วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นิทานริมกองไฟ


เป็นนิทานริมกองไฟเรื่องหนึ่งของชาวป่าที่ชาวกรุงผู้ห่างไกลสัมผัสเพียงคำบอกเล่า ส่วนใหญ่พวกพรานไปนั่งห้างยิงสัตว์ตอนกลางคืน หรือเข้าป่าลึกถึงจะมีสิทธิ์เจอ เล่ากันว่าเป็นเสือแก่ที่กินคนมามากจนสามารถจำแลงร่างได้ พอเหยื่อเผลอก็ตะครุบกิน ส่วนการแปลงร่างก็ทำได้ไม่จำกัด เป็นชายก็มี เป็นหญิงก็มี และที่แนบเนียนกว่านี้ก็คือแปลงเป็นพระธุดงค์ เพราะคนจะไม่ระแวงเอาเลย
เรื่องราวของเสือสมิงมีบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสต้นไปถึงจันทบุรี เป็นที่รู้กันว่าทรงโปรดที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในหัวเมืองต่างๆ หลายจังหวัดด้วยกัน เพื่อจะได้ทรงเห็นทุกข์สุขของราษฎรได้ใกล้ชิดมากกว่าจะทรงรับรายงานจากทางราชการเพียงอย่างเดียว และอีกอย่างก็เป็นการแปรพระราชฐานเพื่อพระพลานามัยจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นด้วย

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ไปถึงจันทบุรี

ตอนนั้นจันทบุรีเป็นป่าเสียมากกว่าเป็นเมืองและสวนผลไม้อย่างเดี๋ยวนี้ มีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งช้าง ม้าป่า และเสือ โดยเฉพาะเสือถือว่ามีมากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าทางกรุงเทพต้องการเสือก็ต้องมาดักเอาที่นี่ เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการมาก เพราะเหตุนี้ เจ้าเมืองจันทบุรีนอกจากจะต้องดูแลราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณแล้วยังมีหน้าที่คล้ายๆ รพินทร์ ไพรวัลย์ คือต้องคอยปราบเสือไม่ให้มารังควานชาวบ้านอีกด้วย

ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ เสือที่จันทบุรีอุกอาจมาก บุกเข้าไปในบ้านคนแล้วคาบคนในบ้านไปกินเสียดื้อๆ ขนาดในเมืองมันก็ยังไม่กลัว กล่าวกันว่าเป็นเสือแก่ที่ไม่ว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นๆได้ ก็เลยเข้าบ้านมาจับคนกินแทนเพราะง่ายกว่า ทำเอาชาวเมืองจันท์ระส่ำระสายเสียขวัญกันไปทั้งเมืองแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน
พระยาจันทบุรีเห็นเสือชักจะกำแหงก่อกวนคนมากเกินไปเสียแล้ว ก็ตัดสินใจเปิดศึกขั้นเด็ดขาดด้วยการประชุมพรานมือดีมาหลายคน แจกปืนให้ แยกย้ายกันออกไปล่าเสือ คนไหนไม่มีปืนก็ทำจั่นดัก ล่ากันเอาจริงเอาจังฆ่าเสือตายไปมาก ที่เหลือก็เตลิดหนีเข้าป่าลึก ทำให้ชาวบ้านหายขวัญเสียกลับมาทำมาหากินอย่างสงบได้อีกครั้

เรื่องเสือจริงสงบลงไม่ทันไร ชาวบ้านก็เริ่มขวัญเสียกันใหม่เพราะมีข่าวเล่าลือเรื่องเสือสมิง ประจวบกับเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพอดี ในพระราชนิพนธ์ ทรงบันทึกไว้ว่

"...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทันเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้"


อ่านแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงกัน เพราะดูๆแล้วอาจารย์คนนี้คิดน้ำมันทาตัวคนให้เป็นเสือขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรก็ยังแปลกๆอยู่ แล้วเสือลูกศิษย์ทำไมวิ่งถึงข้ามชายแดนมาไกลขนาดนี้แทนที่จะอยู่ถิ่นเดิมในเขมร อีกอย่าง ในเมื่อตอนนี้เสือกินคนเสียแล้วกลับคืนร่างเดิมไม่ได้ อาจารย์จะทำอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็คงจะไม่ทรงเชื่อข่าวลือนี้เท่าไร เพราะทรงบันทึกต่อไปว่า



"...เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ "





เสือสมิงที่สำแดงร่างเป็นพระธุดงค์ได้นี้ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วก็ยังเคยได้ยิน เป็นคำบอกเล่าของพระธุดงค์รูปหนึ่ง ว่าได้ธุดงค์ผ่านไปถึงสำนักสงฆ์ที่มีลักษณะวิเวกเปลี่ยวร้าง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา

ครั้งแรกเห็นไกล ๆ นึกว่าไม่มีพระจำพรรษาอยู่เลย แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปถึงจริง ๆ กลับมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่รูปหนึ่ง มีหน้าตาดุน่ากลัว อย่างที่เรียกว่าดุอย่างเสือ ! พูดจาด้วยสำเนียงฟังดูแปร่งหู ภายในสำนักสงฆ์วางข้าวของอัฐบริขารดูรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ

พระหน้าดุรูปนั้นชวนให้พระธุดงค์จำวัดอยู่ด้วยกันในสำนักสงฆ์ โดยอ้างว่าแถวนี้เสือดุ แต่พระธุดงค์ปฏิเสธ บอกแต่ว่าตั้งใจจะขึ้นมาขออนุญาตปักกลดภาวนาอยู่ที่ลานกว้างด้านหน้า ถัดออกไปสักประมาณ 100 เมตร หลังจากพูดคุยกันอีกคำสองคำก็ลากลับ

พระธุดงค์เคยได้ยินมาเหมือนกันเรื่องพระกลายเป็นเสือสมิง โดยอธิบายไว้ว่า เสือบางตัว หรือคนที่เคยเล่นคุณไสยอย่างหนักจนกลายเป็นเสือบางคน บางครั้งชอบอวดวิชาด้วยการจองเวรขบกัดแต่พระธุดงค์ จนในที่สุด สามารถกลายร่างเป็นพระธุดงค์ได้ ! โดยใช้อาคมแก่กล้าของตน

แต่พระธุดงค์รูปที่กำลังเล่าถึงอยู่นี้ก็มีวิชาไม่เบา ท่านมีควายธนูทำด้วยไม้ไผ่ติดมาในย่าม เย็นนั้น พอปักกลดเสร็จ ก็โอมอ่านคาถาปลุกควายธนูของตน แล้ววางขวางไว้หน้ากลด อธิษฐานว่า 'ใครมุ่งร้ายจึงให้ราวี'

คืนนั้นได้เรื่อง ขณะที่พระธุดงค์นั่งภาวนาอยู่ในกลด ได้ยินเสียงควายธนูหายใจฝืดฝาด เดินวนเวียนรอบกลด สักพักได้กลิ่นสาบเสือโชยมาอย่างแรง จากนั้นฟังคล้ายควายธนูของท่านตะกุยดินทะยานไปข้างหน้า สู้กับอะไรบางอย่างอยู่ในที่มืด นานสัก 10 นาทีก็เงียบสนิท

ตอนเช้าท่านจึงออกจากกลดมาเก็บควายธนู ซึ่งก็ได้กลับมายืนนิ่งอยู่หน้ากลดเป็นที่เรียบร้อย ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร รอบบริเวณมีร่องรอยดินและหญ้าถูกตะกุยเหมือนสัตว์ใหญ่สองตัวสู้กัน

เมื่อพระธุดงค์ขึ้นไปบนสำนักสงฆ์เพื่อจะลาเดินทางต่อ ก็พบพระหน้าดุรูปนั้น นอนบอบอยู่บนเสื่อ ท่าทางอิดโรยเหมือนไม่ได้นอน จีวรบางแห่งมีรอยขาด แต่ยังแข็งใจพยุงตัวเองขึ้นเอ่ยปากชวนให้พระธุดงค์อยู่ต่ออีกคืน แต่พระธุดงค์ปฏิเสธ จากนั้นจึงอำลาเพื่อธุดงค์ไปยังที่แห่งอื่นต่อไป

ตำนานเสือสมิง

เป็นตำนานที่กล่าวขานกันมาแต่นมนาน ถึงความน่ากลัวของศาสตร์อาถรรพ์ ที่มีปรากฏเกิดขึ้นว่า เสือที่ดุร้ายและมักชอบจับคนกินเป็นอาหาร เมื่อกินคนมากเข้าวิญญาณคนที่เสือกินเข้าไปนั้น ก็อยู่สิงสู่ในกายเสือ ทำให้เสือตัวนั้นมีความเป็นอาถรรพ์ ที่สามารถจำแลงแปลงกายบิดเบือนตนเสือให้กลายเป็นใครต่อใครก็ได้ เพื่อเที่ยวหลอกล่อคนที่เป็นเหยื่อให้หลงกล ทำให้จับกินได้ง่ายขึ้น ครั้นยิ่งกินคนมากขึ้น วิญญาณก็ยิ่งสิงสู่ในตัวเสือมากเข้าเท่าใด เสือตัวนั้นก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ซึ่งเรื่องความเป็นมาของเสือมิใช่มีแต่เสือมันกินคนแล้วมันจะกลายเป็นเสือสมิงได้เท่านั้น มีอีกอย่างที่ทำให้เกิดความเป็นเสือสมิง คือ พวกที่เรียนวิชาเสือ คือการเรียกเอาวิญญาณเสือนั้นมาเข้าสิงในตน ผนวกกับคนผู้นั้นร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย เมื่อนานเข้า เกิดการรวมตัวในทั้งสองเรื่องที่กล่าว คือ ทั้งวิชาเรียกเสือ และอาคม ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิง ครั้นเสือตนนี้ได้ไปกินคนเข้า ก็กลายเป็นเสือสมิงโดยสมบูรณ์ มีเรื่องเล่าขานและค่อนข้างดังมาก เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว และดูเหมือนว่า กลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ว่า

มีชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนที่ว่า มีเสือตัวใหญ่เข้าไปทำร้ายคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนั้น เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้านมาก จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ฝ่ายทหารหน่วย ตชด. จึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั่นไปในตัว

กลางดึกคืนหนึ่งนั้นฝ่าย ตชด. ได้จัดกำลังตรวจตราหน่วยหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็เข้าที่พัก บนศาลาที่จัดกันไว้ เป็นที่พักผ่อนนอนหลับ และในตอนดึกคืนนั้น ศาลาที่หน่วย ตชด. พัก เกิดสั้นไหวโยกเอน เมื่อทหารที่นอนตื่นกันลุกขึ้นมาดู กลับเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ พิงสีตัวอยู่ที่โคนเสาศาลา ทหารกำลังหน่วยนั้นได้ยิงใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้น บาดเจ็บและหายไปในความมืดนั้น ครั้นรุ่งเช้า หน่วยทหารจึงทำการติดตามแกะรอยเลือดเสือตนนั้นไป จากการติดตามรอยเลือดนั้นผลปรากฏว่า รอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุม เนินดินแห่งหนึ่ง แล้วไม่ปรากฏรอยเลือดนั้น ไปทางไหนอีก ทหารที่ติดตามนั้นเห็นเนินดินแล้วจึงตัดสินใจในความสงสัยกันบางอย่าง จึงขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น เมื่อขุดไปลึกพอประมาณ ก็ต้องอึ้งกันไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่เห็นในหลุมนั้นปรากฏว่า เป็นศพผู้ชายคนหนึ่งแต่ตัวท่อนล่างนั้นเป็นสภาพของเสื่อลายพาดกลอน ดูเหมือนว่า เป็นการกลายร่างจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง จากการถามที่มาของศพชายผู้นี้ ได้ความว่า เป็นคนในหมู่บ้านย่านนั้น และสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงตาย

ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ว่า ชายผู้นี้ผิดผีอะไร อย่างไร ซึ่งหนังสือนั้นมิได้กล่าวถึง จึงยากต่อการวิเคราะห์ได้

ในช่วงสมัยนั้นก็มีวิชาที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่ง คือวิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ลองค้นในประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ดูก็จะเห็นความใกล้เคียงในเรื่องความเป็นไป

เรื่องของวิชาแปลงร่างนี้ ก็มีปรากฏในเรื่องขอกสินดิน แต่โดยเฉพาะวิชาเสือสมิง และวิชาจระเข้แปลงรูปนี้ ได้สาบสูญไปแล้ว เพราะที่จริงวิชาอย่างนี้ที่สุดแล้วให้โทษมากกว่าให้คุณครับ

ปัจจุบันคณาจารย์ หรือผู้เรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือ ลงเครื่องรางและลงอักขระยันต์มากกว่า เรียกลงคน
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น