วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

วันปล่อยผี

"สมศรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยนามบัญญัติ

ถึงแม้ว่าภาพสยองขวัญวันนั้นจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่มันก็ติดตาติดใจดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ!

สมัยก่อน ตรอกนามบัญญัติที่ถนนประชาธิปไตยใกล้ๆกับวัดมกุฏฯ ยังเต็มไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว แม้ว่าเข้าไปราว 100 เมตรจะเลี้ยวซ้ายเข้าหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านเล็กเรือน น้อยอยู่ติดๆ กันก็จริง แต่เมื่อเลี้ยวขวาจะไปออกทางด้านหลังวัดอินทร์ จะมีที่รกร้างรอบๆ บึงที่มีต้นอ้อกอพงรกทึบ

ตอนเย็นๆมักจะมีเด็กท่อมๆไปหาปลากัดบ้าง ช้อนลูกน้ำบ้าง...พอตกค่ำก็มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ

ผู้คนในซอยนั้นมักเป็นข้าราชการ หรือไม่ก็ทำงานบริษัทห้างร้าน คนที่อยู่บ้านก็มักหาลำไพ่ด้วยการรับจ้างกะเทาะเม็ดบัวบ้าง ฟั่นธูปบ้าง...ตอนนั้นมีบ้านที่ยึดอาชีพฟั่นธูปขายหลายบ้าน ส่วนมากจะส่งเจ้าประจำที่ปากคลองตลาดเกือบทั้งหมด

ดิฉันเป็นหลานป้ากิมไล้ที่เป็นม่ายสามีตายมาหลายปีแล้ว อยู่เกือบกลางซอยเป็นบ้านไม้สองชั้น ตอนเช้าๆ จะ มีลูกจ้างฟั่นธูปมาจากบ้านในซอยเดียวกันบ้าง มาจากเทเวศร์ บ้าง ชื่อน้าสมรกับน้าบังอรและน้าเดือน...ดิฉันเองชื่อสมศรีค่ะ

นึกถึงชื่อสมัยนั้นถือว่าเก๋มากนะคะ แต่มาสมัยนี้แทบจะหาคนชื่อแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว...ถือว่าตามยุคตามสมัยก็แล้วกัน!

บ้านป้ากิมไล้น่ะอะไรๆ ก็ดีหมด ชั้นล่างหน้าห้องดิฉันเป็นที่นั่งฟั่นธูปแล้วปักม้าไม้ที่เจาะรูเอาไว้หลาย สิบ พอธูปเต็มม้าดิฉันก็มีหน้าที่ยกไปตากแดด อาหารการกินมีพร้อม ก๋วยเตี๋ยวหมูที่เจ๊กเตี้ยหาบมาขายตอนบ่ายๆก็อร่อยมาก ...ชามละบาทเดียวเอง

...เสียอย่างเดียวที่ชั้นบนอันเป็นห้องนอนของป้ากิมไล้ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ ถูก แม้ว่าจะเปิดหน้าต่างและประตูไปสู่ระเบียงแคบๆ หน้าบ้าน...สาเหตุมาจากรูปถ่ายของอาก๋งที่อยู่บนหิ้งข้างฝานั่นเองค่ะ!

รูปถ่ายบานใหญ่ของเตี่ยป้ากิมไล้คล้ายจะจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายาวเรียว หนวดเฟิ้มแทบจะปิดริมฝีปาก นัยน์ตาดุมาก มองเห็นทีไรเล่นเอาดิฉันเสียวสันหลังทุกครั้ง...ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยอมขึ้นไป ชั้นบนเด็ดขาด

วันเกิดเหตุ ตอนบ่ายแก่ๆ มีฝนพรำแต่ก็เป็นอุปสรรคอย่างแรงสำหรับคนทำอาชีพฟั่นธูป เพราะไม่มีแสงแดดก็ต้องหยุดงาน...หลังจากตั้งโต๊ะผึ่งลมไว้ในบ้าน

แม้ฝนหยุดแต่แดดไม่ออกก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ได้แต่นั่งคุยกันแก้รำคาญไปเท่านั้น...

พอดีเจ๊กเตี้ยมาตั้งหาบที่หน้าบ้านตรงข้ามพอดี!

ลูกค้ามีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยืนเกาะหาบกินก็มี เอาชามมาใส่ไปกินที่บ้านก็มี...ป้ากิมไล้บอกว่ากินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง...สั่งมากินกันเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาล้างชาม!

เสร็พสรรพป้ากิมไล้ก็เรียกเจ๊กเตี้ยมาเก็บเงิน สั่งให้ดิฉันขึ้นไปเอากระเป๋าสตางค์ชั้นบน...ดิฉันกลัวเจ๊กเตี้ยจะรอก็วิ่ง ขึ้นบันไดไปทันที ก่อนจะหยุดชะงักที่กลางห้อง

กลิ่นควันธูปลอยกรุ่นมากระทบจมูก อากาศเย็นเฉียบจนดิฉันรู้สึกขนลุกซู่ที่ท้ายทอย หันขวับไปเงยหน้ามองรูปเตี่ยป้ากิมไล้บนหิ้งข้างฝาเหมือนมีอะไรดลใจ...ผงะ หน้าด้วยความตกตะลึงในพริบตานั่นเอง

คุณพระช่วย!ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ดิฉันรู้สึกเหมือนตายไปหลายต่อหลายชาติเต็มที!

ใบหน้าผอมซูบคล้ายมีแต่กระดูกในรูปนั้นเคยเห็นแต่หน้าตรง บัดนี้กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนคนที่มีชีวิตจิตใจ ...หันมามองดิฉันช้าๆ นัยน์ตาดุดันจ้องเขม็งจนกระทั่งกลายเป็นใบหน้าด้านข้าง ปากที่คลุมด้วยหนวดดกหนาอ้าเผยอส่งเสียงออกมาว่า...เข้ามาในห้องข้าทำไม?

ดิฉันกรีดร้องเหมือนคนบ้า รู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ กระโจนออกจากห้องลงบันได แทบจะชนกับป้ากิมไล้ที่วิ่งมาดู...ดิฉันโผเข้ากอดป้าแล้วร้องไห้โฮ... เพิ่งรู้ว่าวันนั้นตรงกับวันพระใหญ่ ซึ่งเขาถือว่าเป็นวันปล่อยผีค่ะ!
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น