วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน


คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน ลุประมาณปีพุทธศักราช 167 เมื่อขุนแผนได้กุมารทองแล้ว เกิดความคิดตีดาบไว้ปราบศรัตรู จึงไปหาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคําภีร์มหาศาสตราคมมาจนครบถ้วนคือ เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้ เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่ ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคงยังได้รวมด้วยเหล็กสารพัดบิ่น สารพัดหักอีก108ชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วยราชวัฏฉัตรธงทั้ง4มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทอันประกอบด้วย มัจฉะมังษาหาร6ประการ พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้9 อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก4บาท 1 คู่ เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น 15 คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที/ เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามาหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้วลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถาบารมีพระพุทธเจ้าคือ อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ สัจจาธิฎฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ/ ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้ นานามุสะระ หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนาเอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่นดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ 108 ครั้ง แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม9ครั้ง พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ นิมิตตังลงถมอีก9ครั้งด้วยคาถา อะสิสัตติ ธนูเจวะ สัพเพเตอาวุทธานิจะ ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ/ ตามด้วยคาถาพรหมสี่หน้าลงถมอีก9ครั้งว่า สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข สะตังชิวหา ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง/ ตามด้วยคาถาลงถมอีก9ครั้งบารมี30ทัศน์ ว่าอิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโมลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า9ครั้งว่า อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ/ และตามด้วยอรหันต์8ทิศ9ครั้งว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ/ แล้วตามด้วย พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ/9ครั้ง แล้วลงถมตามด้วยคาถา นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ 9 ครั้งแล้วจึงลงประทับด้วยคาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ ( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออกลงจบเดียว ) กัณหะเนหะ หายใจเข้า พุทธังปัจจุขาด ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด ( หายใจเข้าออก สลับกันไปทีละบท ) สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา ลงถม9ครั้ง แล้วตามด้วย นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ มาระเสนา อะติกกันตา มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา นามะเตนะโม มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ สัพพะสัตตานุภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติเมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว จึงเอาเกษร108 และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่งใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม9ครั้ง ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์9ครั้ง คาถาพรหมสี่หน้า9ครั้ง คาถาพุทธนิมิต9ครั้ง คาถาพระเจ้า16พระองค์9ครั้ง คาถาอะระหันต์8ทิศ9ครั้ง คาถาบารมี30ทัศน์9ครั้ง คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ 9ครั้ง คาถาพระกรณีย์ จะภะกะสะ 9ครั้งขณะบดยาให้ภาวนาพระคาถานี้ งะญะนะมะ จะภะกะสะ อะระหังสุคะโตภะคะวา นะมะพะทะ อิกะวิติ อิสวาสุ นะโมพุทธายะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน ลงเลข3ตรีนิสิงเหที่ปากท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ มะอะอุตรีนิสิงเห ลงเลข7ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตรสะธะวิปิปะสะอุสัตตะนาเค ลงเลข5ที่อกของท่านว่า อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ ลงเลข4ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า นะมะพะทะจัตตุเทวา ลงเลข6 ที่ขาทั้งสองของท่านว่า อิสวาสุฉอวัชชะราชา ลงเลข5ที่ด้านหลังท่านว่า ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ ลงเลข1 ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า มิเอกะยักขา ลงเลข9 ที่ศรีษะท่านว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา ลงเลข5 ที่แขนซ้ายว่า สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี ลงเลข5 ที่แขนขวาว่า นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง ลงเลข2 ที่ศอกทั้งสองข้างว่า พุทโธทะเวราชา ลงเลข8 ที่สะโพกทั้งสองข้างว่า เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตาใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ/ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย นะโมพุทธายะ
สิทธิการิยะ ผู้ใดได้มีวาสนามีศาสตราวุธเล่มนี้แล้ว จะประเสริฐทุกประการ ปราบปรามศัตรูและภูติผีปิศาจได้ทุกชนิด แม้เข้าผจญสงครามก็ได้ชัยชนะต่อข้าศึก ใช้สะกดคนเป็นมหาจังงังอย่างแท้จริง ติดตัวไว้สารพัดคงกะพันชาตรีจากอาวุธทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นมีดมหาปราบ/ อนึ่งยาที่เหลือจากการบรรจุด้ามมีดนั้น เอามาผสมกับรักปั้นเป็นองค์พระภควัมบดี(พระปิดตา) ไว้ติดตัวเป็นมงคลอย่างประเสริฐ/ อนึ่งตํารามีดมหาศาสตราคมนี้เป็นของจริง ผู้ที่จะสร้างต้องเป็นสาธุชนคนดี จึงจะมีความเจริญ ถ้าเป็นมิจฉาชนคนชั่วแล้วก็ไม่จักเกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น โบราญจารย์ผู้เป็นเจ้าของตํารานี้ได้สาปแช่งไว้อย่างรุนแรงถ้าผู้มีมีดนี้ทําชั่ว/ ข้าพเจ้าขอลงไว้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลัง
Share:

ปรากฏการณ์หลังความตาย-ผีหรือวิญญาณ

ไม่มีชนชาติใดเผ่าไหน ที่ชนในชาติไม่เชื่อเรื่องผี เพราะจริงๆแล้วเป็นเรื่องที่คุ้นหู เป็นเรื่องธรรมดาประจำวันในที่หนึ่งที่ใด เสียด้วยซ้ำ แม้แต่ประเทศตะวันตกที่ก้าวหน้าที่สุด จากการสำรวจ ผู้ที่เคยประสบกับปรากฏการณ์ ลึกลับสามมิติ หรือการพบเห็นผี อย่างแท้จริงด้วยตนเอง ในสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ มีสถิติจำนวน ผู้ที่เชื่อเรื่องผี ทั้งที่ตัวเองไม่เคยเห็นเลยมากกว่าผู้ที่ไม่เชื่อ

เซอร์โอลิเวอร์ ลอดจ์ นักฟิสิกส์คนสำคัญชาวอังกฤษ ได้กล่าวไว้ว่า ผีอาจเป็นไปได้จริง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผี คงอธิบาย ได้ว่าเป็นภาพ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพลังงานทางจิตที่รุนแรง ของผู้ตายที่กระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และประทับเป็นร่องรอยเอาไว้ สามารถทำให้บางคนที่มีประสาทสัมผัสไว เป็นพิเศษ รับคลื่นพลังงาน ที่แปรเป็นสภาพของปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้นมาใหม่ได้

คำอธิบายของเซอร์โอลิเวอร์ อาจมีส่วนถูกอยู่บ้าง และดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของคนทั่วไป ที่เชื่อว่า คนเมื่อตายแล้ว จะต้องกลายเป็นผีจนกว่าจะได้ไปเกิดใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่ ส่วนปรากฏการณ์ ที่เรียกกันว่า ผีหลอก นั้น คนส่วนมากเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ผู้ที่ตายไปยังไม่ยอมจากโลก ไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นได้รับความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง เป็นต้นว่า ความเจ็บปวด ความคับแค้นใจ อิจฉาหรือห่วงใยอาวรณ์ ที่ท่วมล้นจิตใจก่อนที่ผู้ตายจะจากโลกไป เช่นเราเชื่อว่า คนที่ตายอย่างปวดร้าว กะทันหัน หรือคนที่มีห่วงมีใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม หรือ ผีที่เกิดจาก แรงอาฆาต ความแค้น ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ข้อสนับสนุนความเห็นดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่ สถานที่ที่พบเห็นปรากฏการณ์ลึกลับที่น่ากลัวนั้น มักจะเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือบริเวณที่มีการตายเกิดขึ้นอย่างทารุณ เช่น ฆาตกรรม อัตวิบาตกรรม หลุมศพโบราณ สนามรบ หรือ วินาศภัยที่มีคนตายมากมาย

ในบ้านเราเอง เรื่องของผีอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนคุ้นเคยได้ยินได้ฟังเป็นประจำ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญทางวัตถุ ยังเต็มไปด้วยป่าไม้ทุ่งนา ที่เป็นธรรมชาติเช่นนั้นมานานนับร้อยๆปี แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีหนังสือ และภาพยนต์เรื่องผี และเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติธรรมดาให้เห็นอยู่มากมาย

ปรากฏการณ์เบื้องหลังความตายที่อธิบายว่า เห็นภาพวิญญาณของผู้ตายยังเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะความเชื่อของคนทั่วไป ไม่ว่าจะถีอลัทธิศาสนาใดก็ตาม มักจะถือมนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณ และวิญญาณก็ไม่ใช่ผี รูปที่เป็นผีนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ ภาพร่างของมนุษย์ มีได้ทั้งผีในรูปของสัตว์และต้นไม้ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิต มีเรื่องเล่าไว้ในหนังสือรวบรวมเรื่องราวต่างๆของผีและเหตุการณ์ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผี มีทั้งสิ่งที่อยู่ในร่างคน สัตว์ สิ่งไม่มีชีวิต พันเอกแห่งกองทัพอังกฤษ และครอบครัวเพิ่งย้ายบ้านใหม่ เป็นบ้านโบราณและมีสนามหน้าบ้าน ที่กว้าง มีทางรถวิ่งโดยรอบ จากประตูใหญ่เข้ามา ตอนนั้นเป็นเวลาเริ่มจะโพล้เพล้

นายทหารดังกล่าวและภรรยาพร้อมบุตรอีกสองคน กำลังนั่งที่ระเบียงของคฤหาสน์ หลังใหญ่ พลันมีรถเทียมม้าใหม่เอี่ยม และมีสีสันแพรวพราววิ่งเข้ามาตามทางวิ่ง ทั้งๆ ที่ขณะนั้นประตูใหญ่ที่รั้วหน้าบ้าน ก็ยังปิดอยู่รถม้าได้วิ่งมาอย่างช้าๆ และทุกคนที่นั่งอยู่ ด้วยกันที่นั่นได้ยินเสียงของกีบม้า และเสียงล้อรถที่บดลงบนถนนอย่างชัดเจน สักครู่รถม้าคนนั้นก็วิ่งมาหยุดลงที่ขอบสนาม ห่างจากตัวคฤหาสน์ไปไม่ไกลนัก เนื่องจาก ช่วงนั้นเป็นเวลาเริ่มจะค่ำ แม้ว่าทุกคนจะยังคงมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครมองเห็นผู้ที่นั่งมากับรถม้านั้นได้ และแม้เวลาจะผ่านมาอีกชั่วครู่ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดลงจากรถม้า ในที่สุดบุตรชายคนหนึ่งของนายทหารก็เดินลงมาที่สนามไปยังรถม้าคันนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้พอที่จะเห็นร่างของสตรี แต่งตัวอย่างสูงศักดิ์ผู้หนึ่งนั่งในรถม้า เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ทั้งรถและม้าเทียมก็พลันละลายหายไปในอวกาศ ไม่มีร่องรอยแต่อย่างใด เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่า บ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านของท่านลอร์ดและเลดี้ผู้สูงศักดิ์ ที่มีปัญหาเรื่องความรักสามเส้า ที่ทำให้ภรรยาท่านลอร์ดต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยความชอกช้ำระกำใจ หลังจากนั่งรถม้ากลับมาบ้านแต่ผู้เดียวในเย็นวันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น

นักจิตวิทยาสาขาเหนือธรรมชาติ โดยทั่วไป เขาเชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการตาย และการสนองรับ ด้วยประสาทสัมผัสของผู้มีชีวิตอยู่เป็นเรื่องทางจิตที่ผู้ประสบนั้นๆ รับได้จริงๆ โดย ไม่พยายามที่จะตอบคำถามว่าคนที่ตายไปแล้วกลายเป็นผี หรือผีเป็นเรื่องจริง เป็นสภาพหนึ่งหรือ มิติหนึ่ง โลกหนึ่งของคนตาย นักจิตวิทยาจะแบ่งแยกประเภทปรากฏการณ์ที่เกิดหลังตายของผู้ที่ กำลังจะตาย หรือตายไปแล้ว ที่มนุษย์ธรรมดา สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น ด้วยตา หู จมูก ไม่ว่าแยกกันหรือร่วมกัน ออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทลางสังหรณ์ กับ ประเภทผีหลอก ประเภทลางสังหรณ์ ประเภทนี้จะเกิดเพียงครั้งเดียวและจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ สนิทชิดเชื้อ หรือเพื่อนที่ผูกพันธ์กันเป็นพิเศษ เช่นแม่ฝันเห็นภาพของลูกที่มีเลือดท่วมตัวอยู่ ในสนามรบ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

มีรายงานเกี่ยวกับการได้ยินเสียงเรียกหรือ การได้กลิ่นศพ หรือกลิ่นธูป เมื่อประมาณ สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะที่นายแพทย์ประสาน ต่างใจ ผู้เขียนหนังสือชีวิตหลังตาย อยู่ที่เมืองบราซอฟ ที่โรมาเนีย ที่เมืองนี้เป็นเมืองแปลก มีกลิ่นของน้ำมันคลุ้งไปทั้งเมือง ตลอดเวลา และเป็นกลิ่นที่เขาไม่คุ้นเคย มันเหมือนเป็นกลิ่นที่ได้จากการเผาน้ำมันเบนซิน ที่ผสมกับกำมะถันเยอะๆ ดังนั้นเขาจึงปิดหน้าต่างห้องพักที่โรงแรมจนหมด

ในวันหนึ่งหลังทานอาหารกลางวัน เขาก็กลับไปพักในห้อง ประมาณราวๆ บ่ายสอง หรือบ่ายสามโมง เขาได้กลิ่นธูปอย่างแรงอบอวลไปทั้งห้อง ทั้งๆ ที่หน้าต่างปิดทุกบาน ทีแรกเขาคิดว่า ชาวเอเชียที่มาพัก ในโรงแรมเดียวกันกำลังทำพิธีอะไรอยู่ ก็เลยเปิดหน้าต่าง ออกไปดู ก็ได้แต่กลิ่นน้ำมันเหียนๆ จึงปิด หน้าต่าง แล้วเปิดประตูออกไปเดินสำรวจทั้งชั้นนั้น ก็ไม่มีกลิ่นอะไร แต่พอกลับเข้าห้อง ก็ยังได้กลิ่นอยู่ เหมือนเดิม แถมยังมีกลิ่นธูปหอมด้วย มันอบอวลอยู่ชั่วครู่แล้วแล้วค่อยๆจางหายไป เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่ง 4 วันต่อมา เขากลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วจึงได้ทราบว่าคุณยายที่แก่มากแล้ว และผูกพันต่อเขาค่อนข้างมาก ได้สิ้นชีวิตไปที่บ้าน เวลาที่คุณยายตาย ตรงกับวันนั้นพอดี และเวลาเมื่อเทียบกันแล้วก็เป็นเวลาเดียวกัน

อีกประเภทหนึ่งคือ ประเภทผีหลอก แท้ๆ ประเภทนี้เกิดจากการผูกพันกับ สถานที่ บ้าน ห้องนอน เตียงนอน หลุมฝังศพ ถนน หรือผูกพันกับสาเหตุ ที่ทำให้เกิดมีการตายนั้นๆ ประเภทนี้จะเกิดซ้ำกับใครก็ได้

สำหรับผู้ที่ศึกษาทางจิตศาสตร์ ศึกษาจิตที่เป็นวิญญาณ เช่น ผู้ทรงเจ้าเข้าเทพ ผู้นั่งทางในติดต่อกับวิญญาณ ผู้มีความสามารถพิเศษทางจิต ไม่ว่าโดยมีอยู่เองหรือฝึกฝน ขึ้นมาภายหลัง ได้กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อสังคมไม่น้อย เพราะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อใน เรื่องแบบนี้ เช่นหนังสือที่เขียนโดย เซอร์ โอลิเวอร์ ลอดจ์ ถึงการติดต่อระหว่างตัวเขาเองกับวิญญาณของบุตรชาย ที่ตายไปในสงครามที่ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นหนังสือที่ประชาชนให้ความสนใจ
หากมองในอีกแง่หนึ่ง ทั้งหมดเป็น เรื่องของจิต เป็นเรื่องของความคิดความเชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด และไม่ว่าจะอยู่ดีมีจน ชาติตระกูลหรือการศึกษา ก็ล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมมีการทำงานของสมอง และความคิดในทำนองเดียวกันนี้ทั้งนั้น

ที่มา ชีวิตหลังตาย นายแพทย์ประสาน ต่างใจ
Share:

วิญญาณเฮี้ยน ผีเด็กแมนชั่น

เรื่องราวสยองขวัญเผชิญวิญญาณที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง ที่ดิฉันเจอ มันจะมาในลักษณะคล้ายกับโดนผีอำ แต่มัน น่ากลัวมาก ๆเหมือนจริง เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับดิฉันตอนเช่าแมนขั่นอยู่กับญาติ ๆ แมนชั่นแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 10 กว่า ปีแล้ว บรรยากาศภายใน เงียบ มากจนทำให้เข้ามาเดินแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดิฉันนอนหลับกลางวันอยู่บนเตียงนอน ดิฉันก็เห็นเด็กสองคนอายุประมาณ 4 ขวบ วิ่งเล่นกันอย่าง สนุกสนาน เสียงดังมากจนดิฉันรู้สึกหนวกหูอย่างมากเลยลุกขึ้นมาต่อว่าให้เด็กสองคนนั้นเงียบ ๆ หน่อย เด็กสองคนนั้นพอได้ยินดิฉันว่า ก็หยุด และหันมามองดิฉัน เป็น ตาเดียวกัน ท่าทางของเด็กสองคนไม่ค่อยพอใจดิฉันนัก ตอนนั้นความรู้สึกของ ดิฉันมันคล้ายกับครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งจริงครึ่งไม่จริง จะลุกขึ้นก็ไม่มีแรง แล้วเด็กสองคนนั้นก็ฉุดรั้งแขนดิฉันให้ลุกออกมาจากเตียงนอนพร้อมกับพูดกับดิฉันว่า "เตียงของหนู ... เตียงของหนู" แต่ดิฉันก็ไม่สนใจที่จะทำตามที่เด็กสองคนนั้นพูด แล้วเสี้ยววินาทีดิฉันก็ต้องเบิกตาสว่างทันที เพราะเด็กสองคนนั้นส่งเสียงดุดิฉัน พร้อมกับทำท่าทางใบหน้าขึงขังน่ากลัว นัยน์ตาทั้งสองคู่ของเด็ก สองคนนั้น จาก ปกติก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนดวงไฟ แล้วก็แสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นเสียงทุ้มฟังแล้วขนลุกขนพอง แล้วก็พูดขึ้นว่า "ลุกไป ! ลุกไป !"

ตอนนั้นดิฉันกลัวมากแต่ไม่มีเรี่ยวแรงส่งเสียงเรียกใครเลย แต่ดิฉันก็ไม่ละความพยายามที่จะส่งเสียงตะโกนเรียกคนให้มาช่วย เด็ก สองคนนั้นก็แสดงท่าทางหลอกดิฉันอย่างน่ากลัวดิฉันพยายามทั้งดิ้นทั้งร้อง ให้คนช่วย จนในที่สุดเฮือกสุดท้ายดิฉันก็ ตื่น ลุกขึ้น มา นั่งจนได้ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว คิดว่าตัวเองคงจะโดนผีอำธรรมดา ต่อมาดิฉันก็มานอนที่เตียงนี้อีก แล้วก็เจอกับ เด็กสองคนท่าทางของเด็กน่ากลัวขึงขังตั้งแต่แรกเห็น ท่าทางไม่พอใจอย่างมากที่ดิฉันมานอนที่เตียงอีก เด็กสองคนเดินดิ่งเข้ามาหาดิฉันด้วยใบหน้าน่ากลัว ได้แต่แสยะยิ้ม ลูกนัยน์ตา เหลือกถลนจนปลิ้น ออกมานอกเบ้า เท่านั้นยังไม่พอเด็กทั้งสองยังช่วยกันกดทับที่ไหล่พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกจนดิฉัน กลัว สุดขีด ส่งเสียงร้องให้คนช่วยจนเหนื่อย อ่อนไม่มีแรง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงดิฉันสักคนแต่ดิฉันก็ไม่ละ ความ พยายามที่จะหลุดพ้นจากมิติลี้ลับที่กำลังเผชิญกับผีเด็กทั้งสองให้ได้ ดิฉันเลยตั้งจิตภาวนา พุทโธ พุทโธ พร้อมกับออกแรงยันตัวเพื่อ ลุกขึ้นนั่งในที่สุดดิฉันก็หลุดออกมา จากอีก มิติหนึ่งจนได้ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่กล้านอนที่เตียงนี้อีก เลย
Share:

โรงแรมอาถรรพ์

ผี คืออะไร สำหรับคำถามเช่นนี้ อาจมีคำตอบที่หลากหลายและในทัศนะ ของผู้เชี่ยวชาญด้าน จิตวิญญาณได้นิยาม ความหมายของผี ไว้อย่างน่าสนใจว่า ผีมิใช่สิ่งที่เราจะประสบพบได้เฉพาะ ในห้วงความคิดหรือเวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องนิยายที่ปั้นแต่งไว้หลอกหลอนโดยไม่มีเหตุผล แท้ที่จริงผีคือ การสำแดงร่างหรือส่งเสียงของผู้ที่ล่วงลับ ไปจากโลกมนุษย์ หากแต่ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ยังคงความรู้สึก และอาวรณ์ ผูกพันกับสภาพมนุษย์ที่ดิ้นรนอย่างรุนแรง จนไม่สามารถปรับตัวหรือรับรู้ความ เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการตายโดยกะทันหัน หรือการจบชีวิตด้วยความทุกข์ ทรมานแสนสาหัส และด้วย เหตุที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะอย่างฉับพลัน ทำให้เหล่าภูตผี ตกอยู่ในวัฏจักรแห่งความคิดที่ต้องย้ำทำ เหตุการณ์ ในช่วงวาระสุดท้าย วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะมีผู้มาช่วยเหลือให้หลุดพ้นและออกท่องต่อไป ตามครรลองที่ควร ซึ่งอาจเป็น นรก หรือสวรรค์ แล้วแต่กรรมที่ก่อมา

โปรเฟสเซอร์ฮันส์ โคลเซอร์ อดีตอาจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย นิวยอร์กได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่ทำการค้นคว้ามาแรมปี และบันทึก เป็นบทความถ่ายทอดให้ผู้ สนใจได้รับทราบ ข้อมูลท์ใช้ในการเขียน เรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นจริงและได้รับการบอกเล่าจากปากผู้ประสบเหตุการณ์ โดยตรง ซึ่งมีประจักษ์พยานที่สมเหตุสมผลมิใช่เป็นการกรุเรื่องแต่ประการใด สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับว่า ผีมีจริง ก็มักจะให้เหตุผลไปข้างๆ คูๆ ว่าเป็นเรื่อง ของภาพหลอน และหนำซ้ำยังอาจกล่าวหาหนักข้อไปถึงขั้นที่ว่า คนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ เรื่องผีๆ มักจะเป็นคนป่วย หรือไม่ อีกทีก็เข้าขั้นจิตวิปลาส แต่สำหรับโปรเฟสเซอร์โฮลเซอร์แล้วเขาปักใจเชื่อมั่นในความ เร้นลับของโลกแห่งวิญญาณ และจากการที่ ได้มีโอกาสพบปะททนากับผู้ที่เคยพบเห็น ผีมาแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้มีความแปลกประหลาด แต่เป็นบุคคลธรรมดา อย่างเราๆ ท่านๆ ที่มีจิดสำนึกและความรับผิดชอบเยี่ยงคนปกติทุก ประการ

เรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐอเมริการิกา ไปรเฟสเซอร์ โฮลเซอร์ได้บันทึกไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อเดินทางไปทำงานที่นิวยอร์กนั้น เธอมีอายุได้ 34 ปี และเพิ่งจะเคยไป เป็นครั้งแรก เธอตัดสินใจเลือก พักที่ โรงแรม วอชิงตัน ซึ่งเป็นโรงแรมสำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ เพียงทันที ที่ก้าวย่างเข้าสู่ห้องพัก บนชั้นที่ 12 นั้น ไอรีนได้กลิ่นโชยกึกออกมาจากห้องนั้นราวกับว่าไม่เคยมีใครใช้บริการ มาก่อนแต่ความที่เธอเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่กล้าพอ จะขอย้ายห้อง นึกในใจว่า จะทนอยู่ไปสัก 2-3 คืน แล้วจึงขอเปลี่ยนห้องใหม่ ซึ่งในตอนนั้นคงไม่มีใครว่าอะไร ไอรีนจึงเริ่มตรวจห้องอย่างละเอียด สัญชาติญาณลึกๆ บอกเธอได้ถึงความไม่ชอบ มาพากลเกี่ยวกับห้องนี้ เพียงแต่เธอยังมิอาจล่วงรู้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

คืนแรก ที่เธอเข้านอน นั้นเธอต้องสะดุ้ง ตื่นกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงคล้ายใครบางคน กำลังเปิด หนังสือพิมพ์อ่าน ดังกรอบแกรบ อยู่ใกล้เหลือเกิน เมื่อไอรีนเปิดไฟสว่างโพล่งขึ้น ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เธอจึงดับไฟ และ เอนกายลงบนเตียง อีกครั้งนึกค่อนตัวเอง อยู่ในใจ ว่าคงจะเหนี่อยจากการเดินทางทำให้ประสาทหลอน ได้ยินเสียงอะไร ไปต่างๆ นานา แต่ยังนึกได้ไม่ทันเท่าไร ก็ได้ยินเสียง กรอบแกรบ คล้ายหน้าหนังสือพิมพ์ถูกพลิก เปิดกลับไปกลับมา สลับด้วยเสียงเดินลากเท้า จากข้างเตียงไปยังประตูห้อง ทีนี้ไอรีนถึง กับสะดุ้งโหยงเปิดไฟจ้าทั่วทั้งห้อง เสียงก็เงียบหายไป และ ในเวลาไม่นานนักเธอก็ผลอยหลับไป ด้วยความเหนื่อยอ่อน รุ่งเช้า ไอรีนใช้เวลาตรวจห้องอีกครั้ง สงสัยว่าอาจจะมีหนูมาคุ้ยเขี่ยทำเสียงประหลาดให้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไร ให้ชวนสงสัยยกเว้นเพียงกลิ่นเหม็นอับที่ยังคงโชยอยู่อย่างไม่ขาดระยะ เธอจึงแจ้ง ให้ทางโรงแรมมาอบห้องทำความสะอาดแต่ก็ไม่มีใครมาจัดการให้ตามที่เธอต้องการ

ดังนั้นดลอดเวลา 3 อาทิตย์ ไอรีนจึงต้องนอนเปิดไฟสว่างทั้งคืนท่ามกลางเสียงประหลาดที่ยังคงรบกวนโสตประสาทของเธอ จนในที่สุด ไอรีน ไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไป เธอประกาศกร้าวกับตัวเองว่า จะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนั้น ให้รู้ดีกันไปข้างหนึ่ง ในคืนนั้น เธอพยายามข่มตามิให้หลับ หากแต่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงปิดไฟมืด รอคอยการมาปรากฎของเสียงประหลาดนั้น ทันใดนั้นเองเธอก็รูสึกเหมือนว่ามีมือใครบางคน พยายามจะใช้หมอนกดลงบนจมูก ของเธอไม่ให้หายใจ เธอดิ้นรนปัดป้องจนสุดฤทธิ์จนหมอนนั้นกระเด็นตกลง ไปที่พื้นห้อง แต่ไม่มีวันที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ


วันรุ่ง ขึ้นขณะที่เธอเดินเข้าไปในห้องอีกครั้งเธอรู้สึกเสียวแปลบ คล้ายถูกของมีคมแทงเข้าที่แเผ่นหลัง และในคืนนั้นเธอตื่นขึ้นมา ด้วยอาการตระหนกที่ร่างกายของเธอไม่สามารถ ขยับเขยื้อนได้ประหนึ่งถูกตรึงกับที่นอนเธอพยายามร้องตะโกนขอความชวยเหลือ แต่ก์ไม่เป็นผลยังดีที่โชคเข้าข้างเธอทำให้เธอ สามารถโทรไปแจ้ง เหตุการณ์กับเพื่อนชาย ซึ่งเมื่อเขามาถึงห้องพักของไอรีนนั้นก็พบว่าเธออยู่ในอาการช็อก สิ้นสติอยู่บนเตียงนั่นเอง ไอรีนตัดสินใจเดินทาง ไปพักผ่อน ที่ฟลอริด้า และหวนกลับมานิวยอร์คอีกครั้ง โดยเลือกพักที่ห้องอื่น ในโรงแรมเดิม และด้วยเหตุบังเอิญ เธอก็ได้พบกับเพื่อนบ้านรายหนึ่ง ซึ่งรู้ข่าวว่า ไอรีได้เคยพักอยู่ที่ห้อง บนชั้น12 และพบเหตุการณ์เลวร้าย เธอจึงสบโอกาสเล่าความเป็นมาของห้องนั้นให้ฟังว่า

เคยมีคนตายในห้องนั้น มาแล้วถึง 2 ศพ โดยรายแรกมีผู้พบ ว่าสิ้นใจอยู่บนเก้าอี้โยก ปลายเตียง และรายต่อมาก็สิ้นใจในอ่างอาบน้ำ พอฟังมาถึง ตรงนี้ ไอรีนก็รู้สึกสยองขึ้นมา เมื่อวาดภาพตัวเองหากในคืนนั้นเธอปัดหมอนที่ถูกกดโดยมือลึกลับ ออกจากใบหน้า ไม่สำเร็จ เธอคงจะกลายเป็นศพ รายทื่ 3 สำหรับห้องพักห้องนั้นเป็นแน่ !!!!!
Share:

ผีในหอพัก...

ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดินผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที

คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมากจนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมาเข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยังไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้

คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟแก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้นยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้

เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้นจาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคยอยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเองขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใครเขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา …
Share: