วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ควายธนู-สัตว์อาคม


"วิชาหุ่นพยนต์"

ควายธนู เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูปแบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง

ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี
"เลี้ยงควายธนู"

ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสกเมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ

ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว
วัวธนู คือ ของอาถรรพ์ที่ปั้นขึ้นเป็นรูป 'วัว' ที่มีคำว่า 'ธนู' พ่วงมาเพราะ เมื่อผู้มีวิชาปล่อยวัวอาถรรพ์นี้ออกไปทำร้ายผู้อื่น หุ่นวัวจะพุ่งไปในอากาศ ในขณะนั้นสภาพของหุ่นวัวธนูจะย่นย่อลงเป็น 'ปรมาณู' วิ่งตรงไปยังเป้าหมาย

ผู้มีอาคมนิยมมีไว้ใช้เป็นทหารผี หรือเฝ้าบ้าน แต่ละสำนักจะให้คาถากำกับมาแล้ว

การเซ่นไหว้: จำเป็นต้องเซ่นไหว้ เพราะมีวิญญาณสิ่งสู่อยู่ หากไม่ไหว้ จะทำให้หุ่นไม่มีเรี่ยวแรงอิทธิฤทธิ์ และหากเป็นหุ่นผี เจ้าของอาจโดนเล่นงานถึงตายได้
. . . .
การเซ่นไหว้วัวธนู ท่านให้หาหญ้าคาเจ็ดก้านหรือ 7 ใบ แต่ละใบต้องทำการขมวดปลาย

ขณะขมวดปลายนั้นให้กลั้นหายใจด้วย แล้วท่องพระคาถาอุปคุตมัดมารสั้น ๆ ว่า
'อิมัง อังคะพันธะนัง อธิฏฐามิ'

ปมของทุกก้านให้เสกด้วยคาถานี้ทั้ง 7 ใบ

ถวายพร้อมน้ำเปล่า น้ำเปล่านี้เมื่อลามาแล้ว อย่าทิ้ง ใช้ประพรมหน้าร้านขายของดีนัก หากป่วยไข้ขอมาดื่มกินจะหายเช่นกัน

การบูชาวัวพุทธคุณ [ขอให้เฉพาะวัวพุทธคุณ ส่วนวัวผีไปหาจากทางสำนักที่คุณนำมาเองนะ]

จุดเทียน 1 คู่ [2 เล่ม] ธูป 4 ดอก แล้วว่า 'พระคาถาโองการวัวธนู 7 จบ + คาถาวัวธนู 4 จบ' ในวันแรกที่นำเข้าบ้าน และทุกวันพระใหญ่ คือ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ

หากต้องการเพิ่มความขลัง ควรบูชาเพิ่มในวันเสาร์และอังคาร จะทำให้วัวมีฤทธิ์มาก เพราะเป็นวันแข็ง สำหรับการบูชาใน 2 วันนี้ไม่ต้องสวดคาถาโองการวัวธนู สวดแค่คาถาวัวธนูอย่างเดียว

ควายธนูอิทธิฤทธิ์ สร้างจากดินอาถรรพ์ต่างๆผสมด้วยครั่งพุทรา ท่านกดพิมพ์ด้วยตัวท่านเองทุกตัว ในระหว่างกดท่านก็จะบริกรรมคาถาอาการ 32 ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ทุกตัวแล้วจึงนำไปตากแดดให้แห้งดีแล้ว จึงนำมาลงยันต์หัวใจควายธนูที่ด้านหลัง ขณะลงก็จะบริกรรมคาถากำกับไปด้วยจนสำเร็จป็นตัวทุกตัว จากนั้นก็จะนำมาปลุกเสกเพิ่มฤทธิ์ให้ควายธนูมีฤทธิ์เหนือฝูงผีทั้งปวง สามารถแสดงฤทธิ์ได้เหมือนมีตัวตนอยู่จริง

ควายธนูของอาจารย์โอม เป็นที่กล่าวขวัญในหมู่ลูกศิษย์ว่าเป็นของจริง มีตัวตนจริง ทั้งไล่ขวิดขโมยที่เข้ามาขโมยของในร้ายค้า เซ็นเซอร์สัญญานกันขโมยฟ้องว่ามีการเคลื่อนไหวในรถทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่ในรถพอปิดสัญญานแล้วบอกให้ควายแสดงฤทธิให้ดูใหม่สัญญานกันขโมยก็ดังขึ้นอีก เรื่องประสบการณ์มีมากมายพูดกันไม่รู้จบ ท่านสร้างจำนวนน้อยมาก ที่ด้านหลังจารด้วยหัวใจควายทุกองค์ มีคาถาและวิธีเลี้ยงให้ด้วย ของจริงเข้มขลังจริงต้องมีไว้บูชาครับ
วัวธนู หรือควายธนูนั้นมีการสร้างขึ้นมาในหลายรูปแบบด้วยกัน แล้วแต่ความสะดวก หรือว่าวัสดุที่ใช้ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสามชนิด
ดังต่อไปนี้

วัวทองแดง เป็นวัวธนูชั้นสุดยอด เพราะมีความทนทาน อีกทั้งยังสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ ไม่ว่าจะเป็นตะปูจาก
โลงศพ เหล็กขนัน ผีตายท้องกลม งั่ง ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวาน้า เงินปากผี ทองยอดนพศูนย์ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาหล่อ
เข้าด้วยกันเป็นรูปโคหรือรูปกระทิงโทนที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ฝีมือช่าง จากนั้นก็นำมาลงอักขระยันต์

วัวขี้ผึ้ง เป็นวัวธนูชั้นรองลงมา สร้างขึ้นจากขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผสมด้วยผมผีพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกด
ตาชะมด ตาแร้ง กำลังวัวเถลิง เมื่อได้มาก็เอาไปเผาไฟ ไปเคี่ยวให้ไหม้ บดเป็นผง ผสมเข้ากับขี้เถ้าจาก ๗ ป่าช้า แล้วคลุกกับขี้ผึ้ง
ปั้นเป็นรูปวัว หรือโคขึ้นมา เสกด้วยคาถา

วัวไม่ไผ่ เป็นวัวชั้นสาม ใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉิน เวลาจะใช้ก็ให้ตัดไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทางมาทำ เวลาจะตัดออกจากต้นให้กลั้นใจท่อง
นะโมตัสสะ และฟันทีเดียวให้ขาดจากนั้น จากนั้นมาสานเป็นรูปหัววัว เสกด้วยคาถาเช่นกัน

สำหรับการสร้างวัวธนูหรือควายธนูนั้น ท่านมีฤกษ์ให้เลือกวันสร้างดังต่อไปนี้
วันมาฆะบูชาอันเป็นวันเพ็ญเดือนสาม ให้สร้างตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นห้าม ดอกไม้ที่จะใช้
ประกอบพิธีในวันนี้ ให้ใช้ดอกไม้ ๔ สี

วันวิสาขบูชา ให้เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์เยี่ยมฟ้าขึ้นมาไปจนถึงเที่ยงวันดอกไม้ที่ใ
ช้บูชาในการทำพิธีให้ใช้ดอกไม้ ๘ สี มารวมกัน

วันอาสาฬหบูชา ให้กำหนดเวลาเอาฤกษ์ตั้งแต่พระอาทิตย์อยู่เรี่ยต้นไม้ในยามบ่ายแก่ๆจวนจะลับฟ้า วันนี้ไม่ต้องตัดฤกษ์ เพราะถือว่า
เป็นวันดี ดอกไม้ที่ใช้ทำพิธีในวันนี้ ใช้ดอกไม้ ๓ สี บูชา

สำหรับวัสดุที่ใช้ประกอบในการสร้าง เพื่อที่จะให้ขลังยิ่งขึ้นนั้นท่านบอกว่าให้ใช้ครั่งที่เกาะบนกิ่งพุทรา ซึ่งชี้ปลายไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นและในการนี้จะต้องใช้ถึง ๓ ต้นด้วยกันหรือมากกว่านั้นก็ยิ่งดี แต่ถ้ากิ่งพุทรากิ่งนั้นเป็นไม้ตายพราย ท่านว่าให้ใช้กิ่งเดียวก็ได้
จะเพิ่มอานุภาพของความขลังมากยิ่งขึ้น

โดยในการทำวัวธนู ควายธนูนั้นจะมีเวทย์มนต์คาถากำกับแตกต่างกันออกไป โดยในการสร้างนั้นจะมีคาถาเชิญเทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ให้ามาสิงสถิตย์ซึ่งคาถนี้ เวลาจะใช้วัวให้ออกไปต่อสู้ก็ใช้เสกได้ด้วยเช่นกัน
คาถาเสกควายธนูนั้นท่าน บันทึกไว้ว่า
" โอมปู่เจ้าสมิงพราย ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอิศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระนารายณ์มาเป็นตาขวา เชิญพระอาทิตย์
มาเป็นเขา เชิญพระจันทร์มาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร พระพุทธคีนาย มาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นขา
สี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นตับไตไส้พุง นะมะสะตีติ "

สำหรับคาถาที่ใช้เสกทำน้ำมนต์นั้น มีท่านผู้รู้หลายท่านได้เขียนเอาไว้ซึ่งพอจะค้นหาได้ดังต่อไปนี้
" โอมอุดเทตะยัง สะนหิ โอมวัวธนูลูกแม่เฒ่า รักษาเจ้าให้ดี ผีสางสะเด็ดหนี ขวักคว้าน โอมโคโน มหาโคโน โอมโคโส มหาโคโส
สันทะ สันทิ จันทิหิ โอมมหาหิริโอตัปปะ สัมปัณโณ นะภาเวนุ นุเวภานะ เวลภานะนุ ภานะนุเว นะภานุเว สัพปุริสา โลเก เทวะ ทำมาติ
วัดจะเร " สวดแบบนี้ ๗ ครั้งด้วยกันยามที่ทำน้ำมนต์ ในขณะเดียวกัน ถ้าหากจะปล่อยวัวธนูให้เฝ้าบ้าน ท่านว่าให้เสกด้วยคาถา
ต่อไปนี้ ๗ คาบเช่นกัน

" นะภาเวนะ นะภาเวนุ เวทาสากุ กุสาทาเว ทายัสสะ ตะทะสา ทิกุกุ ทิสาสา กุตะกุ ภูตะพุ โคสวาหะ โสถาทิเต โหตุเต ชัยยะมังคลานิ
นุเวภานะ นุเวภานะ เวภานะนุ เวภานะนุ ภานะนุเว ภานะนุเว นะนุเวภา นะนุเวภา นะภาเวนุ นะภาเวนุ "

ขณะที่เสกคาถานี้ ให้เอาน้ำรดบนหลังวัวธนู แล้วใช้ภาชนะรองน้ำมนต์ที่หลั่งลงไป เอาน้ำนั้นไปรดรอบๆบ้านที่จะให้วัวธนูเฝ้า เท่านั้นก็
เป็นการกำหนดเขตให้วัวธนู หรือควายธนูได้สำแดงอานุภาพแล้ว

สำหรับเรื่องวัวธนู หรือควายธนูนี้มีพระเกจิอาจารย์หลายๆท่านในยุคโบราณกว่า เมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้วได้สร้างขึ้นมา
พอที่จะหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างหลวงพ่อน้อยวัดศีรษะทองท่านก็สร้างวัวธนูเอาไว้ ซึ่งในปัจจุบัน วัวธนู ควายธนูเหล่านี้นับได้ว่า
เป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากเต็มที
Share:

ตำนานพญานาค


นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้าตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กันต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาคโดย เฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑส่วนในตำนานพุทธประวัติเล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนาน เรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงหรือเมืองบาดาลและเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญา นาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อ เป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาค จะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดงเกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบาร มีบ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียวแต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียรห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจากพญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะพญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำ และบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่าง สวยงาม
พญานาคกับตำนานเมืองหนองคาย
เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้าม กับบ้านหนองกุ้งอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี เมืองพญานาคหรือเมืองบาดาล ในเมื่อมีเมืองมนุษย์หรือโลกมนุษย์โลกสวรรค์หรือเมืองสวรรค์ก็ต้องมีเมืองบาดาล(เมืองพญานาค)สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์ แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
ใต้เมืองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัยคือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักน้ำเพื่อไปดื่ม โดยมีถังน้ำ (หาบครุน้ำ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อสะอาด (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไปชาวบ้านลงมาเห็นแต่ถังน้ำ(หาบครุน้ำ)พ่อแม่ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบจนครบ7วันเมื่อไม่เห็นลูกสาวและคิดว่าลูกสาว คงจมน้ำตายแล้วจึงได้พร้อมกับญาติพี่น้องชาวบ้าน จัดทำบุญอุทิศให้ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภชจนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยง คืนลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตายก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกัน เป็นอย่างมากบางคนก็วิ่งหนเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้าสุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังหลังจากที่ตั้งสติได้และ แล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟังหญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่าวันนั้นอากาศร้อนมากน้ำดื่มหมดโอ่งเมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำเมื่อวาง กระป๋องน้ำ(หาบครุ)ปรากฏว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฏว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์มีดินมีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนจะนุ่งผ้าแดงและมีผ้าพันศีรษะเป็นสีแดงเหมือนกันโดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลง เหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฏว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนสีขุ่นๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่านี่เป็นเมืองบาดาลและเป็นเมืองหน้าด่านส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกลและชาวเมืองจะมีงาน สมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ซึ่งถือว่าตลอด3เดือนที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อยๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)
Share:

ก ร ร ม นิ มิ ต - ค ติ นิ มิ ต โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๖

กรรมในทางพุทธศาสนาท่านแสดงไว้ตามตำราหลายอย่าง ผู้สนใจศึกษาตามตำรับตำราก็พอเข้าใจและได้ความรู้กว้างขวาง เพราะท่านแสดงไว้ดีหมดทุกอย่าง วันนี้จะแสดงเฉพาะเรื่องกรรมที่ติดตามคน หรือกรรมที่จะนำคนให้ไปเกิดในคตินั้นๆ นั่นคือ กรรมนิมิต กับ คตินิมิต

กรรม หมายความถึง การกระทำ คนเรานั้นกายกับใจเป็นเกลอกัน อยู่ร่วมกันสนิทสนมกลมเกลียวกันดีที่สุด จะทำอันใดพร้อมเพรียงกันทุกสิ่ง ไม่ว่าจะทำชั่วทำดี ทำบาปทำบุญ พร้อมเพรียงกันทุกประการ แต่เวลากายแตกดับ กายไม่ได้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดจากการทำร่วมกันนั้น ใจเป็นผู้รับผิดชอบคนเดียว ที่ว่าไม่ได้รับผิดชอบในที่นี้หมายความถึงว่ากายไม่ได้รับกรรม เพราะเมื่อแตกดับหรือตายแล้วทอดทิ้งไว้ในดิน กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปตามเดิม เรียกว่ารูปสลายไปตามสภาพของมัน ไม่ได้รับรู้ด้วย

ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กายกับใจร่วมกันทำงานก็จริง เช่น ไปฉ้อโกงลักขโมยของเขา ไปตีศีรษะเขา ทำทุจริตประพฤติผิดต่างๆ นานา แต่กายเป็นผู้ได้รับโทษให้ปรากฏ เมื่อถูกจับกุมมันก็ต้องจับที่กาย เอาไปติดคุกติดตะรางกายเป็นผู้ไปติดคุก หรือเขาจะเอาไปฆ่าไปประหาร เขาก็ประหารที่กาย ในขณะที่มีชีวิตอยู่ดูเหมือน ว่ากายรับภาระหนักกว่าใจ แต่ความเป็นจริงแล้วใจก็รับภาระหนักเหมือนกัน หากไม่มีใครเห็น ความทุกข์กลุ้มอกกลุ้มใจนั้นจะหนักยิ่งกว่ากายด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเขาเอากายไปประหาร ไปฆ่า ถ้าหากไม่มีใจมันก็ไม่รู้สึกอะไร ก็เหมือนกับตัดท่อนกล้วยหรือท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง กายไม่มีความอาลัยอาวรณ์กับ ความเป็นอยู่ของมันเลย ฆ่าก็ฆ่าไป สับก็สับไป ตีก็ตีไป ผู้อาลัยอาวรณ์ ผู้เป็นทุกข์เดือดร้อนคือตัวใจ ดังนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันจึงทำกรรมร่วมกัน และเวลารับผลกรรมก็รับร่วมกัน

แต่เวลาแตกเวลาดับ คือใจหนีจากร่างแล้ว กายไม่ได้รับรู้อะไรอีก กรรมต่างๆ จะเป็นบาปหรือบุญ เป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม ใจเป็นผู้รับมอบไปคนเดียวหมด ในขณะที่หนีจากกัน ต่างคนต่างไม่อาลัยอาวรณ์กัน เวลาที่กายมันจะแตกดับ ใจก็หนีไปคนเดียว ไม่ได้ร่ำได้ลากันเลย หรือบางครั้งบางคราวกายจะหนีจากใจ เช่น รถชน ตายหรือฟ้าผ่า หรือเกิดอุปัทวเหตุด้วยประการต่างๆ ก็ดี เวลาดับเวลาตายก็วูบวาบไปประเดี๋ยวนั้น ไม่ได้ร่ำได้ลากันเลย ทั้งๆ ที่อยู่มาด้วยกันตั้งแต่แรก สนิทสนมกลมกลืนกันตลอดมา เวลาจะจากกันจริงๆ จังๆ ต่างคน ต่างไปไม่อาลัยอาวรณ์กันและกัน ธรรมชาติของคนเรามันเป็นอยู่อย่างนี้ คนที่ไปยึดไปถือนั่นแหละท่านเรียกว่า กิเลส กิเลสอันนี้แหละนำให้เกิดการกระทำคือกรรม กรรมนี่แหละเป็นของมีผล มีกำลังมาก ไม่มีใครสามารถที่จะกีดกัน หรือต้านทาน หรือแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้

ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คนที่ทำกรรมชั่วประการต่างๆ ด้วยอำนาจของกิเลสแล้วคิดว่าจะแก้ไขทีหลัง หรือบางคนยังพูดดันทุรังไปอีกว่า ไปสู้กันอยู่ในนรกหรือแก้ไขกันกับนายยมบาล เป็นต้น ความจริงมันไม่มีหนทางแก้ไขเลย คนเราเวลาจะตายมันต้องมีเครื่องดึงดูดชักจูง คือกรรม ที่เรียกว่า กรรมนิมิต คตินิมิต

คนจะตายมันจะต้องหมดความรู้สึก คือ ไม่รู้จักเจ็บปวด ใจทอดธุระกายแล้วจึงค่อยตาย ในขณะที่ใจทอดธุระกาย ไม่ยึดกาย ปล่อยวางกาย ยังเหลือแต่ใจ ตอนนั้นนิมิตจะเกิดขึ้นเป็นภาพของกรรม คือการกระทำต่างๆ จะมาปรากฏขึ้นในขณะนั้น ผู้ที่เคยทำดี ทำบุญสุนทาน สร้างกุศลมากมาย จิตใจอิ่มเอิบเบิกบาน ก็จะปรากฏภาพที่เราทำดีนั้นแหละ เช่น เราเคยสร้างกุฏิ เวลาเราสร้างก็ไม่เคยสร้างใหญ่โต ไม่สวยสดงดงามอะไรมาก แต่ว่าภาพที่มาปรากฏในขณะนั้นมันจะสวยงามวิจิตร เป็นของน่าเพลิดเพลินเจริญใจอย่างยิ่ง และในขณะนั้นจิตจะต้องยึดเอาเป็นอารมณ์ คือเป็นอารมณ์แน่วแน่ในเรื่องนั้น นี่เรียกว่า กรรมนิมิต คือ นิมิตจากการกระทำ

ส่วน คตินิมิต นั้นอาจจะปรากฏเห็นพวกเทวดาหรือมนุษย์ก็ตามที่เป็นผู้มีความสุขสบาย แต่งกายงดงาม น่าเพลิดเพลินเจริญใจ มาเรียงรอบเรียกร้องอ้อนวอนขอให้ไปอยู่ด้วยในสถานที่โอ่โถงสวยงาม น่าอยู่น่าชม ซึ่งเราจะมองเห็นสถานที่เช่นนั้นด้วยตนเอง และเขามาแห่แหนอย่างสมเกียรติสมยศ ที่เขาเรียกกันว่าเทวดามารับคนมีบุญ เขาจะพูดว่าเทวดาอะไรก็ช่างเถิด แต่ว่านิมิตมันเป็นอย่างนั้นแหละ และเราเห็นชัดด้วยตนเอง คราวนี้เราก็เลยไปตามเขา เพราะความชอบใจมีมากก็ไปตามความชอบใจ อันนี้เรียกว่า คตินิมิต คติที่จะไป มองเห็นที่จะไปเป็นทางกรรมที่ดี

ส่วนกรรมที่ชั่ว เราเคยทำบาปกรรม คิดชั่วช้าเลวทราม ฉ้อโกง ลักขโมย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดด้วยประการต่างๆ ในขณะที่จิตใจมันปล่อยวางกายนั้นจะปรากฏภาพที่เราทำความชั่วต่างๆ ให้เห็นชัดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจจะคิดนึกระลึกถึง เราลืมไปแล้วนานแสนนานทีเดียว ภาพจะแสดงขึ้นมาปรากฏในใจ หรือบางทีอาจแสดงออกมาภายนอกก็ได้ เช่น คนฆ่าหมูฆ่าวัว ในขณะนั้นจะแสดงอาการทางกาย ทำท่าทีปฏิกิริยาของการที่เราทำความชั่ว ฆ่าหมูฆ่าวัวนั้นให้ปรากฏแก่คนอื่นทั้งๆ ที่เรามีสติอยู่ แต่มันปรากฏขึ้นมา หรือว่าบางทีในขณะนั้นจะเผลอสติไปก็ได้ทำให้ปรากฏขึ้นมา อันนี้เรียกว่ายังไม่ทันแตกทันดับ คือกายกับใจยังรวมกันอยู่

ถ้าหากเรายังเหลือแต่ใจอย่างเดียว คือมันทอดทิ้งกายแล้วดังอธิบายมานั้น มันจะปรากฏภาพความชั่วของตน ซึ่งเป็นเหตุให้วิตกวิจาร เดือดร้อน วุ่นวาย หรือหวาดเสียวน่ากลัวอย่างแสนสาหัส เช่น ปรากฏว่ามีคนใจอำมหิตโหดร้ายหน้าบึ้งหน้าเบี้ยวมาลากมาผูก มัดเอาไป กระชากขู่เข็ญด้วยประการต่างๆ จะขอร้อง อ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่มีใครจะช่วยเหลือได้ และก็ไม่ให้อภัยเสียด้วย หรือปรากฏเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว วิตก สะดุ้ง ตกใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ อันนี้เรียกว่า กรรมนิมิตในทางชั่ว

ส่วนคตินิมิตนั่น อาจจะไปเห็นที่ซึ่งเราจะไปอยู่ เช่น เห็นหลุมถ่านเพลิงไฟลุกโซนอยู่ตลอดกาลเวลา กองไฟ ใหญ่โต หรือว่าเห็นสถานที่อันทุรกันดารอดอยากยากแค้น เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ เป็นสถานที่ซึ่งเขาจะเอาเราไปนั้น เกิดสะดุ้งหวาดกลัวสุดแสน แต่ไม่สามารถจะแก้ไขได้
กรรมนิมิต คตินิมิต ทั้งสองอย่างนี้ อันใดอันหนึ่งจะเกิดก่อนก็ได้ กรรมนิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ หรือคตินิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ แต่ว่าทั้งสองอย่างนี้แหละจะเป็นเครื่องดึงดูดและชักจูงเอาจิตใจของเราที่ทอดทิ้งจากกาย แล้วนั้นให้ไปเสวย

อาจจะมีปัญหาถามว่า เมื่อกายกับใจยังปรอง ดองสามัคคีกันอยู่ การทำก็ไม่เห็นทารุณโหดร้าย สักเท่าใดนัก แต่เมื่อจิตคือใจนี้ทอดทิ้งกายแล้ว ทำไมจึงทำให้เกิดนิมิตโหดร้ายน่ากลัว แสดงอาการโหดร้ายเหลือเกิน นั่นเป็นธรรมดา ถึงเรื่อง ในใจของคนเรา ถ้ายังอยู่กับกายพร้อมเพรียง ก็ยังมีการที่จะปลดเปลื้องและแก้ไขได้ สมมติว่า เรานั่งหรือเรานอนเหนื่อย มันเหนื่อยที่ใจ เราก็พลิกกาย มันก็พอที่จะแก้ไขปลดเปลื้องกันได้ หรืออ่อนเพลีย หิวข้าว กระหายน้ำ เราก็ดื่มน้ำลงที่กาย ใจก็ค่อยสบายขึ้น นี่ช่วยกันแก้ไขได้

แต่ถ้ายังเหลือแต่ใจอันเดียวแล้วมันหมดหนทาง ไม่มีหนทางแก้ไข เหตุนั้น เมื่อทุกข์จึงทุกข์แสนสาหัส สุขก็สุขแสนยิ่ง มันมีสิ่งเดียวเท่านั้น เหลือใจสิ่งเดียว และก็เป็นของเบาอีกด้วย ของเบาๆ นั้น ไม่ว่าอะไร ลองพิจารณาของภายนอกก็แล้วกัน เช่น รถวิ่งตามถนนหนทาง ถ้าพลาดบางครั้งบางคราวไม่เหลือเกินก็พอมีหนทางแก้ไข คือ สามารถที่จะปลดเปลื้องแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้ ถ้าหากว่าเป็นว่าว เมื่อขึ้น ไปปลิวอยู่บนอากาศ มันเป็นของเบาๆ พอแฉลบ ก็วูบลงเลย ของเบาเป็นอย่างนั้น ใจเป็นของเบาเหมือนกัน ถ้ามันตกลงได้เอนไปทางไหนแล้วจะไปอย่างสุดขีดเลย เหตุนั้น สุขก็สุขอย่างสุดขีด ทุกข์ก็ทุกข์อย่างสุดขีด ดังนั้น เมื่อถึงตอนนี้จึงเรียกว่าไม่มีหนทางแก้ไข ที่บางคนว่าจะไปแก้ไข ตอนไปหรือตายไปแล้วจะไปแก้ไขนั้น อย่าไปหวัง ไม่มีทางแก้ไขเลย

ที่ท่านเรียกว่า นรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือ สวรรค์ ได้ความสุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่อยู่ที่อื่นที่ไกล อยู่เฉพาะในขณะนั้นแหละ ในขณะที่จิตมันว่างทอดทิ้งร่างนั่นล่ะ ไม่ได้หมายความว่าอยู่ใต้ดินหรืออยู่บนอากาศกลางหาวที่ไหน ขณะที่จิตมันถอนจากร่างแล้วเกิด กรรมนิมิต คตินิมิต ปรากฏเห็นนรก เห็นสวรรค์กันตรงนั้นเอง

เหตุนั้นผู้ที่มาเข้าใจในเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว จะแก้ไขตนเองก็พึงแก้ไขเสียในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ คือ เมื่อกายกับใจยังร่วมกันอยู่นี้ จะประกอบกุศลให้มีคุณงามความดีเจริญงอกงามขึ้น ก็พากันพร้อมใจเจริญ รู้สึกตนแล้วยังแก้ไขได้ เมื่อทำดีแล้วก็ทำให้เจริญยิ่งขึ้นๆ ไปได้ หากว่าใจทอดทิ้งกายแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขเลย

ผลของกายกับใจร่วมกันทำเรียกว่ากรรม มาส่อแสดงให้ปรากฏ กรรมเป็นของมีพลังอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะต้านทานหรือห้ามปรามไว้ได้ ไม่มีใครจะมาร้องขออ้อนวอนได้เลย กรรมให้ผลยุติธรรมอย่างยิ่ง ทำลงไปแล้วมากน้อยเท่าใดก็ได้ผลเท่าที่ตนทำนั่นแหละ

ไม่เหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ กายกับจิตร่วมกันอยู่ปลิ้นปลอกหลอกลวงได้สารพัดทุกอย่าง จะโกหกมายาได้ทั้งนั้น หรือเอาเงินเอาทองมาแก้ไขความผิดอันนั้น คือมาจ้างทนายความก็ดี หรือว่าให้ค่าไถ่ค่าถอนเพื่อไม่ให้ผิดได้ทั้งนั้น

ส่วนไปถึงตรงนั้นแล้วยังเหลือแต่ใจ ไม่มีอัฐไม่มีสตางค์ ไม่มีทนายความ ไม่มีใครจะอ้อนวอน ร้องขอได้ และไม่ให้อภัยกันเสียด้วย เมื่อถึงตอน นั้นแล้ว มีอย่างใดก็ต้องตรงไปตรงมา ไม่มีการยกเว้น กรรมตัวนั้นไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีพี่มีน้อง ไม่มีญาติมีวงศ์ ไม่มีครูมีอาจารย์ เป็นเอกสิทธิ์ ของมันคนเดียว มันไม่เลือกหน้าใครทั้งนั้น กรรมถึงได้ชื่อว่าเป็นของมีกำลังมาก

กรรมได้ชื่อว่าแยกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา เช่น เราทำกรรมชั่วด้วยประการต่างๆ มันจะแยก เราให้ไปเกิดในที่ชั่ว ถ้าเราทำกรรมดี มันจะแยก เรามาในทางที่ดี ในทางที่ชั่วหรือที่ดีนั้น คนอื่นจะมาแยกไม่ได้ สุขหรือทุกข์คนอื่นมาแยกไม่ได้ กรรมเท่านั้นเป็นคนแยก เราจะมาแก้ตัวและผลัดเปลี่ยนไม่ได้ทั้งนั้น นั่นจึงเป็นของน่ากลัว เป็นสิ่งที่เราพึงสังวรและรู้สึกตัว รีบทำเสียตั้งแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่

เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ซึ่งเป็นธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราละชั่วทำดี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เป็นโชคลาภอย่างยิ่ง ถ้าหาก เรามาระลึกได้ถึงเรื่องนิมิตว่า กรรมนิมิต คตินิมิต เป็นสิ่งที่ไม่มีหนทางแก้ไขได้ เป็นสิ่งที่ควรจะกลัวและพยายามแก้ไขตนเสีย จึงจะไม่สายเกินกาล รีบแก้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยเหตุที่ผลของกรรมนำให้ไปเกิด ถ้าเราแก้ไขเสียได้แล้ว การเกิดการตายก็เรียกว่าสั้นเข้ามา คือว่าใกล้ที่จะสิ้นสุดลงไป

เพราะฉะนั้น ให้พากันศึกษา พิจารณาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าดังที่อธิบายมานี้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตนทุกๆ คน
Share:

ผีอำ !!


ผีอำ !! เป็นอาการของจิตใจแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นใน ขณะกำลังเคลิ้มหลับหรือใกล้ตื่นนอน ในขณะนั้นสภาพจิตใจเริ่มรู้ต้วขึ้นบ้าง แต่ยังไม่รู้ตัวเต็มที่ อาจรับรู้ทางหูหรือทางตาได้บ้าง แต่อาจแปลเสียงหรือภาพไปในทางน่ากลัว ซึ่งอาจสัมพันธ์กับความฝันที่เกิดขึ้นก่อน อาจเห็นภาพผี ได้ยินเสียงร้องหรือรู้สึกเหมือนมีคนมาจับขา มาฉุดขา ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นตอนนั้น ร่างกายจะไม่สามารถเคลื่อนไหวตามคำสั่งสมองได้ ทำให้รู้สึกตกใจกลัวเพราะเคลื่อนไหวหนีหรือต่อสู้ไม่ได้ รู้สึกอึดอัด บางทีเหมือนมีอะไรมาทับหน้าอกไว้ เพราะเคลื่อนที่ไม่ได้นี่เอง ความรู้สึกเหมือนถูกผีหลอกนี้เองทำให้คนทั่วไปเรียกว่า ผีอำ

ผีอำ ไม่มีอันตราย ในคนปกติก็เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น

**วิธีแก้อาการผีอำ** เวลาเกิดอาการถูกผีอำ แค่คนถูกอำอย่าไปสนใจกับอาการนั้น หรือเปลี่ยนความสนใจไปที่สิ่งอื่นอาจจะเป็นสิ่งที่เราชอบ หรือที่เราเคารพ เช่น ถ้าชอบโดเรมอน ก็นึกถึงการ์ตูนโดเรมอนตอนสนุกๆ แค่นี้อาการผีอำก็จะหายไป ถ้ายิ่งกลัวก้จะยิ่งอึดอัด ขยับไม่ได้ หรือหายใจไม่ออก
Share:

สัมภาษณ์พิเศษ “แม่ชีทศพร ชัยประคอง” 3


แม่ชีรู้ล่วงหน้าแล้วทำไมไม่มีการเตือน ?

ก็เตือน แม่ชีไปรับกรรมมาแล้ว แต่เหตุมันจะเกิดแล้วจะทำอย่างไร แม่ชีคนเดียวจะไปเบรกคลื่นยักษ์ขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ แม่ชีไม่ใช่ผู้วิเศษ ก็ได้แต่สวดมนต์แผ่เมตตา คงทำได้ 1 ใน 1,000,000 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็อธิษฐานจิตว่า ถ้าจิตใดที่ต้องล้มหายตายจากขอให้ไปสู่สวรรค์ เราเห็นอนาคตก่อนไม่ใช่ดีนะคะ เราต้องควบคุมอารมณ์เราให้อยู่ แม่ชีเคยเห็นคนหนึ่งไม่มีคอเลย ตอนนั้นเขาเป็นพระอยู่ แม่ชีบอกเขาไม่สึกได้ไหม เขาบอกว่าจะสึก แม่ชีบอกว่าอย่าสึกเลย เพราะเห็นว่าไม่มีคอ แต่เขาบอกว่าคนจะตายอยู่ที่ไหนก็ตาย พอเขาสึกออกมาอีก 3 เดือนเขาก็ตายจริงๆ เพราะอะไรมันก็ไม่เที่ยง อะไรมันก็ไม่แน่นอน อย่างแม่ชีรับปากโยมวันนี้ว่าเราเจอกันนะ อาจจะไม่เจอก็ได้ เพราะไม่แน่นอน

คลื่นสึนามิ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากมนุษย์ทำลายธรรมชาติมากเกินไปหรือ ไม่ใช่เป็นเพราะเราขุดเจาะน้ำมัน ใช้ทรัพยากรธรรมชาติไม่บันยะบันยังจนโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย และทำให้เกิดแผ่นดินไหวและเกิดคลื่นยักษ์ตามมา ?

เหตุการณ์ธรรมชาติมันจะเกิดก็ต้องเกิด ทำไมต้องไปเกิดที่นั่น เขาให้เห็นว่าภัยธรรมชาติยังขนาดนี้ ยังไม่เลิกทะเลาะกัน ยังไม่เลิกทำสงครามกันอีกหรือ แต่อย่าเอาแม่ชีเป็นเกณฑ์ เราเอาวิกฤติเป็นโอกาส ถามว่าแม่ชีอยากดังไหม ไม่ใช่ บางทีแม่ชีเห็นสะพานหัก แม่ชีก็ไปซ่อมก่อน ถ้าเราเห็นแก่ตัว เราเดินจากไปโดยไม่ต้องซ่อมก็ได้ แต่ถ้าเรารักชาติ รักแผ่นดิน เราก็ต้องไปซ่อม เพราะเดี๋ยวเพื่อนเรามาเดินต่อ

• แล้วคนที่ตายจากคลื่นสึนามิอย่างไม่รู้ตัวจะไปอยู่ไหน ?

เขาก็ว่ายน้ำอยู่นั่นแหละค่ะ เราต้องสวดมนต์แผ่เมตตาทำบุญให้เขา วิญญาณมีเยอะทุกที่แหละ กว่าจะมีแผ่นดินไทย ละเลงเลือดมาไม่รู้เท่าไหร่ ไม่ใช่เฉพาะสึนามิ มันเป็นเรื่องปกติ ทำไมต้องมาตายเมืองไทย ทำไมไม่ตายที่บ้านเมืองเขา ทำไมต้องนั่งเครื่องบินมาตายที่นี่ อะไรที่เป็นของเรามันก็เป็นของเรา อะไรไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ของเรา คนเรามีสัญญาต่อกันนะ ถ้ามีสัญญากรรมดีต่อกัน เห็นหน้าปุ๊บ น่ารักจัง อยากคุยนานๆ ถ้ามีสัญญากรรมที่มีการจองเวรกัน อยู่ใกล้ๆ กันนั่งถอนใจกันอยู่นั่นแหละ เหมือนถูกแย่งลมหายใจ ทั้งๆ ที่พื้นที่ก็กว้าง เมื่อไหร่จะไปซักที

• ตอนที่แม่ชีทำงานหนักๆ มีคนมาหาเยอะ แล้วเอาเวลาไหนปฏิบัติสมาธิภาวนา ?

กลางคืนค่ะ ไม่ค่อยได้นอน

• เวลานั่งสมาธิกำหนดอย่างไร ?

ก็ภาวนาใช้บริกรรม อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ...แล้วก็จบด้วยพระคาถาชินบัญชร จากนั้นก็นั่งเรื่อยไป แล้วก็ถวายธรรมะทุกวัน คุยกับโยมก็เป็นธรรมนะ แม่ชีสอนลูกว่า อะไรที่เป็นความสุข ทำไปลูก อะไรที่เป็นความดี ทำไปลูก เพราะแม่ไม่มีอะไรจะให้

• ตอนนี้ลูกๆ ของแม่ชีเป็นอย่างไรบ้าง ?

ก็ทำมาหากินกัน ไม่ได้เดือดร้อน

• เป้าหมายการบวชของแม่ชี ?

ก็บวชไปเรื่อยๆ

• คิดจะสึกไหม ?

ไม่หรอกค่ะ แต่วันนี้ดังมาก พรุ่งนี้อาจจะไม่ดังก็ได้ มียศก็เสื่อมยศ มีลาภก็เสื่อมลาภ วันนี้มีคนพูดถึงมาก วันหน้าอาจไม่มีใครพูดถึงเลย

• แม่ชีคิดอย่างไรกับการที่ดังมากๆ มีคนเข้ามาหาเยอะ สิ่งต่างๆ ก็ตามมา อาจมีข้อครหาว่า แม่ชีเป็นของจริงหรือเปล่า ?

ไม่ซีเรียสค่ะ ทำใจได้แล้ว (หัวเราะ) เพราะสิ่งที่แม่ชีเห็น แม่ชีรู้ว่าไม่ได้สร้างทุกข์สร้างโทษให้ใคร เจตนาบริสุทธิ์ ใน 100 เปอร์เซ็นต์ แม่ชีมี 90 เปอร์เซ็นต์ อีก 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่บริสุทธิ์คือความพลั้งเผลอของแม่ชีเอง ใจนั้นให้จริงๆ อยากให้โยมไปอยู่กันอย่างมีความสุข อยากบอกโยมว่า ถ้าเป็นช่างซ่อมเครื่อง ก็ต้องซ่อมให้ถูกต้อง เป็นร้านอาหารก็อย่าคิดเกิน แต่ละอย่างมันละเอียดอ่อน

• การปฏิบัติธรรมของลูกผู้หญิง แม่ชีเห็นว่าอย่างไร ควรจะบวชไหม ?

ก็ปฏิบัติบูชาไปเรื่อยๆ บวชก็ได้ ไม่บวชก็ได้

• แม่ชีมีข้อคิดอะไรเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกบ้าง เพราะเห็นคนป่วยทางจิตมาหาแม่ชีหลายคนเป็นเพราะพ่อแม่รักลูกมากเกินไป ไม่ยอมให้ลูกทำงานบ้าน เขาเลยฟุ้งซ่านวนเวียนอยู่กับความคิด และมีความกลัวมากมาย จริงๆ แล้วอาจไม่ได้ป่วย เพียงแค่เหงื่อไม่ออก ?

แม่ชีบอกเลยว่า พ่อแม่ให้ชีวิตเขาแล้วอย่าไปยึดกับชีวิตลูกมาก ปล่อยให้ลูกบินไป อย่าไปทำอะไรให้ลูก ถ้าลูกเลยสิบขวบไปแล้วให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง อย่าไปยึดติดกับลูก แม่ชีสังเกตดู เด็กอายุสองขวบครึ่ง เวลาเขาหิวน้ำ เขาเดินไปตักเองได้ แต่พ่อแม่รู้สึกว่าเป็นห่วงลูก ก็ทำให้ลูกหมด ไม่ได้สอนเขา เวลาเขาทำผิด ไม่สอนเขา เวลาเขาด่า ก็ไม่ตีเขา ปล่อยให้เขาด่า พอเขาโตขึ้นมาจะไปสอนให้เขาหยุดด่าได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้ปลูกฝังเขามาก่อน เลี้ยงลูกต้องตี เมื่อไม่ตีก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมา ทำอย่างไรล่ะ พ่อแม่ก็รับกรรมไป เลี้ยงอย่างไรก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้น

๐ ขอธรรมะจากแม่ชี ฝากท่านผู้อ่านค่ะ ?

สุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งสมมติขึ้นมาทั้งนั้น สมมติว่าเป็นเรา ถ้าเราทำงานราชการ ความเป็นข้าราชการก็อยู่กับเรา 60 ปี ก็ต้องทำใจเตรียมพร้อมไว้กับการจากไปจากราชการหลังปลดเกษียณ ถ้าแม่ชีเป็นข้าราชการก็ต้องคิดว่าถ้าอายุ 60 ปี จะไปทำอะไรต่อ ตอนนี้ดีว่าแม่ชีเป็นนักบวชก็ไม่ต้องคิดถึงตรงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างพลิกผันได้ง่าย อะไรก็ไม่เที่ยง อย่างคนเดินขึ้นเขาเหนื่อยมากมาย เดินขึ้นไปจนถึงที่สูงสุดแล้วก็ต้องเดินลงมา เราจะอยู่บนนั้นตลอดไปไม่ได้เพราะไม่ใช่ที่ของเรา แล้วเวลาเราเดินลงมาต่ำที่สุดเราได้อะไรบ้างจากการเดินขึ้นและเดินลง นี่คือสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเลยว่า เมื่อเราขึ้นเขาเราก็ต้องลงจากเขาเป็นธรรมดา เราต้องสรุปบทเรียนให้ได้ว่าเราเรียนรู้อะไรจากการขึ้นเขา บนเขามีอะไรเราสังเกตให้หมด คนที่ทำทางให้เราขึ้นไปก็ได้กุศลจากเราด้วย

๐ แม่ชีเรียนรู้จากคนที่มาหาแม่ชีตลอด อย่างเวลาเราไปตักอาหารแจก มีคนเดียวกันมาตักสามรอบ เราจะว่าเขาไม่ได้ เพราะเขามีบุญที่จะกินอาหารตรงนี้ ถ้าเราพูดว่าเขา แสดงว่าใจเรายังไม่พร้อมที่จะให้ ถ้าให้แล้วต้องไม่มองหน้าเขาเลย ไม่อย่างนั้นอกุศล ถ้าให้ด้วยจิตที่โจมตีเขา เขาจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ?

ทรัพย์ภายในคือการให้ ยิ้มก็คือการให้ ใครเห็นก็รักเรา ยิ้มไว้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าโวยวาย เวลาซื้อขนมก็ซื้อไปสองห่อ อย่ากินคนเดียว แบ่งคนอื่นด้วย ดีไหมคะ เราต้องอยู่อย่างเป็นประโยชน์กับตัวเองและสังคม
Share:

สัมภาษณ์พิเศษ “แม่ชีทศพร ชัยประคอง” 2

• แล้วทำไมไม่มองเป็นวิทยาศาสตร์ ว่าที่เรามีความทุกข์แบบนี้ เป็นเพราะเราคิดผิด เราเห็นแก่ตัว หรือเราตามใจกิเลสเราเองมากเกินไป ทำไมเราไม่ฝึกชนะใจตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ทำไมเราต้องไปเชื่ออะไรที่ผู้อื่นบอก ?

แม่ชีถึงต้องมานั่งสอน เพราะบางคนไม่มีหลักยึดเลย บางคนก็บอกไม่ได้ว่าทำไมตัวเองจึงเป็นอย่างนี้ บางคนเจอใครก็รักไปหมด เป็นตัวหลง เขาก็อยากรู้ว่าเขาจะหยุดได้อย่างไร เขาก็อยากรู้ แล้วความอยากรู้ไม่ใช่ผล เพียงแต่เป็นการเรียกน้ำย่อยว่าคุณต้องมาปฏิบัติ แล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร

• รู้สึกว่าคนที่มาหาแม่ชีส่วนใหญ่ป่วยทางจิตใจ ?

ถ้าแม่ชีอยู่ต่างประเทศคงรวยนะ เพราะเหมือนกับใช้จิตวิทยารักษา แต่ความจริงไม่ใช่ แม่ชีใช้สมาธิรักษา แม่ชีจิ้มไปที่เหตุเลย แล้วเขาก็บอกว่าจริง อาทิตย์ที่แล้ว คุณยายอายุ 65 คุณตาอายุ 64 คุณยายทุกข์ใจ คุณยายกำลังจะบอกเรื่องทุกข์ใจ แม่ชีบอกว่าอย่าเพิ่งพูด แล้วบอกคุณยายไปว่า คุณยายไปปฏิบัติธรรมที่ไหนมา คุณยายบอกว่าไปปฏิบัติที่นครสวรรค์มา 9 วัน

ใน 9 วันนี้ คุณยายมีกรรมกับคนที่ปฏิบัติด้วยกันหรือเปล่า แม่ชีบอกว่ามี คุณยายทะเลาะกับใครที่ปฏิบัติด้วยกันหรือเปล่า ตอนที่คุณยายตักข้าวตอนเช้า 10 โมง ในการบวชวันที่ 4 คุณยายบอกว่า จำได้แล้ว ทะเลาะกับผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เลยบอกว่า ก่อนที่คุณยายไปปฏิบัติธรรม คุณยายกับคุณตาไม่มีความขัดแย้งกันใช่ไหมคะ แต่คุณยายเป็นคนขี้บ่น หลังจากคุณยายบวชเสร็จ คุณตาปันใจให้ผู้หญิงอื่น กรรมจากที่คุณยายคิด แล้วแช่งเขา ด่าเขา ส่งผลให้คุณยายต้องเสียของรัก คุณยายโอเค มันมีเหตุจึงส่งผล

• ทั้งๆ ที่คุณยายอายุ 65 และคุณตาอายุ 64 ?

ค่ะ

• หลักการปฏิบัติธรรม 2 วัน 1 คืนในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร ที่แม่ชีจัดขึ้น มีรายละเอียดอย่างไร ?

แม่ชีให้เข้าเช้าวันเสาร์ กรอกใบสมัคร รับชุดขาวพร้อมหนังสือสวดมนต์ รับศีล ให้อยู่กับความถูกต้อง ให้อยู่กับความบริสุทธิ์ 2 วัน 1 คืน แล้วออกวันอาทิตย์ ในช่วงนั้นแม่ชีสอนเรื่องศีล เช่นศีลข้อ 2 ถ้าชั่งก็ต้องชั่งให้เต็ม ตวงก็ตวงให้เต็ม ไม่ใช่ลักทรัพย์ มันอยู่ในศีลข้อที่ 2 ไปทำงานไม่ตรงเวลาก็คือการลักทรัพย์ ให้มีสัมมาชีพ หรือศีลข้อ 1 ไม่ใช่เรื่องการฆ่าทางร่างกายอย่างเดียว แต่หมายถึงฆ่ากันทางวาจาด้วย ไม่กล่าวล่วงเกินใครด้วยวาจา

ทั้งกาย วาจา ใจ ท่านสอนให้ละความชั่วทั้งปวง ทำจิตให้ขาวรอบ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำใจให้ผ่องใสเสมอ การรักษาศีล 5 คือไม่ให้ทำร้ายตนเองและผู้อื่น พูดก็ต้องรับผิดชอบคำพูด คิดก็ต้องรับผิดชอบความคิด ทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบการกระทำ ถ้าทำงานไม่ตรงเวลาวันละชั่วโมง ปีหนึ่งเอาเขาไปกี่ชั่วโมง ต้องคืนนะคะ

• ถ้าทำเกินล่ะคะ ?

ทำเกินไม่ได้อะไร เสมอตัว แต่ทำเกินไปเถอะค่ะ มันจะเป็นกุศลของโยม องค์กรก็ดีขึ้น

• หลักการดูกรรมของแม่ชี กับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรคะ ?

ไปเปรียบเทียบกับพระอริยสงฆ์ไมได้หรอกค่ะ แม่ชีไม่เคยพบท่าน แม่ชีไม่รู้ค่ะ แม่ชีเรียนกับหลวงพ่อปรีชา ธนวฑฺฒโก วัดเขาอิติสุคโต อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

• หลักการสอนภาวนาของหลวงพ่อปรีชา ?

ท่านสอนให้อยู่กับอารมณ์ เช่นคนมาเยอะๆ รำคาญไหม คนนี้ถามแล้วถามอีก เห็นไหม บางคนก็พยายามที่จะถาม เราเห็นกรรมของเขา เราก็เฉย อุเบกขา ตอนท้ายถึงเฉลยว่าที่ไม่พูดกับโยมเพราะอะไร โยมมีกรรมอะไร อยู่บ้านโยมไม่พูดกับพ่อแม่ใช่ไหม แม่ชีก็เลยไม่พูดกับโยมบ้าง แค่งอนกับแม่ก็เป็นบาปแล้ว งอนพ่อแม่ไม่ได้เลย ท่านเป็นพระอรหันต์ในบ้าน บางคนบอกให้พ่อแม่รออยู่ที่บ้านแล้วไม่กลับ พ่อแม่ก็เป็นห่วง มือถือก็ไม่รับ พ่อแม่เป็นทุกข์อย่างไร ลูกก็เป็นทุกข์อย่างนั้น เขามาหาแม่ชีอยากรู้เรื่องของเขา แม่ชีก็ไม่บอก ไม่พูด เพราะเวลาที่พ่อแม่อยากรู้เขาปิดเครื่องมือสื่อสาร แต่สุดท้ายแม่ชีก็เฉลยนะว่าทำไมแม่ชีไม่สื่อ

• การระลึกชาติด้วยตัวเอง กับการล่วงรู้วาระจิตของคนอื่น ต่างกันอย่างไร ?

มีอยู่ในพระอภิธรรมว่า คนที่ปฏิบัติได้ระดับหนึ่งก็จะได้ฌาน สามารถระลึกชาติได้ แต่แม่ชีไม่ได้รู้ถึงขั้นอุกฤษฏ์อะไร แม่ชีเป็นเพียงกุศโลบายอย่างหนึ่งให้โยมมาปฏิบัติ แล้วโยมมีของโยมอยู่แล้ว แม่ชีก็ทะลุมิติไปอีกหน่อยหนึ่ง จากจิตของแม่ชีทะลุไปที่จิตของโยม ว่าโยมคิดอะไรอยู่

• การรู้กรรมของคนอื่น เป็นทุกข์ไหม ?

ไม่ทุกข์หรอกค่ะ เรื่องของโยมก็คือเรื่องของโยม บอกโยมแล้วก็แล้วกัน แต่แม่ชีไม่พูดให้โยมทุกข์นะ ถ้าแม่ชีทำให้โยมทุกข์ แม่ชีต้องรับกรรมตรงนั้นด้วย เพราะเป็นวจีกรรม ตรงไหนที่ตรงประเด็นมาก แม่ชีจะอ้อมๆ เอา หรือไม่พูด บางเรื่องแม่ชีบอกว่า ขออนุญาตพูดได้ไหมคะ คนอื่นจะได้เอาไปใช้ได้ โยมจะได้เบาจากกรรมตรงนั้น

การบวชครั้งหนึ่ง 700 คน ศีล 8 เนกขัมบารมีนะคะ ไม่มีค่าใช้จ่าย มีชุดให้ใส่ มีที่ให้นอน อาหารมีให้ทาน ทุกอย่างฟรีหมด ใครที่อยากจะทำบุญก็ทำเป็นก๊อกต่อไป สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสัปดาห์ต่อไป แม่ชีก็ไม่เดือดร้อน วัดก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร คือมีวัดไว้ไม่มีคนเข้า จะทำอย่างไร สร้างวัดก็เพื่อให้คนมาปฏิบัติ แม่ชีไม่ได้มุ่งหวังเรื่องสร้างวัตถุนะ อยากสร้างคนมากกว่า

• เคยเห็นพระที่ปฏิบัติดีหลายรูปที่เปลี่ยนไปหลังจากมี ลาภ ยศ สรรเสริญเข้ามา แม่ชีมีความคิดเห็นอย่างไร ?

แม่ชีคิดว่าแม่ชีพอ ในสังคมฆราวาสที่แม่ชีเคยเป็น ก็ล้มเหลวตลอด ไม่เคยคิดว่าความล้มเหลวตรงนั้นจะสร้างความทุกข์ให้แม่ชี แต่แม่ชีมาอยู่ตรงนี้ก็เห็นว่ากรรมมีจริง ทำอย่างไรจึงจะหนีกรรมให้พ้น แม่ชีทำกรรมกับพ่อแม่ไว้เยอะ แม่ชีก็เลยเอาโปรแกรมตรงนี้ใส่ข้อมูลลงไปในแต่ละคน ถามว่าแต่ละคนมีกรรมกับพ่อแม่ไหม มีหมด เป็นจิตวิทยาบางอย่าง แต่อีกอย่างหนึ่งคือ สมาธิล้วนๆ ที่จิ้มลงไป

แม่ชีเคยนั่งสวดมนต์ให้โยมฟัง แล้วให้โยมนั่งสมาธิ หลวงพ่อปรีชาได้ยินเข้า มาบอกว่า มึงทำอะไร แม่ชีบอกว่าสวดมนต์ให้โยมนั่งสมาธิ หลวงพ่อบอกว่า มึงมีฌาน ทำไมมึงไม่บอกเขาไปล่ะว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ

แล้วพระธรรมโมลี เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามฯ ท่านเมตตามาก ท่านให้ข้อมูลเรื่องธรรมะ ท่านให้แม่ชีทำทาน ให้แม่ชีรับผิดชอบเรื่องการปฏิบัติธรรม

• แม่ชีจัดสรรให้แต่ละคนช่วยงานอย่างไร ?

ไม่มี คนนี้เป็นแม่ครัวก็มาทำด้วยใจ 2 ปีแล้ว ไม่ต้องจ้าง เขาถือว่ามาทำบุญ ไม่มีการเรียกร้องอะไร ตรงนี้มันเสี่ยงกับความโลภ เพราะแม่ชีอยู่ตรงนี้รู้เลยว่ามันเสี่ยง 10 บาท 20 บาทก็เสี่ยง เพราะคนมาก คนละ 20 บาท 800 คนเป็นเงินเท่าไหร่ ใช่ไหมคะ แต่ละอาทิตย์ มันเสี่ยงต่อความโลภ แม่ชีไม่เอา

• ตรงนี้ทางวัดมีเจ้าหน้าที่มาดูแล ?

ท่านให้แม่ชีดูแล แล้วแม่ชีก็ไม่ได้ยุ่งอะไรกับทางวัด เพียงแต่ใช้สถานที่เป็นการปฏิบัติ ท่านให้โอกาสแม่ชีในการเผยแผ่ธรรมะมากกว่า เพราะถ้าเป็นพระสงฆ์ไม่อยู่ในฐานะที่พูดได้ ทั้งๆ ที่พระสงฆ์เก่งกว่าแม่ชีตั้งร้อยเท่า แต่เพราะมีวินัยกำกับไว้ว่าพูดไม่ได้ ทีนี้ครูบาอาจารย์ก็มานั่งปั้นให้แม่ชีพูดอย่างนี้ๆ ป้อนข้อมูลให้แม่ชีอย่างนี้ๆ แล้วแม่ชีก็มาฝึกเอาว่าอย่างนี้ดูได้ อย่างนี้ดูไม่ได้ ทำไมอย่างนี้ดูไม่ได้ อย่างนี้ดูได้ ก็ค่อยๆ ดูไป

• ใช้เวลานานไหมในการปฏิบัติเพื่อที่จะเห็นกรรมของแต่ละคน ?

แม่ชีเห็นกรรมตั้งแต่ยังไม่ได้บวช ตั้งแต่เด็ก แม่ชีดำน้ำลงไปเห็นอะไรในน้ำ มันวูบๆ วาบๆ เวลานั่งเพลินๆ ก็เห็นคนเดินไปเดินมา เห็นอีกมิติหนึ่งเลย พอมาปฏิบัติที่เห็นอย่างลึกซึ้งกินใจคือความเลวของเราทั้งนั้นเลยที่เราเห็น เราเห็นกรรมของเราทั้งนั้น ก็เลยทำให้พิจารณาว่า อายุเท่านี้ทำกรรมขนาดนี้ ถ้าเราอยู่ทางโลกเราต้องสร้างกรรมมากขึ้นอีก ชั่งก็ต้องชั่งโกงเขาจึงจะได้กำไรมาก วัดก็ต้องวัดโกงเขาถึงจะได้กำไรมาก แม่ชีจึงเอาสิ่งเหล่านี้ที่ผิดพลาดมาทำให้แม่ชีได้คิดว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวนะ

แม่ชีเคยค้าขายมะพร้าว เรือมันติดแห้งอยู่ แม่ชีรีบขนมะพร้าวลงเรือเพราะกลัวเจ้าของสวนเขาเห็นว่าแม่ชีโกงเขา แม่ชีรีบให้ลูกช่วยกันโยนมะพร้าวลงเรือ แล้วน้ำหนักของเรือกับมะพร้าวไม่สมดุลกัน จากที่เราโกงเขา พอเข็นหลุดออกจากคลองที่ติดแห้งอยู่เรือก็จม มะพร้าวก็ลอย บ่งบอกให้เจ้าของสวนรู้ว่าเราโกงเขา แป๊บเดียวเดี๋ยวนั้นเลย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นกรรม รู้แต่ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

• แล้วกรรมเกี่ยวกับคลื่นสึนามิ แม่ชีจะอธิบายอย่างไรคะ ?

สึนามิเคยมีในสมาธิของแม่ชีเมื่อ 6-7 ปีก่อน เคยนั่งสมาธิแล้วมีพระสงฆ์มาจากพังงารูปหนึ่ง มาอยู่ที่วัดที่แม่ชีอยู่ นั่งสมาธิทีไรก็เห็นแต่หน้าท่าน ก็เลยไปนั่งสมาธิกับท่าน จากตรงที่นั่งสมาธิกับท่านก็มีอะไรบางอย่างออกมานั่งอยู่ข้างหน้าแม่ชี เขาบอกว่าเป็นเจ้าทะเลอันดามัน แล้วบอกเรื่องราวของทะเลอันดามันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเราก็พร้อมใจกันไปที่พังงาไปทำพิธีรับวิญญาณ ตรงเจ้าพ่อเขาหลัก

มีของอย่างหนึ่งที่ไม่สำเร็จในการทำพิธีนั้นในเวลา 9 โมง คือเผือกไม่สุก ต้มอย่างไรก็ไม่สุก เจ้าทะเลอันดามันบอกว่าของทุกอย่างให้ผ่าออก ให้เห็นข้างใน มีเผือกอย่างเดียวที่ผ่าออกมาแล้วข้างในมันขาว แม่ชีก็ตีปริศนาว่า อ้อ คนที่มาตายในแผ่นดินไทยเป็นคนต่างชาติเยอะมาก มีหลักฐานพยานคนที่ไปช่วงนั้นอยู่ด้วย
Share:

สัมภาษณ์พิเศษ “แม่ชีทศพร ชัยประคอง” 1

ผู้มีตาทิพย์ สามารถหยั่งรู้กรรมเก่า
ด้วยความดังของ แม่ชีธนพร หรือแม่ชีทศพร (ชื่อที่เปลี่ยนใหม่) ชัยประคอง จากหนังสือเกิดแต่กรรมที่พิมพ์เป็นครั้งที่ 13 ภายในเวลาไม่กี่เดือน โดยบริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดทำ หลังจากที่แม่ชีเป็นวิทยากรรับเชิญรายการมิติพิศวง ทางช่อง 7 จนโด่งดังจากคุณลักษณะพิเศษในการดูกรรมในอดีตชาติของแต่ละคน

หลังจากนั้นจึงเกิดกระแสกลัวกรรม กระแสหนึ่ง กับกลุ่มที่ต้องการจะท้าพิสูจน์กรรม อีกกระแสหนึ่งในเว็บไซต์มากมาย ประกอบกับ VCD ชุดเปิดบันทึกแม่ชีทศพร ชัยประคอง กับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ยิ่งทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่ง ต้องการเดินทางไปหาแม่ชีโดยตรงที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร แขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เพื่อให้แม่ชีดูกรรมในอดีตเพื่อแก้กรรมในปัจจุบัน จนหน้ากุฏิแม่ชีเนืองแน่นทุกวัน และโอกาสที่จะพบแม่ชีโดยตรงก็ยากมาก นอกจากไปปฏิบัติธรรม 2 วัน 1 คืนในช่วงเสาร์-อาทิตย์ จึงจะได้พบกับแม่ชี และมีโอกาสที่แม่ชีจะเปิดกรรมให้แต่ละคน ซึ่งก็แล้วแต่แม่ชีเห็นว่าใครสมควรได้รับการช่วยเหลือก่อน-หลัง ตามกรรมหนัก-เบาของแต่ละคน

ในแต่ละสัปดาห์จึงมีผู้มานุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมราว 600-700 คน เพื่อรอการเปิดกรรมจากแม่ชีในวันอาทิตย์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะบริจาคกันเอง แล้วแต่ว่าจะบริจาคเพื่อการใด อาทิ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม ช่วยค่าอาหารผู้ปฏิบัติธรรม ช่วยในเรื่องค่าซักผ้าผู้ปฏิบัติธรรม ฯลฯ ซึ่งจะมีกล่องรับบริจาคเรียงรายอยู่ด้านหน้ากุฏิของแม่ชี ซึ่งอยู่ด้านข้างของโบสถ์วัดพิชยญาติการามฯ

แม่ชีทศพร เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปรีชา ธนวฑฺฒโก วัดเขาอิติสุคโต ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มากว่า 20 ปี ซึ่งหลวงพ่อปรีชาสามารถแยกกายทิพย์ได้ และเน้นสอนธรรมะเรื่องกตัญญูรู้คุณต่อบุพการีเป็นสำคัญ

หลวงพ่อปรีชาสอนให้แม่ชีนั่งสมาธิ โดยหยิบยกคุณธรรมของหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาสอนแก่แม่ชีเพื่อให้ญาณของแม่ชีพัฒนา ช่วงแรกที่แม่ชีนั่งสมาธิ แม่ชีมองเห็นความทุกข์ เห็นกรรมของตัวเองในชีวิตที่ได้กระทำต่อพ่อแม่ไว้ ทำให้ชีวิตของแม่ชีทางโลกล้มเหลวมาโดยตลอด นับจากการใช้ชีวิตกับสามีคนแรกที่เป็นนักมวยตั้งแต่อายุ 14 ปี ก็ประสบปัญหา เพราะยังเด็กเกินไป และตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย เวลาคลอดลูกคนแรกต้องนำมาเป็นลูกของพ่อแม่

หลังจากนั้น ชีวิตของแม่ชีทางโลกก็พลิกผันมาตลอด ล้มเหลวในธุรกิจและชีวิตครอบครัวกับสามีคนต่อๆ มา มีเหตุที่ให้แม่ชีต้องเป็นเมียน้อย พบกับความโหดร้ายของสามีที่กระทำต่อพ่อของแม่ชี มาถึงสามีคนสุดท้าย แม่ชีเล่าไว้ใน VCD เปิดบันทึกฯ ตอนที่แม่ชีป่วยหนักว่า สามีคนนี้เอาน้ำเย็นมาสาดแล้วบอกให้แม่ชีไปตายที่อื่น ครั้งนั้นแม่ชีคิดฆ่าสามีคนนี้ แต่ด้วยธรรมะจากหลวงพ่อปรีชานี่เองที่ทำให้ชีวิตแม่ชีพลิกผันมาปฏิบัติธรรมจนพัฒนาญาณหยั่งรู้อดีตชาติของผู้อื่น จนกระทั่งหลวงพ่อปรีชาสอนให้เทศน์สอนญาติโยมเป็นเวลา 1 ปี โดยหลวงพ่อให้คติธรรมไว้ว่า จงเป็นผู้ให้ และอย่าขอใคร

กระทั่ง พระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม และเจ้าคณะภาค 1 ให้แม่ชีมาช่วยจัดคอร์สปฏิบัติธรรมเพื่อเรียกคนเข้าวัด แม่ชีจึงมาที่นี่ พร้อมๆ กับความดังที่ติดตามมาจากการเห็นของแม่ชีที่ผู้อื่นไม่อาจรับรู้ได้ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกสนานในการค้นหาเหตุและผลแห่งกรรมในมิติต่างๆ ที่แม่ชีพรรณนา ดังบทเริ่มต้นที่นำมาเรียกน้ำย่อยกันก่อน

“แม่ชื่อธนพรนะ ตอนแรกชื่อ มาลินี นามสกุล ชัยปกรณ์ ชื่อนี้พ่อแม่ตั้งให้ หลวงพ่อเฮง วัดเขาน้อยจังหวัดระยองบอกว่าอย่าชื่อนี้เลย เป็นกาลกิณี ให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ธนพร จนกระทั่งเดือนสิงหาคมปี 2547 ครูบาอาจารย์บอกว่าให้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ทศพร เพราะอะไรหรือ แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า ธ อยู่หน้า น หนูมันกัดธงเอ็งทะลุหมดแล้ว พอวันที่แม่ชีเปลี่ยนชื่อวันที่ 17 สิงหาคม วันที่ 19 แจ๋วริมจอ คอลัมนิสต์ในไทยรัฐ ก็ออกข่าวว่าแม่ชีอุตริหรือเปล่า”

แต่ตอนนั้นแม่ชีเปลี่ยนชื่อเป็นทศพรแล้ว แม่ชีเล่าต่อมาว่า

“แม่ชีรู้จริงๆ มองเห็นจริงๆ ไม่ได้อุตริ ที่นั่งพระแม่ชีก็ไม่กล้านั่ง อะไรของพระแม่ชีไม่กล้ายุ่ง ชีวิตมีความสุขกับการทำงาน แม่ชีเองไม่อยากรู้เรื่องอะไรในอดีตชาติของตัวเอง ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด”

“แม่ชีขออย่าพูดสิ่งใดที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แม่ชีกลัวว่าจะเบี่ยงเบนคำสอนของท่าน แม่ชีก็สอนแต่ว่า พ่อแม่มีคุณจริงนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีคุณจริงนะ สถานที่ต่างๆ อย่าไปเปรียบเทียบกันว่าวัดนี้ดีกว่าวัดนั้น ถ้าโยมเปรียบเทียบเมื่อไหร่ เดี๋ยวจะมีหมอดูมาดูบ้านโยมบ้างว่า บ้านโยมฮวงจุ้ยไม่ดีต้องรื้อห้องนี้ออกไปทั้งห้อง เพราะโยมเคยไปเปรียบเทียบกัน โยมเคยเห็นคนใกล้ตายที่เขาฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควายหรือเปล่า เขาร้องเหมือนหมู เหมือนวัว เหมือนควาย แล้วเราจะร้องอย่างนั้นหรือ ต้องรีบปฏิบัติเสียตอนนี้ เวลาเรานั่งปฏิบัติ มันจะมีเวทนาความเจ็บปวดออกทางกายเลย แล้วเราไม่ต้องไปเวทนาในอนาคต ชดใช้เสียก่อนตอนนี้ เวทนานี้ไม่ใช่เรานะ บางทีคุณยายมานั่งอยู่กับเรา นั่งแล้วมันโยก นั่งแล้วมันเอน ปวด เราต้องรับทั้งหมด นั่งแล้วเวทนาเกิดตรงไหน ให้แผ่เมตตาตรงนั้นเลย ดูทุกข์แล้วเห็นทุกข์จริง อธิษฐานแผ่เมตตาไปเลยว่าบุญที่เรามีอยู่ เวทนาที่เกิดขึ้นนี้ เป็นใครไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ จงได้กุศลของเราด้วย เราต้องฝึกไปเรื่อยๆ แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ เรื่องเมื่อวานก็ส่วนเมื่อวาน เรื่องวันนี้ต้องทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะมีหรือเปล่ายังไม่รู้ ให้โอกาส ให้อภัยตัวเองให้ได้”
มีหลักในการดูกรรมอย่างไรคะ ?

ดูจากสมาธิค่ะ พอโยมมีศีลพร้อมกัน ที่เชิญมาบวชก่อนดูกรรมเพราะว่าญาติพี่น้องบางคนที่เสียชีวิตไปแล้วเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะได้รับบุญจากการใส่บาตรได้ เขาจะอาศัยกายเรามาวัด ที่แม่ชีจัดการปฏิบัติธรรม เพราะแม่ชีเห็นอย่างนี้ แม่ชีไม่อยากให้เราประมาทกับชีวิต เพราะว่ามีปู่ย่าตายายที่เขาไม่สามารถไปเกิดได้ แล้วอาศัยกายโยมปฏิบัติ พอมาปฏิบัติแล้วแม่ชีจะเป็นไกด์ให้ เป็นสื่อกลางให้

• เป็นความงมงายหรือเปล่าคะ เขาจะมาอาศัยร่างกายเราปฏิบัติได้อย่างไร ?

มันไม่ใช่ความงมงาย เพราะว่าพอฝึกสมาธิระดับหนึ่งก็จะสามารถมีพลังจิตที่สามารถไปสัมผัสจิตอีกดวงหนึ่งได้ว่าคนนี้ชื่อนี้ นามสกุลนี้ เห็นวันนั้นไหม (วันนั้นคือวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 วันที่คลื่นสึนามิถล่มเอเชียใต้ ยามบ่ายแม่ชีดูกรรมให้กับผู้ที่มาปฏิบัติธรรม)

• เห็นแม่ชีแก้กรรมด้วยวิธีแปลกๆ ปฏิบัติธรรมแล้วยังต้องแก้กรรมแปลกๆ ด้วยหรือคะ อย่างที่แม่ชีบอกให้บางคนเอาเหรียญบาทมัดละ100 บาท 5 มัดไปผูกกับผ้าขาวม้าที่เสาไฟฟ้าแล้วทำบุญให้ใครก็ได้มาเอาไป มีหลักอะไรในการแก้กรรม ?

การแก้กรรมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะทุกข์แต่ละคนไม่เหมือนกัน วันนั้นรู้สึกคนนี้จะเคยใช้ไฟแล้วไม่จ่ายตังค์ตามปกติ เอาลวดไปเกี่ยวใช้ไฟ วันนั้นคนนี้เขาชาไปทั้งตัวเหมือนไฟช็อต พอเราบอกเหตุความทุกข์เขาปุ๊บ ใจเขาคลาย บางคนไม่รู้เลยว่าคนนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย เดินเข้ามาไม่รู้เลยว่าเขาคือผู้หญิงหรือผู้ชาย ต้องถามเขา

• เป็นเพราะอะไรหรือคะที่เกิดมาเบี่ยงเบน ?

เพราะเคยไปเบี่ยงเบนความคิดของคนอื่น โยนโทษคนอื่นโดยที่เขาไม่ได้มีความผิด ก็เลยทำให้เกิดมาเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่ใช่ เลยไม่รู้ว่าจะอยู่กับสังคมอย่างไร ทำงานกับใครเขาก็เข้ากับใครไม่ได้ อยู่ไปก็ไม่มีจุดยืน คนไม่มีจุดยืนในสังคมเยอะ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้จักพ่อแม่ ถึงขนาดทุบตีพ่อแม่ หรือพูดจาให้เขาเจ็บปวด ใจนี่ก็ถือว่าฆ่าเขาแล้วนะ ฆ่าเขาทางอารมณ์ แล้วคนก็มักจะพูดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี แสดงว่าทวงในสิ่งที่คิดว่าทำดี เวลาที่คุณทำดี จริงๆ แล้วคุณกำลังทำไม่ดีหรือเปล่า

อย่างเช่น เห็นแฟนของเพื่อนไปเดินกับผู้หญิงคนอื่น รีบโทรไปหาเพื่อนเลยว่าฉันเห็นแฟนเธอไปเดินกับใครไม่รู้ แค่นี้ก็สร้างกรรมแล้วนะ ทำให้เกิดความแตกแยกในครอบครัวเขา เพราะโยมไม่รู้ว่าเขามีอะไรกันหรือเปล่า ชีวิตโยมจะยุ่งเหยิง

• เวลาแม่ชีดูกรรม แม่ชีมองเห็นวาระจิตเขา มองเห็นความคิดเขา หรือมองเห็นเป็นภาพ ?

เห็นที่ใจเขาเลยค่ะ คือจะชี้อย่างนี้ๆ เลยค่ะ แปลกไหมคะ

• ก็ยังรู้สึกแปลก เพราะยังไม่เคยประสบกับตัวเอง ช่วยอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยค่ะ ?

เพราะตำแหน่งของสมาธิ และความรู้ที่เรียกว่าปัญญา มีทุกคน เหมือนกับเราเรียนหนังสือ อาจารย์สอนให้เราเอา ก ไก่ ผสมกับ สระอา เป็น ก กา สมาธิก็เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ใจของการปฏิบัติ

• การเริ่มต้นมาปฏิบัติต้องศีลบริสุทธิ์ จะเช็คศีลของตัวเองได้อย่างไร ?

ก็ไม่ถึงกับที่ว่าศีลต้องครบ แต่ก่อนที่โยมจะมาคือโยมมีบุญอยู่แล้ว บุญจากได้ช่วยเพื่อน บุญจากที่ได้ช่วยให้ใครเขามีความสุข บุญจากการทำงานของเรา ที่ให้มาอยู่วัด 2 วันเพราะญาติที่ล่วงลับไปแล้วไม่สามารถได้บุญจากการใส่บาตรของเราได้ เขาจะอาศัยกายเราปฏิบัติได้จริงๆ

• ผู้ล่วงลับไปสามารถอาศัยกายเราปฏิบัติธรรมได้ ?

สังเกตดูทำไมดวงจิตของเราซึมเศร้า เพราะอะไร เพราะเขามีดวงจิตดวงสุดท้ายที่ตายไปไม่เป็นสุข ตายไปจากความผิดหวัง หน้าตาเขาก็จะดูไม่แฮปปี้ ใครเห็นก็รู้สึกว่าหน้าตาเขาเศร้าใจจัง

• บางคนมองว่า ตายแล้วสูญ ถ้าแม่ชีอธิบายอย่างนี้แสดงว่าตายแล้วไม่สูญ ?

แม่ชีบอกไม่ได้ว่าตายแล้วไม่สูญ แต่แม่ชีเห็นการตายของคน ตายเพราะถูกรถชน แขนหักขาดไปเลย เห็นวิญญาณแขนก็ยังขาดอยู่ อาการของวิญญาณไม่มีแค่สังขาร แล้วพอมาเกิดใหม่ แม่ชีก็เห็นภูมิหลัง ถามว่า ตายแล้วสูญไหม เมื่อวานนี้มีไหม เมื่อวานมีก็เป็นอดีตไป วันนี้มีไหม วันนี้ก็เป็นปัจจุบัน พรุ่งนี้มีไหม พรุ่งนี้ก็เป็นอนาคต นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่เมื่อวานเราทำอะไรไว้ จำได้หรือเปล่า

แม่ชีจะเจาะเอาเฉพาะเหตุว่า เหตุที่ทุกข์ของโยมเพราะอะไร ทำไมทำอะไรแล้วไม่ประสบความก้าวหน้าในชีวิต ทำไมมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิต แล้วก็มีอุปสรรคในเรื่องของความรัก เวลารักใครแล้วต้องตีตัวออกห่างไป ทำไมจึงมีโรคภัยไข้เจ็บเยอะ

• เป็นกรรมจากในอดีตทั้งหมด ?

ทั้งอดีตและปัจจุบัน บางทีก็เป็นกรรมที่มาจากอดีตเยอะ กรรมจากพ่อแม่ อย่างพ่อแม่ที่ไม่พร้อมให้ลูกเกิด ตอนรักกันสองคนรักกันมาก แต่ไม่พร้อมให้ลูกเกิด พอตั้งท้องก็มีปัญหา ไม่อยากให้ลูกเกิด ความคิดที่ว่าไม่อยากให้ลูกเกิด พอลูกเกิดมาเป็นกรรม เป็นลูกเวรลูกกรรมกับเราอีก เพราะใจคิดว่าไม่อยากให้เขาเกิด พอเขาเกิดมาเขาปฏิเสธเราเอง เหมือนอย่างบางคนไม่ชอบพ่อไม่ชอบแม่นั่นแหละค่ะ เขารับรู้ได้ตั้งแต่ปฏิสนธิ

อัศจรรย์ทางจิตที่แม่ชีเห็นคือ คนใกล้ตายหูจะรั้งไปข้างหลัง จมูกจะรั้งขึ้นไป ถ่ายจะดำ นี่คือภาวะคนแก่ใกล้ตาย แล้วมาดูเด็กมาเกิดใหม่ หูรั้งไปข้างหลังบี้แบน จมูกรั้งขึ้นไปข้างบน แล้วก็อึดำเหมือนกัน นี่คือการเชื่อมต่อระหว่างการเกิดและการตาย

• แปลกใจว่าเวลาที่ดวงจิตหนึ่งดับ อีกดวงจิตหนึ่งกำลังจะเกิด เป็นจิตดวงเดียวกัน ไม่มีสภาวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิด ?

จิตทั้งหมด 121 ดวง มีจิตที่เป็นกุศล 80 ดวง มีจิตที่เป็นทุกข์ 41 ดวง ไอ้ 41 ดวง ทุกข์เพราะการตายมากมาย ความทุกข์นี้จะมาอยู่ที่กายเราตอนเกิดใหม่

• ส่วนใหญ่เป็นความทุกข์ที่ทำให้เราเกิด ?

ใช่ ส่วนใหญ่เป็นความทุกข์ที่นำเราเกิดมา ความทุกข์ก็มีทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ ตามองเห็นแล้วชอบใจเขาเรียกว่าเสพ หูได้ยินแล้วเพราะก็เสพ ได้กลิ่นหอมก็เสพ กินก็เสพ ข้างล่างฉี่ออกไปก็มาเสพข้างล่างอีก อะไรที่สร้างความทุกข์ที่สุด ก็สัมผัสทั้งหกนี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ

• แล้วความทุกข์ที่มากับตัวเราจะมีวันหมดไปในชาตินี้ ?

เราก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้จิตดวงเดิมที่เคยวนเวียนในสังสารวัฏนี้ได้รับกุศลของเรา มีศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนให้ปฏิบัติธรรม แล้วการปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่การถ่ายบาป เพราะบาปถ่ายไม่ได้ ทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับ ทำกรรมดีก็ได้รับกรรมดี ทำกรรมชั่วก็ได้รับกรรมชั่ว

• การปฏิบัติธรรมโดยรูปธรรม ทำให้เกิดผลอะไร ?

คือการปฏิบัติธรรมจะทำให้เราเกิดความละอายและการเกรงกลัวต่อบาป ไม่ใช่ให้มาวัดนั่งสวดมนต์ทั้งวัน ไม่ใช่ แต่แม่ชีจัดโปรแกรมนี้ขึ้นมาเพราะแม่ชีเห็นทุกข์ของสังคม เห็นทุกข์ของครอบครัวที่แตกแยก พ่อแม่พูดกันไมได้ ลูกพูดกับพ่อไม่ได้ แม่พูดกับลูกไม่ได้ แม่ชีจึงอยากทำตรงนี้ เพราะกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คนที่เป็นพ่อแม่ก็เคยเถียงปู่ย่าตายายเอาไว้ พอมามีลูก ลูกก็มาเถียงเรา พอมันแรงเข้า มีการผลักกันของกรรมเกิดขึ้น มีการทุบตีพ่อแม่ อย่างนี้แม่ชีไม่อยากให้เกิดขึ้นในสังคมเรา แม่ชีเห็นเยอะมาก บางกรณีฟังแล้วอึ้งไปเลย

• แล้วนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมืองจะเจอกรรมอะไร ?

ถ้าเขาโกงกินก็มีบาปเป็นเรื่องปกติ เพราะมีเจตนาในการโกง ถ้าแม่ชีมีอำนาจในแผ่นดิน แล้วแม่ชีทำผิดโดยที่รู้และตั้งใจก็จะรับกรรมหนัก แม่ชีก็จะไม่ได้บริหารประเทศได้นานหรอกค่ะ เพราะความทุจริตทั้งหลายจะบ่งบอกออกมา แต่ที่ใครพูดว่าคนนั้น คนนี้โกงบ้านโกงเมืองอย่างนี้ เราอย่าไปพูดตามเขา เพราะเราไม่เห็นเอง

• ถ้ามีเอกสารที่เห็นชัดเจนว่าเขาโกงอย่างนี้ๆ เราเผยแพร่ออกไปได้ไหม ?

ไม่ได้ค่ะ เพราะเราไม่ได้เห็นจริง แม้แต่เอกสารก็อาจจะเป็นเอกสารที่เป็นเท็จ แม่ชีรักประเทศไทย ถามว่าคนที่คอร์รัปชัน เราเห็นไหม เขากินบ้านกินเมือง เราเห็นตรงไหน เขาจะทำอะไรนั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าไปคิดแทนเขา การคุ้ยเขี่ยอะไรบางทีมันไม่ใช่เรื่องที่ดี การที่เราไปล่วงเกินเขา เราจะร่วง

ถ้าเขาคอร์รัปชันมันเป็นเรื่องของการก้าวไม่พ้นความโลภค่ะ แต่คนดีมีเยอะนะคะ คนที่ทำเพื่อแผ่นดินก็มีเยอะ เราอย่ามองนักการเมืองในแง่ไม่ดีไปซะหมด

• ก็ถ้านักการเมืองทำดี ก็สื่อออกมาดี ถ้าทำไม่ดี ก็ว่ากันไปตามนั้น ?

(หัวเราะ) ไม่รู้นะ แม่ชีถูกสอนให้อยู่กับความรับผิดชอบ แล้วก็มีคนโยนโทษให้แม่ชีตลอดว่าแม่ชีทำผิด แม่ชีทำไม่ถูกต้อง เพราะแม่ชีไม่กระจายอำนาจให้ใครเลย จะให้แม่ชีกระจายอำนาจได้อย่างไร ในเมื่อคนนี้รับผิดชอบอะไรไม่ได้เลย คนนี้ให้โอกาสแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แม่ชีเคยเป็นผู้บริหารระดับหนึ่ง ซึ่งละเอียดอ่อนพอสมควร พอให้โอกาสคนนี้แล้วทำไม่ได้ แล้วอีกคนหนึ่งมีเพาเวอร์ แม่ชีก็ให้เขาช่วยทำให้หน่อย

แล้วทุกคนก็รวมตัวกันไม่ชอบแม่ชีกันหมดเลย เพราะว่าแม่ชีเห็นแก่คนนี้คนเดียว แต่คนนี้เขาทำงานได้ แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ แม่ชีมองคนละมุม แม่ชีมองว่า คนที่เขาเข้าไปทำงานเพื่อบ้านเมือง จุดประสงค์คือเขาตั้งใจจริงๆ ก็มี

• แล้วเขามีกรรมไหมคะ ที่ต้องไปรับผิดชอบเรื่องบ้านเมือง ?

ทุกข์จะตาย แต่ละเรื่องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เราเป็นเขา เราก็ทำไม่ได้ แม่ชีเอาบุญให้เขาทุกวัน เขาต้องมารับผิดชอบประเทศ แม่ชีโนเนมเลยนะ อยู่ๆ แม่ชีมีคนรู้จักทั่วไป แม่ชีตั้งใจว่าที่สอนจะสอนให้คนรู้ธรรมะ แม่ชีไม่ได้ทำเพื่อลาภ-ยศ-สรรเสริญอะไร แม่ชีเป็นคุณหญิงก็ไม่ได้ เป็นได้แค่นี้ แม่ชีคิดว่าทำเพื่อสังคมมากกว่า นักการเมืองก็มีอุดมการณ์เหมือนกัน แต่เรื่องแต่ละอย่างที่มาจากงบประมาณแผ่นดิน ถ้าเราเป็นนักข่าว เราต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่งั้นเราต้องรับผิดชอบทั้งชีวิตเลยนะ

เป็นนักข่าว ขายข่าว ถ้าเขียนข่าวผิดความหมายไปคำหนึ่ง ความหมายของชีวิตเราก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อย่างให้สัมภาษณ์อย่างนี้ ถ้าเขียนผิดต้องรับผิดชอบแม่ชีด้วย เพราะแม่ชีไม่มีเจตนาอื่น แม่ชีรักธรรมะจากพระพุทธเจ้า

• คนมักจะพูดกันว่า อดีตไม่สำคัญให้ทำปัจุบันให้ดีที่สุด แล้วทำไมคนจึงอยากรู้เรื่องภพชาติของเขา รู้อดีตไปเพื่ออะไร ?

เพราะคนไม่เหมือนกัน บางคนอยากรู้เพราะอยากแก้ไข เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นซ้ำซาก เช่นบางคนมีคู่ไปเรื่อยๆ แต่ไม่อยากอยู่กับใครเลย เขาก็อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น บางคนลงทุนอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย บางคนก็ฟุ่มเฟือยซะจนไม่รู้จักพ่อ ไม่รู้จักแม่ คือแต่ละคนมีพื้นฐานของกรรมไม่เหมือนกัน
Share:

ชีวิตหลังความตาย... กับข้อพิสูจน์เรื่อง “ผี” และ “เทวดา”


หลายคนปรารถนาความตาย...ขณะที่อีกหลายคนก็ไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง...ต่างคนก็ต่างจิตต่างใจกันออกไป แต่ “ความตาย” ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกชีวิตในโลกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่จะช้าหรือจะเร็วเท่าใดแค่นั้น

เรื่องราวของความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิต “หลังความตาย”

ดร.สนอง วรอุไร อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สมัยก่อนไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ เปรต ชาติภพ การเวียนว่ายตายเกิด เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ จนกระทั่งเรียนจบจากต่างประเทศ ระหว่างที่รอสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงนั้นว่างไม่รู้อะไรดลใจให้อยากพิสูจน์สิ่งที่ไม่เคย

1 เดือนเต็มๆ กับการปฏิบัติกรรมฐานที่วัดมหาธาตุ ส่งผลทำให้ความเชื่อของ ดร.สนองเปลี่ยนไป จนถึงขนาดกล่าวว่า

“ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาถอดทิ้งหมดเลย เพราะสามารถสัมผัสเทวดา ผีข้างถนนได้จริงๆ ซึ่งผมพยายามพิสูจน์มากว่า 30 ปียังหาข้อผิดพลาดไม่ได้ คุณจะสัมผัสได้ทั้งเทวดาและผี จิตวิญญาณทุกตน หากมีจิตสื่อถึงคนนั้น”

นอกจากจะได้สัมผัสเทวดา ผี แล้ว ดร.สนอง บอกว่ายังได้เห็นชาติภพที่ผ่านมา รู้ว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ตรงนี้ทำให้รู้ว่าทุกคนมีการเวียนว่ายตายเกิด เกิดเป็นเทวดา เป็นเปรต เป็นสัตว์ ส่วนชาติภพไหนจะเกิดเป็นอะไรนั้นขึ้นอยู่ทำบุญ สร้างกรรมไว้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหลังจากรับรู้แล้วก็ได้เริ่มสร้างสิ่งดีๆ มาตลอด เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวไม่สร้างความเดือดร้อนหรือล่วงเกินใคร ทั้งทางกาย วาจา ใจ และทำบุญทำทาน อุทิศส่วนบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้พวกเขารับผลบุญนี้ ดร.สนอง กล่าวถึงคนตายว่า ร่างกายตายแต่วิญญาณยังวนเวียนอยู่กับญาติ พี่น้อง คนรัก เนื่องจากความรักความผูกพันของผู้ตาย ซึ่งหลายคนมองไม่เห็น แต่คนตายเขาต้องการให้รับรู้ว่าเขามาหา จึงสัมผัสได้จากกลิ่น เสียง หรืออื่นๆ และที่ว่ากันว่าหมาหอนเพราะเห็นผีนั้น “เป็นเรื่องจริง” เนื่องเพราะหมามีสายตา จมูก ที่รับรู้ได้รวดเร็วกว่าคน

“จิตครั้งสุดท้ายก่อนจะออกจากร่าง อยากให้นึกถึงบุญ ความดี ที่เคยทำระหว่างที่มีชีวิตอยู่ หรือนึกถึงพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะ เพราะผลบุญเหล่านี้จะช่วยให้ดวงวิญญาณก่อนออกจากร่างไปสู่สวรรค์ ถ้านึกคิดแต่เรื่องทุกข์ สิ่งที่ไม่ดี มีอกุศลจิต ตายไปอาจตกนรก ทั้งที่ตลอดชีวิตทำดีมาตลอด อย่างไรก็ตาม ทุกคนจะได้สัมผัสทั้งนรกและสวรรค์เพียงแต่จะอยู่ที่ไหนยาวนานเท่านั้น หากทำความดีเยอะก็ได้รับความสุขสบายอยู่บนสวรรค์” ดร.สนองแนะนำวิธีการเตรียมตัวก่อนสิ้นใจ

ด้าน ผศ.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาพระพุทธศาสนา มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด บางรายตายแล้วเกิดใหม่ทันที และกว่าจะเกิดเป็นมนุษย์มีขั้นมีตอน คือรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าสุข ทุกข์ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พอคลอดการเลี้ยงดู ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้ทำกรรมดีกรรมชั่ว

ดังนั้น ทุกคนควรเตรียมตัวตายไว้ล่วงหน้า ก่อนร่างกายดับสนิท และก่อนลมหายใจสุดท้าย อยากให้ตั้งจิตอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าอยากเป็นอะไรไว้ด้วย “ตั้งจิต สมาธิ และอย่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะคน ทรัพย์สินเงินทอง เพราะยิ่งรักมากก็จะทุกข์มาก อยากให้ปล่อยวาง เราเกิดมาแต่ตัวเราก็ไปแต่ตัวเช่นเดียวกัน แล้วหมั่นกระทำความดีตลอดช่วงเวลาที่มีลมหายใจอยู่ เพื่อให้บุญกุศลนี้ช่วยให้ขึ้นสวรรค์”

ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า...เชื่อไม่เชื่ออย่างไร...
ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินเอาเองก็แล้วกัน
Share:

ตะเคียนที่สิงสถิตของนางไม้


เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องราวของต้นตะเคียนในที่ใด ก็มักจะมีเรื่องผีสางนางไม้ประกอบมาด้วยเสมอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาว่า ต้นไม้ขนาดใหญ่ๆ นั้น มักจะมีเทพเทวดาอารักขา หากใครคิดไปตัดหรือทำลายก็ย่อมประสบเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังเช่นต้นตะเคียนที่มีการเล่าขานกันว่า มีนางตะเคียนสิงสถิตอยู่และมีฤทธิ์มาก ดังนั้น การจะตัดต้นตะเคียนมาทำสิ่งใดก็จะต้องทำพิธีขอเสียก่อน หากไม่ทำพิธีขอจากนางตะเคียนแล้ว ก็มักจะถูกลงโทษให้เจ็บไข้ หรือมีอาการคลุ้มคลั่ง เป็นต้น

ส่วนในทางพฤกษศาสตร์นั้น ตะเคียน เป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของเอเชียเขตร้อน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hopea odorata Roxb. อยู่ในวงศ์ Dipterocarpaceae มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า ตะเคียนทอง, ตะเคียนใหญ่, แคน, โกกี้ เป็นต้น

เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงราว 20-40 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง เปลือกสีน้ำตาลดำและจะแตกเป็นสะเก็ด เมื่อต้นมีขนาดใหญ่ มีชันสีเหลืองตามรอยแตกของเปลือก เรือนยอดเป็นพุ่มกลม แน่นทึบ ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่แกมรูปหอก เรียงสลับ ปลายใบแหลม โคน ใบมน เนื้อใบค่อนข้างหนาเป็นมัน ท้องใบมีตุ่มอยู่ตามง่ามเส้นใบ
ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวแกมเหลือง ออกรวมกันเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง มีกลิ่นหอม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ผลเป็นรูปทรงกลม หรือรูปไข่ มีปีกยาวรูปใบพาย 2 ปีก และยังมีปีกสั้นอีก 3 ปีก ซึ่งปีกเหล่านี้มีหน้าที่ห่อหุ้มผล และนำพาผลปลิวไปตกได้ในที่ไกลๆ

ประโยชน์ของตะเคียนมีมากมาย ทั้งในด้านการทำเครื่องเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน สมัยโบราณนิยมนำต้นตะเคียนมาทำเป็นเสาเอก ขุดเป็นเรือ ทำสะพาน ทำวงกบ ประตูหน้าต่าง หูกทอผ้า กังหันน้ำ กระโดงเรือ เพราะเนื้อไม้แข็ง เหนียว มีความสวยงาม ทนทาน ทนปลวกได้ดี ส่วนชันหรือยางไม้ใช้ผสมน้ำมันทาไม้ ทำน้ำมันชักเงา ใช้ยาแนวเรือ

สำหรับประโยชน์ในด้านสรรพคุณพืชสมุนไพรก็มีมากมาย ได้แก่ เปลือกใช้แก้ปวดฟัน, แก่นใช้แก้โลหิตและกำเดา รักษาคุดทะราด ขับเสมหะ, เนื้อไม้ใช้แก้ท้องร่วง สมานแผล และยางใช้รักษาแผล แก้ท้องเสีย
ในอรรถกถาคาถาธรรมบท เรื่องครหทินน์ ได้กล่าวถึงไม้ตะเคียนไว้ว่า สิริคุตต์ซึ่งเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา และเป็นเพื่อนกับครหทินน์ ซึ่งเป็นสาวกของพวกนิครนถ์ เคยหลอกให้พวกนิครนห์ตกลงในหลุมคูถ (อุจจาระ) ทำให้ครหทินน์เจ็บใจมาก จึงคิดแก้แค้นพระพุทธเจ้าบ้าง โดยวางแผนนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าภิกษุมาฉันภัตตาหารที่บ้านตน

ในขณะเดียวกันก็ให้คนในบ้านขุดหลุมใหญ่ไว้ในระหว่างเรือน 2 หลัง แล้วนำไม้ตะเคียนมาประมาณ 80 เล่มเกวียน ให้จุดไฟสุมตลอดคืนยันรุ่ง แล้วให้ทำกองถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบบนปากหลุม ให้ปิดด้วยเสื่อ ลำแพน ลาดท่อนไม้ผุไว้ข้างหนึ่ง แล้วให้ทำทางเป็นที่เดินไป เพื่อที่ว่าในเวลาที่พระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุเหยียบท่อนไม้หักแล้ว ก็จะกลิ้งตกลงไปในหลุมถ่านเพลิง แต่พระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ถึงแผนการนี้

แต่ทรงเล็งเห็นด้วยพระญาณว่าหากพระองค์เสด็จไปก็จะเกิดประโยชน์มากกว่า เพราะในที่นั้นจะมีผู้คนมาฟังธรรม และจะมีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิริคุตต์และครหทินน์ ก็จะบรรลุโสดาบันด้วย จึงได้เสด็จไป เมื่อไปถึงพระศาสดาทรงเหยียดพระบาทลงเหนือหลุมถ่านเพลิง เสื่อลำแพนหายไปแล้ว ดอกบัวประมาณเท่าล้อผุดขึ้นทำลายหลุมถ่านเพลิง พระศาสดาทรงเหยียบกลีบบัว และเสด็จไปประทับนั่งลงบนอาสน์ที่ปูลาดไว้ รวมทั้งภิกษุทั้งหลายก็กระทำเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน ต้นตะเคียนทองเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดปัตตานี
Share: