วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


คำทำนายอีกชุด บอกว่าเหตุการณ์เมืองจมน้ำนี้จะเกิดขึ้นอีกแค่ 4 ปีเท่านั้น นั้นคือคำทำนาย 2012!! นอกจากเหตุผลทางสภาวะโลกร้อนที่เป็นกระแสหลักแล้ว เหตุผลอื่นๆที่สนันสนุนคำทำนาย 2012 ทั้งวิทยาศาสตร์-ไสยศาสตร์ ดังต่อไปนี้ (ข้อมูลจากคัดลอกมากจากเว็บไซต์หลากหลากแหล่ง โปรดใช้วิจารณญาณ)
มาวันนี้กระแสตื่นกลัวน้ำท่วมโลกกลับมาอีกครั้ง ด้วยสภาวะโลกร้อนตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่ใช่แค่คำทำนายลอยๆจากผู้วิเศษลึกลับ น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายส่งผลให้ปริมาณน้ำในทะเลเพิ่มขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิที่น่าเชื่อถือหลายท่านหลากสำนักทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ผู้เคยพยากรณ์เรื่อง จะเกิดสึนามิในภาคใต้ อย่างถูกต้องมาแล้ว ต่างออกมาพยากรณ์เตือนว่า อีกไม่เกิน อย่างเร็ว 8ปี อย่างช้า30 ปี(นับจากปี2008) กรุงเทพและอีกหลายจังหวัดในไทยจะจมน้ำอย่างแน่นอน(จมถาวรไม่ใช่น้ำท่วมชั่วคราว!) แผนที่ด้านบน สีน้ำเงินเข้มคือ บริเวณที่จะจมน้ำ

"ผมไม่ใช่หมดดู แต่มันคือ "หน้าที่" "หน้าที่ผมคือการเตือนภัย โอกาสผิดก็มี...แต่โอกาสถูกมีมากว่า" ดร.สมิทร ธรรมสโรช

กรมแผนที่ทหารบอกว่า ขณะนี้อัตราเฉลี่ยการทรุดตัวของ กทม. อยู่ที่ปีละ 5-8 ซม. ซึ่งถ้าเป็นจริงอย่างที่บอก อีก10 กทม.จะทรุดลองอีก 50 ซม. ผนวกกับ 10 ปีระดับน้ำที่ทำนายไว้ว่า จะสูงขึ้นมาประมาณ 1 เมตร(เยอะมากนะ) นั้นหมายความว่า กทม.จะจมอยู่ใต้น้ำราว 1.5-2 เมตร ส่วนบางปะกง ฉะเชิงเทรา ปากน้ำ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม พื้นที่เหล่านี้ก็จะมีน้ำท่วมหมดเลยเช่นกัน เพราะพื้นที่นี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียงนิดเดียว

สำหรับประเทศไทยเรา ถ้าภาคประชาชน - เอกชน - รัฐ ไม่ละเลยกรณีปัญหานี้จนเกินไป ศึกษาอย่างจริงจัง ถ้ามีแน้วโน้วจะเป็นจริง คงจัดหาทคโนโลยีมาช่วยได้ (หรือจะย้าย กทม.? ย้ายวัดพระแก้ว?) อย่าให้เป็นอย่าง สึนามิ เพราะกรณีนี้ทั้งนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศและ ดร.สมิทร(ซึ่งไม่ใช่หมอดูนั้งเทียน) ได้มาเตือนล่วงหน้าบ้างแล้วว่าเป็นไปได้แต่ไม่มีใครฟัง เห็นว่าเป็นเรื่องตลกฟุ่งซ่านไป ผลก็อย่างเป็นที่รู้กัน *แต่ก็ไม่ควรตระหนกเกิดเหตุ

โลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดจนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ไปในช่วงเวลานั้น ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้ว จะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้
1. ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

2. การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก


3. ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่มและน้ำท่วม พื้นที่บางจุดของโลกจะจมน้ำถาวร


4. สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา


5. กลุ่มวัตถุในอวกาศมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดจนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน สัตว์จำพวกไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ไปในช่วงเวลานั้น ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้ว จะทำคุณสมบัติของแม่เหล็กของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้
1. ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

2. การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก


3. ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่มและน้ำท่วม พื้นที่บางจุดของโลกจะจมน้ำถาวร


4. สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา


5. กลุ่มวัตถุในอวกาศมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากฟื้นเขาอ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆบนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ คนที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะเขาได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อมกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผง แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.2012 หรือ พ.ศ.2555 นั่นเอง
สำหรับเอเชีย-ประเทศไทย จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่งซึ่งอยู่ระหว่างอะลาสก้ากับรัสเซีย เกาะญี่ปุ่นจึงจะจมหายไปหมด เหลือไว้แค่ 2-3 เกาะเท่านั้นญี่ปุ่นส่วนใหญ่และไต้หวันกับเกาหลีก็จะหายจมไปในทะเล ดังนั้นแนวฝั่งของจีนก็จะร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ทีเดียว อินโดนีเซียจะถูกทำลาย เช่นเดียวกับฟิลิปินส์ เอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากเพราะตั้งอยู่บน 3 ทวีป ส่วนไทยนั้นอยู่บนแผ่นทวีปของ ยูเรเซี่ยน ซึ่งจะเกิดการยกตัวให้สูงขึ้น แผ่นแปซิฟิกจะเคลื่อนไป 9 องศา ดังนั้น บางส่วนจะมุดตัวลง บางส่วนจะยกตัวขึ้นผลสรุปการทำนายก็คือ ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตามภาพแผนที่ ที่ขยายแยกออกมา ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วนและภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายเป็นทะเล
ปฏิทินมายา กล่าวว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ คือ วันวิปโยคสิ้นโลก! เผ่ามายาอยู่ทางทวีปอเมริกาเหนือ มีการสืบสายวัฒนธรรมรวมถึงสิ่งก่อสร้าง ปิรามิด และวัดนับพันแห่ง มีปฏิทินของตนเองที่ได้รับการพิสูจน์ถึงความถูกต้องทางดาราศาสตร์ มากกว่าพันปีปฏิทิน ความเชื่อของชาวมายาจึงได้รับการพิจารณาว่าเป็นกุญแจพิศวง ด้านจิตวิญญาณ สำคัญของคนแถบอเมริกาเหนือ
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น