วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แม่น้ำไนล์ แม่น้ำแห่งเทพเจ้า ที่สุดของแหล่งพึ่งพิงของสิ่งมีชีวิต



แม่น้ำไนล์ ภาษากรีก มีความหมายว่า หุบเขาที่มีแม่น้ำ และยังมีชื่อเรียกอีกว่า ไอกึปตอส (Aigyptos) แปลว่า "แผ่นดินอียิปต์” ด้วยเหตุผลความผูกพันกับ พื้นแผ่นดินไอยคุปต์แห่งแอฟริกามาช้านาน โดยอยู่ในการดำรงชีพ ความเชื่อ และพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของชาวอียิปต์ ที่ไหลผ่านหลายประเทศ ได้แก่ บุรุนดี รวันดา คองโก แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา เอธิโอเปีย ซูดาน และอียิปต์ มีระยะทางเป็นความยาวทั้งสิ้น 6,695 กิโลเมตร ซึ่งเป็นสายน้ำที่มีความยาวที่สุดในโลก
สายน้ำแห่งดินแดนไอยคุปต์นี้เป็นสัญลักษณ์ของการอยู่รอด มีชีวิต ความเป็นนิรันดร์ และความเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมลึกลับนี้ การค้นหาต้นกำเนิดของสายน้ำจึงเป็นความจริงที่มืดดำมาช้านาน ในช่วงเริ่มที่มีการค้นคว้าและสำรวจหาต้นกำเนิดนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรีก ผ่านเวลากว่า 2,000 ปี เมื่อวิทยาการก้าวไกลก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่า...ต้นกำเนิดนั้นอยู่ที่ใด


แหล่งกำเนิดของแม่น้ำอันลึกลับ
มีทีมสำรวจมากมายประสบความล้มเหลวในการค้นหาว่า แหล่งกำเนิดของแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก อยู่ที่ใด จนในที่สุดการสำรวจในยุคปัจจุบันได้พบว่า ต้นสายของแม่น้ำอันลึกลับอยู่ในประเทศอันทุรกันดาร 2 ประเทศ คือ ประเทศยูกันดาและประเทศเอธิโอเปีย โดยแบ่งเป็นแม่น้ำ 2 สายที่สำคัญ ได้แก่
แม่น้ำไนล์ขาว หรือ The White Nile ซึ่งกำเนิดมาจากทะเลสาบวิกตอเรีย (Lake Victoria) อยู่ในประเทศยูกันดา
แม่น้ำไนล์น้ำเงิน หรือ The Blue Nile กำเนิดมาจากทะเลสาบทานา (Lake Tana) อยู่ในบริเวณที่ราบสูงของประเทศเอธิโอเปีย
สายน้ำทั้ง 2 สายย่อยนี้ จะไหลมาบรรจบรวมกันที่ เมืองคาร์ทูม (Khartoum) ประเทศซูดาน กลายเป็นสายน้ำใหญ่ที่เรียกว่า แม่น้ำไนล์ ซึ่งจะไหลไปหล่อเลี้ยงผืนแผ่นดินในหลายประเทศ โดยขึ้นทางเหนือจนไปถึงประเทศอียิปต์ ที่เมืองไคโร จากนั้นสายน้ำที่ไหลมาจากดินแดนอันแสนไกลจะแยกกันอีกครั้ง
สายหนึ่งไหลลงไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ณ เมืองดามิตตา (Damietta) ส่วนอีกสายหนึ่งจะไหลไปทางเมืองราชิด (Rashid) โดยในอดีตชื่อว่าเมืองโรเซตตา (Rosetta) ซึ่งเคยขุดพบแท่งหินโรเชตตา ที่เป็นหลักฐานสำคัญของวิวัฒนาการภาษาและตัวอักษรของมนุษย์


การเดินทางของน้ำ การเดินทางของอารยธรรมแม่น้ำไนล์ขาว
เมื่อทราบถึงการเดินทางของสายน้ำจากจุดกำเนิดแล้ว หากเราขยับกล้องขยายให้ชัดกว่านี้จะพบว่าตลอดการเดินทางของสายน้ำที่ชื่อว่า ไนล์ นั้น มีเรื่องราว มีวิถีชีวิตที่อยู่คู่กับสายน้ำแห่งชีวิตตั้งแต่ต้นสายไปจนถึงปลายสาย
แม่น้ำไนล์ขาวซึ่งกำเนิดจากทะเลสาบวิกตอเรียถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอังกฤษ จอห์น ฮันนิง สปีก (John Hanning Speke) เขาพบทะเลสาบแห่งนี้และได้ตั้งชื่อตามพระนามของพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ โดยสายน้ำนี้ดึงดูดให้เขาสำรวจไปถึงต้นน้ำของแม่น้ำไนล์ ที่บริเวณข้ามกับหมู่บ้านเอจจินจา (Ejjinja) ซึ่งมีชนพื้นเมืองเผ่าวากันดา (Waganda) ได้อาศัยใช้ชีวิตกับแม่น้ำที่พวกเขาเรียกว่า คีรา (Kiira) ที่มีน้ำตกสวยงามจนจอห์น ฮันนิง สปีก บรรยายไว้ว่า ไม่เคยพบน้ำตกใดน่าทึ่งขนาดนี้มาก่อน และเขายังเชื่อว่าบริเวณนี้คือต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ แม้จะมีคนเห็นแย้ง แต่ปัจจุบันการสำรวจก็พิสูจน์ว่าเป็นจริงตามที่นักสำรวจคนนี้เชื่อ
น้ำตกและแม่น้ำนี้เป็นแหล่งน้ำที่ชาวพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ได้อาศัยหาปลา ล่องเรือแคนูในการสัญจร และเลี้ยงชีพมาตลอด จนกระทั่งในปี 1974 น้ำตกแห่งนี้จึงเป็นแค่ตำนานเมื่อมีการสร้างเขื่อนขึ้น และเหตุผลที่สายน้ำย่อยแห่งนี้มีชื่อว่า แม่น้ำไนล์ขาว เนื่องจากน้ำในบริเวณนี้มีสีขาวและเขียว

เมื่อทราบถึงการเดินทางของสายน้ำจากจุดกำเนิดแล้ว หากเราขยับกล้องขยายให้ชัดกว่านี้จะพบว่าตลอดการเดินทางของสายน้ำที่ชื่อว่า ไนล์ นั้น มีเรื่องราว มีวิถีชีวิตที่อยู่คู่กับสายน้ำแห่งชีวิตตั้งแต่ต้นสายไปจนถึงปลายสาย
แม่น้ำไนล์ขาวซึ่งกำเนิดจากทะเลสาบวิกตอเรียถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวอังกฤษ จอห์น ฮันนิง สปีก (John Hanning Speke) เขาพบทะเลสาบแห่งนี้และได้ตั้งชื่อตามพระนามของพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ โดยสายน้ำนี้ดึงดูดให้เขาสำรวจไปถึงต้นน้ำของแม่น้ำไนล์ ที่บริเวณข้ามกับหมู่บ้านเอจจินจา (Ejjinja) ซึ่งมีชนพื้นเมืองเผ่าวากันดา (Waganda) ได้อาศัยใช้ชีวิตกับแม่น้ำที่พวกเขาเรียกว่า คีรา (Kiira) ที่มีน้ำตกสวยงามจนจอห์น ฮันนิง สปีก บรรยายไว้ว่า ไม่เคยพบน้ำตกใดน่าทึ่งขนาดนี้มาก่อน และเขายังเชื่อว่าบริเวณนี้คือต้นกำเนิดของแม่น้ำไนล์ แม้จะมีคนเห็นแย้ง แต่ปัจจุบันการสำรวจก็พิสูจน์ว่าเป็นจริงตามที่นักสำรวจคนนี้เชื่อ
น้ำตกและแม่น้ำนี้เป็นแหล่งน้ำที่ชาวพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ได้อาศัยหาปลา ล่องเรือแคนูในการสัญจร และเลี้ยงชีพมาตลอด จนกระทั่งในปี 1974 น้ำตกแห่งนี้จึงเป็นแค่ตำนานเมื่อมีการสร้างเขื่อนขึ้น และเหตุผลที่สายน้ำย่อยแห่งนี้มีชื่อว่า แม่น้ำไนล์ขาว เนื่องจากน้ำในบริเวณนี้มีสีขาวและเขียว

บรรจบกันเป็นแม่น้ำไนล์
หลังการเดินทางผ่านประเทศเอธิโอเปียและเข้าสู่ประเทศซูดาน ระยะทางกว่า 480 กิโลเมตร ถึงเมืองคาร์ทูม แม่น้ำไนล์น้ำเงินจะไหลเข้าไปรวมกับแม่น้ำไนล์ขาว ที่เดินทางจากทะเลสาบวิกตอเรียจนกลายเป็นเป็นแม่น้ำไนล์ ซึ่งจะไหลหล่อเลี้ยงธรรมชาติ และพื้นแผ่นดินของหลายประเทศจนลงไปสู่ทะเลในระยะทางกว่า 3,000 เมตร

ด้วยระยะทางที่เป็นที่สุด สายน้ำที่เดินทางด้วยกลไกของธรรมชาติได้รับหน้าที่ให้มีบทบาทสำคัญยิ่ง ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เพราะความอุดมสมบูรณ์ของปริมาณน้ำซึ่งเกิดจากปริมาณฝน และการไหลละลายของหิมะบนยอดเข้าสู่ประเทศเอธิโอเปียที่สามารถช่วยในการดำรงชีพ ทำเกษตรกรรม โดยกระแสน้ำที่พัดพาตะกอนดินจากระยะทางไกลก็ได้ก่อเกิดดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ จนทำให้มีการอยู่อาศัย อพยพมาตั้งรกราก ก่อเกิดเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองอย่างอียิปต์
ความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทำให้ผู้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำไนล์นั้นมีความเชื่อเคารพแม่น้ำแห่งนี้ โดยเฉพาะชาวอียิปต์ ซึ่งเชื่อว่าอียิปต์เป็นของขวัญของแม่น้ำไนล์ อีกทั้งยังผูกพันกับความเชื่อทางศาสนาอย่างตำนานโมเสสศาสดาแห่งศาสนายิว ผู้ปลดปล่อยชาวอิสราเอล
Share:

ชนเผ่านาวาโฮ


ชนเผ่านาวาโฮ (อังกฤษ: Navajo) มีจำนวนประชากรราว 220,000 คน อาศัยบริเวณเขตสงวนที่กว้างใหญ่ ชนเผ่านาวาโฮเป็นอินเดียนแดงกลุ่มใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ในประวัติศาสตร์ชนเผ่านาวาโฮเริ่มจาก "การเดินทางอันยาวนาน" (The Long Walk) ในปี ค.ศ. 1864 หลังการสู้รบกับชาวสเปนและชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ ชาวนาวาโฮถูกบังคับให้ย้ายไปในเขตหุบเขาโมนูเมนต์ราว 480 กิโลเมตร หลังจากนั้นอีกสี่ปี ชาวนาวาโฮก็ได้รับอนุญาตให้ย้ายกลับไปยังเขตสงวนแบบดั้งเดิม ออกล่าสัตว์และทำการเกษตร

ปัจจุบันชนเผ่านาวาโฮยังคงเลี้ยงแกะในหุบเขาโมนูเมนต์ ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ซึ่งได้รับแกะจากชาวสเปนเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 17 การเป็นเจ้าของแกะเป็นสัญลักษณ์ของความมีฐานะในสังคม แม้แกะจะถูกจำกัดจำนวนตั้งแต่ปี 1930 เพราะทุ่งหญ้ามีไม่เพียงพอ

โฮเก้น (hogan) หรือบ้านแบบดั้งเดิมของชาวเผ่านาวาโฮ ใช้เสาไม้ตั้งพิงกันเป็นกระโจมยอดแหลมแล้วพอกด้วยดินรอบๆซึ่งในปัจจุบันจะใช้ซุงเรียงซ้อนกันแล้วพอกดินจนทั่ว สินค้าเกษตรที่สำคัญของชาวเผ่านาวาโฮ เป็นพวกเครื่องเรือน เช่น ตะกร้าหวาย ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่สำคัญ

ขนสัตว์เริ่มเข้ามาแทนที่หนังกระต่ายเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ซึ่งขนสัตว์จะนำมาทำผ้าห่มและพรม ลวดลายส่วนใหญ่มาจากรูปวาดบนพื้นทรายซึ่งมีกว่า 800 ลาย
Share:

ผีกะ

ผีกะ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีพวกนี้จะมีลักษณะคล้ายผีปอบ คือเข้าสิงในคน และชอบกินของสดของคาว

คนที่เลี้ยงผีกะ เป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณเล่นของ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน เจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง

ผีกะ แต่เดิมคนที่เริ่มนำมาเผยแพร่ คือพวกลิเก หรือพวกนักดนตรี ที่แสดงการละเล่น เรียกว่าผีกะพระ-นาง ผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็กๆสองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง ผีกะชนิดนี้มีคุณประโยชน์ตรงที่ หากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้า ทำให้ยิ่งดึกยิ่งงดงาม การเลี้ยงผีกะจึงเป็นแฟชั่นของนักแสดงทางภาคเหนือในช่วงหนึ่งและเริ่มแพร่หลายสู่ภาคเหนือในจังหวัดต่างๆ จนกระทั่งแยกเป็นหลายชนิด ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ
ผีกะได้แตกสาขาออกเป็นหลายชนิด ดังต่อไปนี้

ผีกะพระ-นาง
ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชม ทำให้คนดูหลงไหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้นๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้นๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้
ผีกะดง
จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะดงนี้ มีอยู่จริงในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทำให้ร่างกายมีความคงกระพันชาตรี ดังมีเรื่องเล่าว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงรักลูกสาวของคหบดีในตัวเมือง แต่พ่อตาไม่ชอบเพราะว่าชายหนุ่มจน และจัดการให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มที่มั่งคั่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็ทราบเรื่องของเจ้าสาวดี จึงส่งคนมาทำร้ายคนรักของเจ้าสาว และหิ้วไปทิ้งในป่า ชายหนุ่มสะบักสะบอม เจ็บทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้แต่ปลงต่อความตาย รอให้สัตว์ร้ายในป่ามากิน ประจวบกับเวลานั้น มีฝูงผีกะดงกำลังออกหากิน ลูกฝูงผีกะจับขาชายหนุ่มเพื่อลากไปเป็นอาหาร ชายหนุ่มนิ่งเงียบปลงต่อชีวิต หัวหน้าผีกะแปลกใจมาก จึงห้ามลูกฝูงและสอบถามเรื่องราว ชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หัวหน้าผีกะเห็นใจ จึงบอกว่า หากชายหนุ่มยอมนับถือพวกตนเป็นผีประจำตระกูล จะช่วยให้ชายหนุ่มได้สมหวัง ชายหนุ่มตอบตกลง ผีกะจึงพากันรุมเลียตัวของชายหนุ่ม ด้วยอานุภาพน้ำลายบาดแผลจากการถูกทำร้ายหายสนิท ฝูงผีกะพาชายหนุ่มนั่งบนบ่า บุกบ้านแต่งงาน ลูกน้องของเจ้าบ่าวรุมทุบ รุมฟาดชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจทำร้ายชายหนุ่มได้แม้ปลายขน เพราะฝูงผีกะดงกำบังตาไว้ และถีบลูกน้องจนกระเด็นตกเรือนกันหมด พวกผีกะพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาโดยสะดวก หัวหน้าผีกะให้ทองคำและสมบัติที่พวกตนเฝ้ารักษาไว้ ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสัญญาและนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผีกะอาคม
การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษาผู้เรียนได้ มีคนบางคนที่เรียนอาคมโดยไม่ได้ขึ้นครูก่อน จึงโดนคำสาปที่ครูสาปแช่งไว้ในปั๊บหรือตำรานั้นๆ ทำให้กลายเป็นผีกะ ผีกะชนิดนี้จะสิงสู่ในตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว แต่ยามค่ำคืนมันจะออกไปหาอาหาร โดยแปลงตัวให้เหมือนหน้าร่างกายที่มันสิงอยู่
ผีกะตระกูล
ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.
ผีกะตายโหง
คนบางคนเมื่อตายโหง จิตใจยังพะวกพะวนกับโลก จึงสิงสู่ในที่ๆตนตาย แต่เพราะความยึดถือในกายว่าตนยังไม่ตาย เมื่อไม่ได้กินอะไรนานๆเข้า มันหิวกระหาย จึงสิงสู่คนผู้มีจิตอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มีอยู่จริงๆ จากเรื่องเล่าของแม่อุ้ยท่านหนึ่ง ว่า มีคนผู้หนึ่งชื่อ หนานเจต ทำนาที่ริมเขตเมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย(ทางอำเภอเชียงของ) โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนถูกควายขวิดตาย วิญญาณของคนผู้นั้นจึงสิงสู่หนานเจต พอค่ำลงที่ใกล้ๆหนานเจตนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทำนาอยู่ หนานเจตเดินเข้ามาหาชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านถามว่ามีอะไร หนานเจตไม่ตอบแต่ดวงตาค่อยๆแดงก่ำและมีเขี้ยวงอกออกมา กระโจนเข้าหาชาวบ้านผู้นั้น ชาวบ้านคนนั้นวิ่งหนีลงมาจากระท่อมนาอย่างขวัญกระเจิง มาหาพ่อของย่าที่กำลังนอนอยู่ บอกให้ช่วยไล่ผีไปที พ่อของย่าจึงถือไม้ไผ่และสายสิญจน์เดินไปดู แต่หนานเจตกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยังคงนอนหลับอยู่ที่ห้าง ผีกะชนิดนี้จึงอาศัยร่างต้นเหมือนปรสิตวิญญาณ จะพาร่างกายออกหากินในยามเจ้าของหลับ
นกเค้าผีกะ
ผีกะชนิดนี้มีทูตเป็นนกเค้าแมว สังเกตได้ง่ายว่าหากจะมีผีกะมาเยือนหมู่บ้านไหน กลางคืนคืนนั้นจะมีนกเค้าแมวมาร้อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่นกควรร้อง(ฤดูหนาว) รุ่งเช้าคนที่เข้ามาหมู่บ้าน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผีกะ
Share:

เทพซูส


เป็นราชาแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองเขาโอลิมปัส (Olympus) และเทพแห่งท้องฟ้าและฟ้าร้องของตำนานเทพปกรณัมกรีก สัญลักษณ์ประจำพระองค์คือสายฟ้า โคเพศผู้ นกอินทรี และต้นโอ๊ก นามของซีอุสแปลว่าความสว่างของท้องฟ้า

นามของพระองค์ในตำนานเทพปกรณัมโรมันคือเทพจูปิเตอร์ (Jupiter) และนามในตำนานอีทรูสแคนคือเทพไทเนีย (Tinia)

พระองค์เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของโครนัส (Cronus) และรีอา (Rhea) ซึ่งเป็นเทพไททัน ในหลายๆ ตำนานกล่าวว่าพระองค์ได้สมรสกับเทพีเฮร่า (Hera) แต่ก็มีสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองดอโดน่า (Dodona) ที่อ้างว่าคู่สมรสของเทพซูสแท้จริงแล้วคือเทพีไดโอนี (Dione) นอกจากนี้มหากาพย์อีเลียด (Illiad) ยังกล่าวไว้ว่าเทพซูสเป็นพระบิดาของเทพีอโฟรไดต์ (Aphrodite) ที่กำเนิดจากเทพีไดโอเน่อีกด้วย เทพซูสมักมีชื่อเสียงในพฤติกรรมนอกลู่นอกทางเรื่องชู้สาวของพระองค์ ซึ่งยังรวมไปถึงความสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มนามแกนีมีด (Ganymede) ด้วยเช่นกัน พฤติกรรมของพระองค์ทำให้เกิดผู้สืบเชื้อสายอยู่หลายองค์และหลายคนด้วยกัน อาทิเช่น เทพีอาธีน่า (Athena) เทพอพอลโล (Apollo) และเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพเฮอร์มีส (Hermes) เทพีเพอร์ซิโฟเน่ (Persephone) เทพไดโอไนซัส (Dionysus) วีรบุรษเพอร์ซิอุส (Perseus) วีรบุรุษเฮอร์คิวลีส (Hercules) เฮเลนแห่งทรอย (Helen) กษัตริย์ไมนอส (Minos) และเหล่าเทพีมิวเซส (Muses) ส่วนผู้สืบเชื้อสายที่เกิดจากเทพีเฮร่าโดยตรงได้แก่เทพเอรีส (Ares) เทพีเฮบี (Hebe) และเทพเฮฟเฟสตุส (Hephaestus) เทพีเอริส (Eris) และ เทพีไอไลธีเอีย (Eileithyia)
ตำนานการถือกำเนิดของเทพซูสมีอยู่ว่า เทพีไกอาเทพมารดาแห่งผืนดิน ได้สมรสกับเทพยูเรนัสเทพแห่งท้องฟ้า และมีบุตรกลุ่มแรกคือ เหล่าเทพไททันซึ่งสร้างความภาคภูมิแก่เทพยูเรนัสมาก แต่ทว่าบุตรต่อๆมาของเทพีไกอากลับอัปลักษณ์และน่ากลัว เช่น ยักษ์ไซคลอปส์ที่มีตาข้างเดียวกลางใบหน้า และอสุรกายน่าเกลียดต่างๆ ทำให้เทพยูเรนัสพิโรธโยนบุตรเหล่านั้นลงไปขังในคุกทาร์ทะรัสใต้พิภพ

เทพีไกอาแค้นเทพยูเรนัสมากจึงยุยงให้เหล่าเทพไททันก่อกบฏ ไม่มีเทพองค์ใดที่กล้าชิงบัลลังก์พระบิดายกเว้นเทพโครนัส และจากการช่วยเหลือจากเทพีไกอาทำให้เทพโครนัสชิงอำนาจได้สำเร็จ ทว่าเทพโครนัสไม่ได้ทำตามสัญญาที่จะปลดปล่อยอสูรผู้เป็นน้อง เทพีไกอาจึงสาปแช่งว่าบุตรที่จะเกิดมาของโครนัสจะชิงอำนาจไปเหมือนกับที่บิดาเคยทำ

เทพโครนัสตระหนักมากเพราะหลังจากนั้นไม่นาน เทพีรีอา พระชายาก็ตั้งครรภ์ เมื่อได้ข่าวการประสูติ เทพโครนัสจึงบุกเข้าไปในตำหนักพระชายาและจับทารกผู้เป็นสายเลือดของตนกลืนลงท้องไป และครรภ์ต่อๆมาของเทพีรีอาก็เช่นกัน ส่งผลให้เทพีรีอาเศร้าเสียใจอย่างมาก

โครนัสให้กำเนิดบุตรและธิดารวมหกองค์ คือ เฮสเทีย เฮดีส ดีมิเตอร์ โพไซดอน เฮรา ซูส ซึ่งพอกำเนิดมาได้ถูกโครนัสจับกลืนลงท้องไปแต่เนื่องด้วยซูสหนีออกมาได้ จึงรอให้ตัวเองโตแล้วกลับมาช่วยอีก 6 องค์ในภายหลัง เนื่องจาก เฮสเทีย เฮดีส ดีมิเตอร์ โพไซดอน และเฮรา เป็นเทพจึงไม่ตายตอนอยู่ในท้องของโครนัส
ความคับแค้นใจทำให้เทพีรีอาตัดสินใจเก็บบุตรคนสุดท้องเอาไว้ โดยแสร้งส่งก้อนหินห่อผ้าให้เทพโครนัสไป ทารกซูสถูกเลี้ยงดูอย่างดีโดยเทพีไกอาผู้เป็นย่าได้นำทารกซีอุสไปซ่อนไว้ในหุบเขาดิกเทอ ในเกาะครีต ซีอุสกินอาหารคือน้ำผึ้งและน้ำนมจากนิมฟ์ครึ่งแพะที่ชื่อว่า อะมาลไธอา ซึ่งในภายหลังซีอุสได้ได้สร้างนางให้เป็นกลุ่มดาวแพะ หรือกลุ่มดาวมกรในจักรราศีและมีครึ่งเทพครึ่งแพะแห่งป่าที่เล่นฟลุทอยู่ตลอดเวลาชื่อแพนเป็นผู้ให้การศึกษา เมื่อซีอุสเติบใหญ่แข็งแรงจึงหวนกลับไปแก้แค้นโครนอสผู้เป็นเทพบิดาตามคำร้องขอของเทพีมารดา

รีอาได้หลอกให้โครนอสกินยาที่จะทำให้สำรอกบุตรที่เคยกลืนออกมา ด้วยความเป็นเทพเจ้าทำให้เหล่าเทพที่ถูกกลืนลงไปไม่ตายซ้ำยังเติบโตขึ้น เรียงลำดับได้ดังนี้

1.เทพีเฮสเทีย หรือ เวสตา เทพีแห่งไฟและเทพีผู้คุ้มครองครอบครัว เป็นเทพีครองพรหมจรรย์

2.เทพี ดีมิเตอร์ หรือ เซเรสเทพีแห่งพันธุ์พืช ธัญญาหารและการเพาะปลูก มีธิดากับเทพซูสหนึ่งองค์คือ เทพีเพอร์ซิโฟเน หรือ โพรเซอพิน่าผู้เป็นชายาของฮาเดส

3.เทพี เฮราหรือ จูโนเทพีแห่งการสมรส เป็นมเหสีของเทพซูส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องหึงหวง มีโอรสและธิดากับเทพซูส 3 องค์คือ เฮฟเฟสตุส ฮีบีกับ อาเรส

4.เทพเฮดีสหรือ พลูโต จ้าวแห่งดินแดนใต้พื้นพิภพ เป็นผู้ปกครองพิภพบาดาลและโลกคนตาย มีเทพีเพอร์ซิโฟเนหรือ โพรเซอร์พิน่าเทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิผู้เป็นธิดาของเทพีเซเรสเป็นมเหสี

5.เทพโพไซดอนหรือ เนปจูน จ้าวแห่งท้องทะเล ปกครองน่านน้ำเมดิเตอร์เรเนียนและน้ำที่ใช้ประโยชน์ได้ มีเทพีแอมฟิไทรท์ หรือ อัมฟิตรีติ เป็นมเหสี

เมื่อเทพทั้งห้าได้ออกมาจากท้องของโครนัสแล้วจึงร่วมกับซูสปราบโครนัสและส่งโครนัสไปขังไว้ที่ทาร์ทะรัส

ซูสได้รับตำแหน่งเทพผู้นำของเหล่าเทพ เนื่องจากการจับฉลากแบ่งหน้าที่ของทั้งสามพี่น้อง และได้พาเหล่าเทพทั้งหลายขึ้นไปอาศัยอยู่บนเทือกเขาโอลิมปัส

แม้ว่าเหล่าเทพทุกองค์จะยอมยกตำแหน่งผู้นำให้กับซูสในทีแรก แต่ในตอนหลังเหล่าเทพต่างๆก็ต่างพากันหาหนทางในการยึดอำนาจมาเป็นของตนเองอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฮราผู้เป็นชายาของซูส ได้พยายามที่จะรวบรวมเหล่าเทพเพื่อก่อการกบฏอยู่เสมอ แต่ในท้ายที่สุดซูสก็สามารถที่แก้ไขปัญหา และจับตัวนางมาลงโทษได้อยู่เสมอ
Share:

โพไซดอน


โพไซดอน หรือ โพเซดอน หรือ โปเซดอน (อังกฤษ: Poseidon; กรีก: Ποσειδών; ละติน: Neptūnus เนปจูน) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีตรีศูลเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย

ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 5 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมเปียนทั้งสิ้น ได้แก่

1.เฮสเทีย เทพีแห่งเตาผิง ผู้ดูแลครัวเรือน
2.ดีมิเตอร์ เทพีแห่งธัญพืชและการเกษตร
3.เฮรา ชายาแห่งเทพซูส เทพีผู้คุ้มครองสตรีและการสมรส
4.ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
5.ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
รูปลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน

โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่งคือแอมฟิไทรท์ ซึ่งเป็นนีริอิด หรือบุตรสาวของ นีริอัสและดอริส โพไซดอนเห็นนางเต้นรำร่วมกับเหล่านีริอิดอื่นๆ จึงลักพาตัวนางไปเป็นชายาในดินแดนใต้สมุทร

ชายาอีกองค์หนึ่งของโพไซดอนเป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย

โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล

ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพเซดอนอยู่
Share:

สงครามกรุงทรอย


สงครามกรุงทรอย (อังกฤษ: Trojan War) หรืออาจรู้จักกันในชื่อ สงครามม้าไม้ เป็นสงครามที่สำคัญตำนานของกรีก โดยเกิดขึ้นที่กรุงทรอย ซึ่งตั้งอยู่ในเอเชียน้อย หรือบริเวณประเทศตุรกีในปัจจุบัน และเป็นสงครามระหว่างกองทัพของชาวกรีกและกรุงทรอย หลังจากที่ปารีสแห่งทรอยได้ลักพาตัวเฮเลนซึ่งเป็นภรรยาของเมนนิลิอัส กษัตริย์ของสปาร์ตาในขณะนั้น สงครามเมืองทรอยถูกเล่าผ่านงานเขียนที่สำคัญสองเรื่องของกรีก คืออีเลียดและโอดิสซีย์ โดยอีเลียดเล่าเรื่องราวตั้งแต่ปีที่สิบ จนถึงสิ้นสุดสงคราม ส่วนโอดิสซีย์เล่าเรื่องราวหลังจากสงครามจบสิ้น

หลังจากสู้รบกันเป็นเวลาสิบปี กองทัพกรีกก็ได้คิดแผนการที่จะตีกรุงทรอย โดยการสร้างม้าไม้จำลองขนาดยักษ์ ที่เรียกว่าม้าไม้เมืองทรอย โดยทหารกรีกได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในม้าโทรจัน แล้วก็ทำการเข็นไปไว้หน้ากรุงทรอย เหมือนเป็นของขวัญและสัญลักษณ์ว่าชาวกรีกยอมแพ้สงคราม และได้ถอยทัพออกห่างจากเมืองทรอย ชาวทรอยเมื่อเห็นม้าโทรจัน ก็ต่างยินดีว่ากองทัพกรีกได้ถอยทัพไปแล้ว ก็ทำการเข็นม้าโทรจันเข้ามาในเมือง แล้วทำการเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่ เมื่อชาวทรอยนอนหลับกันหมด ทหารกรีกที่ซ่อนตัวอยู่ ก็ออกมาจากม้าโทรจัน แล้วทำการเปิดประตูเมืองให้กองทัพกรีกเข้ามาในเมือง แล้วก็สามารถยึดเมืองทรอยได้ ก่อนที่จะทำการเผาเมืองทรอยทิ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เหล่าเทพไม่พอใจ และทำการกลั่นแกล้งไม่ให้ชาวกรีกได้กลับบ้านเมืองอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าอยู่ในโอดิสซีย์
Share: