วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตำนาน กวนเกษียรสมุทร


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยโบราณกาล นานมาแล้ว พวกเทพกับยักษ์หรืออสูรต่างเป็นศัตรูกัน ประมาณเด็กอาชีวะรุ่นโบ(ราณ)ที่เห็นกันไม่ได้ ต้องตีรันฟันแทงให้ตายไปข้างหนึ่ง แต่นัยว่าสมัยใหม่นี้ เขาเป็นคนพันธุ์อา(ชีวะ) ไม่ตีกันแล้ว ส่วนสาเหตุที่ทั้งคู่เป็นอริกัน ว่ากันว่ามาจากการแย่งที่ดินทำกิน เอ้ย! ไม่ใช่ เทวดาใช้เล่ห์เพทุบาย ยึดพื้นที่บนสวรรค์อันเป็นที่อยู่เดิมของพวกอสูร ทำให้เหล่าอสูรโกรธแค้นยิ่งนัก เห็นเทวดาที่ไหนเป็นต้องซัดให้หมอบ และก็อย่างว่าเทวดาแต่ละองค์ ท่านก็เอวบางร่างน้อย หุ่นอ้อนแอ้น ไหนจะสู้อสูรที่หล่อล่ำบึกได้ สู้ทีไรก็แพ้ทุกที อีกอย่างพระอินทร์ที่เป็นหัวหน้าเทวดา ท่านก็ถูกฤษีตนหนึ่งสาปไว้ด้วย โทษฐานดูหมิ่นเอาพวงมาลัยดอกไม้ ที่ฤษีถวายไปให้ช้างเอราวัณ ซึ่งเป็นช้างทรงของท่านกระทืบเสียแบนแต๊ดแต๋ จึงเลยถูกสาปให้เสื่อมฤทธิ์อำนาจ แถมท้ายให้รบแพ้ยักษ์อีกต่างหาก แม้จะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซึ่งที่จริงพระอินทร์ก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะพอได้รับมาลัยก็เอาไว้บนเศียรช้างเอราวัณ แต่ช้างทรงท่านคงเป็นโรคภูมิแพ้ ได้กลิ่นดอกไม้ ก็เลยคลุ้มคลั่ง เอางวงจับพวงมาลัยมากระทืบเสียกระจุย ฤษีเห็นเข้าก็เลยยัวะ สาปแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ด้วยเหตุนี้ เทวดารบกับยักษ์ทีไร ก็แพ้เสียทุกครั้ง ทำให้เดือดร้อนกันมาก ในที่สุดเหล่าเทวดา นำโดยพระอินทร์ก็ไปขอให้พระนารายณ์ ซึ่งมีอีกชื่อว่า พระวิษณุให้ช่วยหน่อยเถอะ พระนารายณ์ท่านฟังแล้ว คงนึกสงสาร และเห็นว่าขืนปล่อยให้รบแพ้เรื่อยๆ แบบนี้ เสียชื่อเทวดาด้วยกันโหม้ด ท่านก็เลยสงเคราะห์ แนะให้เหล่าทวยเทพทั้งหลายกวนเกษียรสมุทร หรือทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤต เอามาดื่ม จะได้เป็นอมตะไม่ตาย อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเทวดาทำไมตายได้ ก็ต้องบอกว่าตำนานก็เหมือนนิทาน เทวดาหรือยักษ์ก็ตายได้ทั้งนั้น และจริงๆ แล้วคติทางศาสนา เทวดาก็อยู่ได้ด้วยบุญ หากบุญหมด ก็ต้องจุติมาเกิดใหม่เหมือนกัน

พิธีกวนเกษียรสมุทรนี้ นอกจากจะต้องไปถอนเอาภูเขามันทรคีรี อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์ทั้งหลาย มาปักเป็นหลักอยู่กลางทะเลน้ำนม ที่ตั้งอยู่ที่ไวกูณฑ์สวรรค์ทำเป็นเหมือนไม้กวนแล้ว ยังต้องช่วยกันเก็บสมุนไพรนานาชนิด มาผสมลงในเกษียรสมุทร ด้วย (อ้อ ! คำว่าเกษียร ในที่นี้ต้องใช้ตัว ร.เรือสะกดนะจ้ะ ถ้าเป็นเกษียณ จะหมายถึง สิ้นไป อย่างเกษียณอายุราชการ) จากนั้นยังต้องขอให้พญานาควาสุกรี มาขดพันรอบภูเขามันทรคีรีต่างสายชักโยง เพื่อให้ดึงไปดึงมาแบบปั่นไอศกรีม จนกว่าน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤตจะผุดขึ้นมานั่นแหละจึงจะสำเร็จ เทวดาทั้งหลายพอได้ฟังกรรมวิธีจากพระนารายณ์ ก็เห็นว่าเป็นงานใหญ่มิใช่เล่น ลำพังแค่กำลังเทวดาทั้งหมดคงจะปั่นไอติม เอ้ย! กวนทะเลน้ำนมไม่ไหวเป็นแน่ ก็เลยออกอุบาย ขอพักรบกับเหล่าอสูร และทำตีซี้ให้มาช่วยลงแขกกวนเกษียรสมุทรด้วยกัน โดยทำทีสัญญาว่าหากสำเร็จ ก็จะแบ่งให้พวกอสูรได้กินด้วย พวกอสูรก็ดันเชื่อ ไม่รู้ว่าเพราะความซื่อ โง่ หรืออัตตาสูงที่คิดว่าตนไม่แพ้กระมัง ก็เลยยอมมาร่วมสังฆกรรมกวนทะเลน้ำนม ให้เป็นน้ำทิพย์กับพวกเทวดาด้วย แถมบ้ายออีกต่างหาก พอเทวดาแกล้งบอกว่าใครเข้มแข็งมีพลังที่สุดในสามโลก ให้ไปชักทางด้านเศียรพญานาค เหล่าอสูรก็หลงกลแจ้นไปชักทางด้านเศียรพญานาควาสุกรีทันที ฝ่ายเทวดาก็รีบไปยกข้างหาง ครั้นแล้วทั้งสองฝ่าย ต่างก็ช่วยกันชักดึงพญานาควาสุกรีไปมาอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ภูเขามันทรคีรี หมุนกวนสมุนไพรให้เข้ากับทะเลน้ำนม (แหม! นี่ถ้ากวนออกมาเป็นไอติม ก็เป็นไอติมสุขภาพเข้าสมัยเปี๊ยบเลยนะเนี่ย เพราะมีส่วนผสมเป็นสมุนไพรสวรรค์ล้วนๆ) เมื่อเทวดาชักไปยักษ์ดึงมา พญานาควาสุกรีท่านคงมึนก็เลยอ้วก เอ้ย! ทั้งเจ็บทั้งเพลียเพราะร่างกายถูกเสียดสีจากที่ต้องพันรอบภูเขาด้วย ท่านก็เลยคายพิษเป็นไฟกรดออกมาทีละเล็กละน้อย พวกอสูรที่ชักอยู่ทางด้านเศียร ไหนจะต้องออกแรงชักเย่อกับเทวดา ไหนจะถูกพิษพญานาคที่พ่นรดหัวอยู่ตลอดเวลา ก็เลยอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆ กัน

ส่วนเทวดาชักข้างหางแม้จะเหนื่อย แต่ก็ไม่ถูกพิษและไอร้อนเลยสบายหน่อย และเนื่องจากการกวนเกษียรสมุทรที่ว่านี้ มิใช่จะทำกันแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องใช้เวลานับพันปี ดังนั้น พญานาคท่านก็คงปั่นป่วนมวนท้องเต็มที เลยสำรอกพิษออกมาเต็มที่ ซึ่งพิษร้ายนี้หากตกสู่โลก (อย่าลืมว่าท่านไปกวนกันบนสวรรค์ชั้นไวกูณฑ์โน่น) ก็จะทำให้โลกมนุษย์เกิดอันตรายได้ ด้วยพระเมตตาอันสูงสุดต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ พระอิศวรหรือที่เรารู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่าพระศิวะ(สามีพระแม่อุมาเทวี) ก็เลยมาปรากฎกาย และดูดเอาพิษร้ายทั้งหมดไปไว้ในตัว พิษร้ายดังกล่าวก็เลยเผาผลาญพระศอ(คอ) ของพระองค์จนกลายเป็นสีดำสนิท (ก็เลยมีคนเปรียบเทียบสีดำว่า เป็นสีแห่งความรัก ที่เสียสละเหมือนพระศิวะที่ช่วยเหลือมนุษย์โลก ในเรื่องกามนิต-วาสิฏฐีไง เคยเรียนไหม?-เอ! หรือจะคนละรุ่นกันแฮะ) แค่นี้ยังไม่พอ พอกวนๆไป ก็เกิดความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสามโลก ภูเขามันทรคีรีก็เริ่มเอียงคลอน (สงสัยน่าจะเอียงๆ มาทางด้านยักษ์ เพราะแรงดีกว่า) อีกทั้งปั่นๆ ไปกวนไป ภูเขาที่ว่าก็อาจจะเจาะทะลุโลกให้พังทลายได้ พระนารายณ์ในฐานะต้นคิด ก็เลยต้องแบ่งภาคอวตาร(แปลงกาย) มาเป็นเต่าใหญ่ เอากระดองมารองรับ มิให้ยอดเขามันทรคีรีเจาะลึกลงมาเป็นอันตรายต่อโลกได้ และตอนที่ท่านแปลงกายเป็นเต่ายักษ์นั้น ปรากฏว่ามีอสูรมัจฉาตนหนึ่ง กำลังกัดแทะแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤต(ที่กะว่าพอกวนได้) จะได้ไหลทะลักมาสู่โลก เพื่อมันจะได้ดื่มและเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว พระนารายณ์แปลงก็เลยปราบเสียอยู่หมัด และเขาก็เรียกภาคที่ท่านอวตารเป็นเต่าใหญ่ มาหนุนแผ่นดินหรือภูเขานี้ว่า “ปางกูรมาวตาร” กูรมะแปลว่าเต่า (พระนารายณ์ท่านมีหน้าที่ปราบทุกข์เข็ญต่างๆ ดังนั้น เดี๋ยวท่านก็แปลงกายหรืออวตารเป็นโน่นเป็นนี่อยู่ตลอด แต่ที่เขานับกันจริงๆ มีอยู่ 10 ปางด้วยกัน ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง “พระนารายณ์สิบปาง”มาบ้างแล้ว)
มาว่าเรื่องกวนเกษียรสมุทรต่อดีกว่า อ้อ ! มีบางตำราเขาก็ว่าเดิมมหาสมุทรที่ถูกกวนนี้มีชื่อว่า “กลศะ” ตอนแรกยังไม่เป็นทะเลน้ำนม แต่พอกวนไปกวนมาก็เลยมีสีข้นขาวเหมือนน้ำนมขึ้นมา ก็เลยเรียกว่า “เกษียรสมุทร” หรือทะเลน้ำนมอย่างที่เล่ามาแต่ต้น ซึ่งนอกจากจะมีเหตุการณ์เรื่องพญานาคคายพิษ และเรื่องพระนารายณ์อวตารเป็นเต่าแล้ว ระหว่างที่กวนๆกันไปนี้ ก็ยังเกิดของวิเศษ 14 อย่างทยอยผุดขึ้นมาด้วย ของวิเศษที่ว่านี้ก็มี

1. ดวงจันทร์ ซึ่งพระศิวะหยิบไปปักไว้บนเกศา ที่เราเห็นมวยผมของท่าน มีพระจันทร์เสี้ยวประดับอยู่แบบปิ่นไง
2. เพชรเกาสตุภะ ที่พระนารายณ์นำไปประดับพระอุระ(อก)
3. ดอกบัวลอยขึ้นมาพร้อมพระลักษมี ซึ่งต่อมาก็คือพระชายาของพระนารายณ์
4.วารุณี เทวีแห่งสุรา
5. ช้างเผือกเอราวัณ ซึ่งพระอินทร์ได้นำไปเป็นช้างทรง อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านหลายคนอาจสงสัยว่า ตอนพระอินทร์โดนฤษีสาปตอนต้น อันเกี่ยวเนื่องกับช้างเอราวัณ เหตุการณ์มันเกิดก่อนหรือหลังการกวนเกษียรสมุทรกันแน่ ก็ต้องบอกไว้ว่าตำนานเกี่ยวกับเทวดานั้น มันสลับซับซ้อนและมีหลายตำนานด้วยกัน บางเรื่องก็เล่าขัดๆ กันเองก็มี เอาเป็นว่าอ่านสนุกๆ อย่าไปซีเรียสมาก
6. ม้าอุจฉัยศรพ ซึ่งพระอาทิตย์นำไปเทียมรถทรง
7. ต้นปาริชาติ เป็นต้นไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม ที่ว่าใครได้กลิ่นก็จะระลึกชาติได้
8. โคสุรภี หรือ กามะเธนู ที่แปลว่า ผู้ให้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา เป็นวัวตัวเมีย เหล่าเทวดาได้ยกให้พระวิสิษฐ์มุนี9. หริธนู
10. สังข์
11. เทพีอัปสรสวรรค์ ที่เห็นว่ามีเป็นแสนๆ องค์เลยทีเดียว
12. พิษร้าย ที่กล่าวกันว่าฝูงนาคและงูได้มาดูดพิษกันไป จึงทำให้งูกลายเป็นสัตว์มีพิษจนทุกวันนี้
13. ธันวันตริ หรือ แพทย์สวรรค์นั่นเอง ซึ่งเทวแพทย์ที่ผุดขึ้นมานี้ ท่านก็ได้ทูนหม้อน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต อันเป็นของวิเศษชิ้นสุดท้าย (ชิ้นที่14) ที่ทุกคนรอคอยขึ้นมาด้วย แต่ก่อนที่เทวแพทย์องค์นี้จะลอยขึ้นมา ทั้งเทวดาและยักษ์ ต่างก็แย่งของวิเศษที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้กันจ้าละหวั่นแล้ว คงประเภทใครถึงก่อนได้ก่อน อย่างอื่นก็คงไม่เท่าไร อย่างเทพีสุรา พวกอสูร คงไม่สนเพราะเคยมีบทเรียนจากการเมา แล้วโดนทุ่มตกจากสวรรค์มาแล้ว ก็เลยสาบานว่าจะไม่แตะต้องสุราอีก ถึงเรียกพวกยักษ์อีกอย่างว่า “อสูร” หรือ อสุระ ที่แปลว่า ไม่ดื่มสุราไง แม้จะไม่ดื่มสุรา แต่เหล่าอสูรก็เป็นประเภทเจ้าชู้ยักษ์ ดังนั้น พอเห็นนางอัปสรลอยขึ้นมา หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักทั้งน้าน พี่ยักษ์ทั้งหลายก็ลืมตัว ไล่จับนางฟ้ากันอุตลุด ยกเว้นอสุรินทร์ราหูตนเดียวที่ไม่สน รอคอยหม้อน้ำอมฤตอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นแล้วเมื่อน้ำอมฤตลอยขึ้นมาพร้อมเทวแพทย์ พระนารายณ์ท่านก็เล่นพวกทันที เพื่อช่วยเทวดา ท่านก็แปลงร่าง(อีกแล้ว) เป็นนางฟ้านาม “โมหิณี” ที่ว่ากันว่า งามมาก ตรงเข้ามายั่วยวนพวกอสูร ที่บ้าผู้หญิงอยู่แล้ว พวกนี้ก็เลยไม่ได้ทันสนใจอะไรว่ามีอะไรโผล่มาอีก มัวแต่จับจ้อง เตรียมแย่งสาวงามกัน พวกเทวดาได้โอกาสก็รีบมาเข้าคิวดื่มน้ำอมฤตทันที

อสุรินทร์ราหูจ้องอยู่แล้ว ก็แอบแปลงร่างเป็นเทพปลอมๆ มาต่อแถวด้วย ก็บังเอิญพระจันทร์กับพระอาทิตย์ดันมาเห็นเข้า ก็เลยวิ่งโร่ไปฟ้องพระนารายณ์ทันที ท่านก็เลยปล่อยจักรที่มีชื่อว่า “สุทรรศนะ” ตัดกายราหูขาดเป็นสองท่อน แต่เนื่องจากราหูไวกว่า ดื่มน้ำอมฤตไปแล้ว ก็เลยไม่ตาย ท่อนที่ถูกตัดขาดไป ก็เล่ากันว่าได้กลายไปเป็นอสุรกายชื่อเกตุ (หรือดาวเกตุอันเป็นต้นกำเนิดดาวหาง และอุกาบาตต่อมา) และนี่เอง ก็เป็นที่มาว่าเหตุใดราหูถึงอมจันทร์ หรืออมพระอาทิตย์ ที่เราเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า จันทรคราสหรือสุริยคราส ก็เพราะพระราหูเจ็บใจเทวดาทั้งสองมาก เจอที่ไหนก็ตรงเข้าจับมากลืนกินทันที แต่เนื่องจากว่ามีเพียงครึ่งตัว พอกินทางปาก พระจันทร์หรือพระอาทิตย์ ก็ลอยหลุดออกมาทางท้องได้ หลังจากราหูหนีไปแล้ว พระนารายณ์ก็นำหม้อน้ำอมฤตที่เหลือ ไปมอบให้พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์ และห้ามผู้ใดแตะต้องอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเทวดาได้ดื่มน้ำอมฤตแต่ฝ่ายเดียว ส่วนพวกยักษ์หรืออสูรก็ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ไป แหม ! จะว่าไปแล้ว ก็น่าสงสารพวกอสูรที่ถูกโกงแรงงาน อุตส่าห์ช่วยปั่นแทบตาย ท้ายสุดไม่ได้แอ้มน้ำทิพย์สักหยด เรียกว่าเปลืองแรงฟรี แม้บางตนอาจจะได้นางอัปสรที่ไล่จับมาได้บ้าง แต่ก็ถือว่าไม่ค่อยคุ้มค่าเหนื่อยเล้ย หลายคนอ่านแล้วก็คงรู้สึกว่าเทวดานี่ช่างขี้โกง เจ้าเล่ห์ ไม่น่าเป็นเทวดาเลย ก็ต้องบอกว่าพวกเทพนั้น ก็คือคนที่ทำความดีแล้วได้ขึ้นสวรรค์ตามผลบุญที่ทำมา แต่มิใช่พระอรหันต์ ดังนั้น ท่านจึงยังมีกิเลสอยู่ มนุษย์เราถึงยังได้ติดสินบนเทวดาด้วยการถวายหัวเห็ดเป็ดไก่ เพื่อให้ท่านพอใจใบ้หวย หรือให้สิ่งที่ปรารถนาได้ไง

ที่เล่ามาทั้งหมดก็คือ ตำนานหรือที่มาของรูปประติมากรรม “กวนเกษียรสมุทร” ที่อยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ และเป็นที่มาว่าทำไมผู้ออกแบบถึงมีแนวคิดเรื่องอมตะ ก็เพราะเชื่อมโยงมาจากเรื่องน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต ที่กวนได้จากเกษียรสมุทรนี่เองแหละ ก็หวังว่าอ่านแล้วคงจำไปโม้ต่อให้เพื่อนๆ ฟังได้ หากต้องผ่านไปเจอประติมากรรมชิ้นดังกล่าว ณ สนามบินแห่งนี้ มาคิดๆดู ที่สนามบิน “สุวรรณภูมิ” มีสารพัดปัญหามาตลอด คงเป็นเพราะมีเจ้า อสูรมัจฉา หลายตัวผลัดกันมาคอยแคะแกะกิน “แผ่นดินทอง” อยู่ไม่ขาด พระนารายณ์กำจัดเท่าไรก็ไม่หมด ล่าสุดข่าวว่าท่านต้องอวตารมาเป็น “คตส.” (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) แต่จะปราบได้หรือไม่ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปนะครับท่านผู้ชม
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น