต่สำหรับในวงการปลาสวยงาม ปลาที่เป็นชอร์ต บอดี้ จะมีราคาขายสูงกว่าปลาปกติมาก เช่น ลูกปลาเทพาธรรมดาขนาดไม่เกิน 2 นิ้ว ราคาขายจะอยู่ที่ไม่เกิน 40 บาท แต่ถ้าเป็นปลาชอร์ต บอดี้ ราคาขายจะอยู่ที่ 600 บาท หรือหลายพันบาทในตัวที่สั้นมากและราคาจะแพงขึ้นไปตามขนาดของตัวปลา
ในธรรมชาติ ยากที่จะพบปลาที่มีลักษณะผิดปกติเช่นนี้ เท่าที่มีการสำรวจพบ ที่ น้ำตกคลองนารายณ์ จ.จันทบุรี มีรายงานโดย ชัยวุฒิ กรุดพันธุ์ นักวิชาการประมง ในปี พ.ศ. 2545 ว่า ปลาพลวงจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในนั้นมีลักษณะกระดูกลำตัวคดงอ เชื่อว่าเกิดจากการที่ปลาผสมกันเองในสายเลือดชิด (In Breed) ทำให้ลูกปลาที่เกิดใหม่มีความผิดปกติเช่นนี้

ปลาที่มีลักษณะชอร์ต บอดี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับปลาทุกชนิด ซึ่งปลาแต่ละตัวก็จะมีลักษณะชอร์ต บอดี้แตกต่างออกไป ในวงการปลาสวยงาม ได้มีการจำแนกปลาชอร์ต บอดี้ ออกเป็นเกรด แต่ละเกรดแบ่งตามลักษณะความสั้น โดยปลาที่สั้นมากจนแทบไม่มีข้อหาง หรือบริเวณส่วนหัวหดสั้นกว่าปกติ และไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดคดงอหรือบุบ จะเรียกว่า เบอร์ 0 ซึ่งจะมีราคาขายแพงที่สุด ปลาที่มีข้อหางยาวออกมา จะเรียกว่า เบอร์ 1 ถ้าเลยจากนี้จะมีถือว่าไม่มีราคาแล้ว

ในปัจจุบัน ได้มีการเพาะปลาบางชนิดจนกลายเป็นปลาชอร์ต บอดี้ เป็นสายพันธุ์ที่ได้ผลผลิตแน่นอนไปแล้ว เช่น ปลาบอลลูน ซึ่งก็คือปลาสอดชอร์ต บอดี้, ปลากระดี่มุก, ปลาหมอสีประเภทครอสบรีด เป็นต้น

การเลี้ยงปลาชอร์ต บอดี้ให้สวยนั้น ผู้เลี้ยงจะนิยมเลี้ยงให้อ้วน ท้องป่องมากที่สุด โดยถือว่าเป็นลักษณะที่สวยที่สุด

ปลาหน้าเอ็ดดี้ หรือ ปลาหน้าผี เป็นปลาที่มีส่วนบริเวณหน้าผิดปกติไป เช่น ตาโปน ปากแหว่ง หรือหน้าบิดเบี้ยวไป โดยคำว่า " เอ็ดดี้ " มาจากชื่อของดาราตลก เอ็ดดี้ ผีหน้ารัก การเกิดหน้าเอ็ดดี้ก็คล้ายกับชอร์ต บอดี้ นั่นคือการผิดปกติจากการเกิด ซึ่งอาจจะมาจากการผสมสายเลือดชิดกัน
ปลาเผือก หรือ ปลาแพล็ตตินั่ม เป็นความผิดปกติของเม็ดสี ในปลาเผือก (Albino) สีจะขาวเผือกทั้งตัว ตาจะมีสีแดง ปลาบางชนิดสามารถเพาะพันธุ์จนเป็นเผือกหมดได้แล้ว เช่น ปลาดุก ปลาชะโอน เป็นต้น ส่วน ปลาแพล็ตตินั่ม (Platinum) เป็นรูปแบบหนึ่งของสีที่ผิดปกติไป ซึ่งไม่ใช่ปลาเผือก ปลาแพล็ตตินั่มสีลำตัวจะออกขาวเนียน มีความเงาวาว ตาไม่แดง ขอบตาจะเป็นสีขาว แต่ลูกจะเป็นสีดำเหมือนปลาปกติทั่วไป ในปัจจุบันนี้ ปลาแพล็ตตินั่มกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากของนักเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะความสวยและแปลกในสีสัน แต่ยังไม่อาจเพาะพันธุ์ได้เช่น ปลาเผือก จึงทำให้ปลาแพล็ตตินั่มมีสนนราคาที่สูงมาก นับเป็นปลาแปลกที่มีราคาขายกันตัวต่อตัวสูงที่สุด
ปลาแหว่ง หรือ ปลาเกิน เป็นปลาที่มีส่วนของร่างกายแหว่งเว้าหรือขาดเกินไปตั้งแต่กำเนิด ถือเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของปลาแปลก ในส่วนของปลาเกิน ก็คือ ปลาที่มีส่วนของร่างกายเกินมาจากปกติ เช่น มีข้อหางมากกว่า 1 ข้อ หรือ ครีบมากกว่าปกติ เป็นต้น ซึ่งลักษณะปลาแหว่งหรือปลาเกินนี้ ไม่สามารถเพาะพันธุ์ให้เป็นสายเลือดแท้เหมือนกับปลาแปลกอย่างอื่น ๆ อันเนื่องจากเป็นลักษณะปกติเฉพาะตัว แต่ในคอกที่พบปลาเกินหรือปลาแหว่ง อาจจะพบปลาที่มีลักษณะนี้มากกว่า 1 ตัว หรืออาจเป็นทั้งคอกเลยก็ได้ ซึ่งเป็นความผิดปกติทางการเกิด เช่นเดียวกับปลาแปลกชนิดอื่น ๆ
ในปลาแปลกนี้ บางตัวอาจพบลักษณะแปลกที่มากกว่าหนึ่งอย่าง ก็เป็นได้
Share: