วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ตำนานพญานาค


นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้าตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กันต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะอยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาคโดย เฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑส่วนในตำนานพุทธประวัติเล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนาน เรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขงหรือเมืองบาดาลและเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญา นาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อ เป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาค จะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดงเกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบาร มีบ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียวแต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียรห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจากพญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะพญานาคนั้นมีทั้งเกิดในน้ำ และบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่าง สวยงาม
พญานาคกับตำนานเมืองหนองคาย
เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้าม กับบ้านหนองกุ้งอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี เมืองพญานาคหรือเมืองบาดาล ในเมื่อมีเมืองมนุษย์หรือโลกมนุษย์โลกสวรรค์หรือเมืองสวรรค์ก็ต้องมีเมืองบาดาล(เมืองพญานาค)สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์ แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเห็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
ใต้เมืองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัยคือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักน้ำเพื่อไปดื่ม โดยมีถังน้ำ (หาบครุน้ำ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อสะอาด (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไปชาวบ้านลงมาเห็นแต่ถังน้ำ(หาบครุน้ำ)พ่อแม่ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบจนครบ7วันเมื่อไม่เห็นลูกสาวและคิดว่าลูกสาว คงจมน้ำตายแล้วจึงได้พร้อมกับญาติพี่น้องชาวบ้าน จัดทำบุญอุทิศให้ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภชจนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยง คืนลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตายก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกัน เป็นอย่างมากบางคนก็วิ่งหนเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้าสุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังหลังจากที่ตั้งสติได้และ แล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟังหญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่าวันนั้นอากาศร้อนมากน้ำดื่มหมดโอ่งเมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำเมื่อวาง กระป๋องน้ำ(หาบครุ)ปรากฏว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฏว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์มีดินมีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนจะนุ่งผ้าแดงและมีผ้าพันศีรษะเป็นสีแดงเหมือนกันโดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลง เหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อยๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฏว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เหมือนสีขุ่นๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่านี่เป็นเมืองบาดาลและเป็นเมืองหน้าด่านส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกลและชาวเมืองจะมีงาน สมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ซึ่งถือว่าตลอด3เดือนที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อยๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น