วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก


22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) จะเกิดปรากฏการณ์แกนโลกพลิก และการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ มันคือวันล่มสลายแห่งมนุษยชาติ
แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012
จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

กลุ่มนักค้นคว้าเรื่อง UFO จำนวนมาก (ในต่างประเทศ) ที่ได้ทำการติดต่อกับพวกเขาอย่างลับๆ รายงานว่ามนุษย์ต่างดาวได้ตระหนักถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับโลกในช่วงระยะอันใกล้นี้ ได้เข้ามาบันทึกและศึกษาเหตุการณ์การสูญพันธุ์ของรูปแบบอารยธรรมเกี่ยวกับมนุษย์ อันเนี่องมาจากการขาดของความรู้ของเราเอง ขณะนี้เขากำลังจัดเตรียมเครื่องมือสำหรับการตรวจวัดและคัดเลือกมนุษย์ที่เขาจะช่วยชิวิตเอาไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้ว...

พวกเขาได้รับสัญญาณและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลก ว่ามีบางสิ่งที่รุนแรงจะเกิดขึ้น ซึ่งเขากำลังเตรียมช่วยเหลือเราอย่างเงียบๆ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเราไปสู่ปลายทางที่ปลอดภัยที่เราไม่อาจรู้ (ซึ่งฃ่าวนี้ตรงกับข้อมูลทางกลุ่มเขากะลาของไทยที่บอกไว้คล้ายกัน เกี่ยวกับการเตรียมการช่วยเหลือตามจุดต่างๆ 8จุด ทั้งในไทยและต่างประเทศ)

หลายๆเหตุการณ์ เช่นTsunami, มันเป็นไปได้ที่เราจะงงงวยและจ้องมองมัน กับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ถ้าเรื่องราวนี้ถูกต้อง, มันอาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่เราจะอยู่รอดจะเพื่ออารยธรรมของเรา บางทีเราอาจต้องเคลื่อนย้ายสู่ดาวเคราะห์อื่นๆ เช่นที่มันอาจจะเคยเกิดขึ้นบนดาวอังคารเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว...
Magnetic Pole Reversal ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกด้าน ค.ศ.2012
เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA
ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์
แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน

การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ

"ฮารัลด์ เลสช์" (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย "มิวนิค" ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ "ฮารัลด์ เลสช์" สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศ >>>แต่ทะว่าโลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียรเหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง

คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................


หายนะที่ได้กล่าวมานี้ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่กล่าวมา (หรืออาจร้ายแรงกว่า) ขึ้นอยู่กับว่า การที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัวนั้นจะใช้เวลานานขนาดใหน ขอให้ทุกคนโชคดี

บทความ : BeverNetwork

อันนี้เป็นบทความหนึ่ง ที่พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเพิ่งจะเชื่อว่า สักวันดวงอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศตะวันตก ในขณะที่เรา..มุสลิมรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดตามที่อัลลอฮฺบอกไว้
ไม่ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดเร็วหรือช้า สิ่งที่สำคัญที่สุดเราเตรียมเสบียงแห่งความดีไว้พร้อมหรือยัง
ขอให้เราทุกคนไปรับทางนำเถิดขอให้ได้รับชัยชนะ ได้เป็นชาวสวรรค์กันถ้วนหน้า
ไม่ทราบแหล่งที่มาแต่มา จากFWเมล์ แต่ขออภัยมาลงในกระทู้ตักเตือน เพื่อทุกคนจะได้หยุดเป็นลูกตุ้มถ่วงสังคมสักที่

แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์คาดการณ์ว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กในโลกและดวงอาทิตย์ จะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของอารยธรรมมนุษยชาติในปี คศ. 2012

1 มีนาคม 2548

จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่ม นักธรณีฟิสิกส์ และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่าทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี คศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์ จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี คศ. 2012

การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือ และขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์หน่วยเกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งแรงดึงดูดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าหากปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นควบคู่ไปพร้อมกับการสลับขั้วของดวงอาทิตย์ที่จะมีขึ้นในทุกๆ 11 ปี ในปี คศ. 2012 แล้ว ปัญหาอันใหญ่ยิ่งจะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสมัยใหม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นนี้ยังไม่เคยได้มีการการบันทึกไว้ จะมีก็แต่เพียงแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เท่านั้นที่จะสามารถทำนายผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นได้ เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคง แต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์

แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้น สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้น พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆ ตามมาอีก เช่น
- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆ รวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง
- โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด, การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม ที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ
- สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere) ของโลกจะอ่อนตัวลง และการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย
- แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ถ้าคุณรวมเอาเหตุการณ์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดการทำลายล้างเหล่านี้ทั้งหมดมาผนวกรวมกันแล้ว คุณก็จะสามารถอธิบายสิ่งที่คุณจะมองเห็นด้วยคำง่ายๆ ว่า โลกอาจจะไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษยชาติในปี คศ. 2012 และผู้คนทั้งหลายผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกหรือใกล้กับพื้นผิวโลก

สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใต้ผิวโลกที่ลึกลงไปเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่รอด โดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ในกระบวนการที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ คงเป็นเวลาอีกหลายล้านปีถัดจากนี้ เราจึงจะได้เห็นรูปแบบของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่หรือมีความชาญฉลาด ที่จะกลับมาครอบครองบนพื้นผิวโลกอีกครั้ง

เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเหมือนดังเช่นที่ได้เคยเกิดขึ้นในห้วงที่เกิดคลื่นสึนามิ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกงงงวย และเฝ้าจ้องมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างคิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แล้วในที่สุดมันก็พัดพาเราออกไปสู่ท้องทะเล

ถ้าแบบจำลองนี้ถูกต้องแม่นยำ นั่นหมายถึงว่าหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับพวกเราที่จะอยู่รอดเพื่อที่จะรักษาอารยธรรมของเราเอาไว้ต่อไป นั่นก็คือการลงไปอาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลกหรือไม่ก็อพยพเคลื่อนย้ายไปอาศัยยังดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้มันอาจจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับดาวอังคารเมื่อย้อนหลังไปหลายล้านปีที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวที่ไม่ปรกติของผู้มาเยือนจากนอกโลกหมายถึง UFO ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าอาจมีใครบางคนจากนอกโลกรู้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ อาจบางทีพวกเขาอาจจะกำลังจะพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ ด้วยการจำลองภาพเหตุการณ์เพื่อเป็นการบอกเตือน หรือแม้แต่ย้ายพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางที่ไหนสักแห่งที่เราไม่อาจรู้ได้.
เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์ แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น