ผมมีโอกาสได้ประสบกับเรื่องราวอาถรรพณ์เป็นเรื่องที่ผมจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว สมัยนั้นถนนสุขุมวิทสายเก่า เป็นถนนราดยางมะตอยที่รถต้องวิ่งสวนทางกันจึงมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่เลยตลาดตำหรุมาถนนช่วงนี้จะมืดและเปลี่ยวไปจนถึงคลองด่าน จุดที่เกิดเหตุบ่อยๆ มีการทำพิธีตั้งศาลขึ้นโดยตัวศาลมีสีแดง ชาวบ้านแถวนั้นจึงเรียกกันติดปากว่าศาลแดง ผู้คนที่สัญจรไปมาจะยกมือไหว้หรือบีบแตรเพื่อแสดงความเคารพ ส่วนตัวผมเองจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนแถวนั้น ผมเป็นคนลาดกระบังโดยกำเนิด ในช่วงนั้นผมศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยย่านลาดกระบัง แต่เหตุที่ผมต้องมาเจออาถรรพณ์ครั้งนี้เพราะบังเอิญผมมีแฟนเป็นคนบางปูจึงต้องใช้เส้นทางสายนี้เป็นประจำ แต่ส่วนมากจะใช้ในเวลากลางวัน เวลาที่ขับรถผ่านศาลแดง แฟนผมมักจะเล่าเรื่องราวอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตให้ผมฟังและพยายามบอกให้ผมบีบแตรเพื่อแสดงความเคารพต่อศาลแดง แต่โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องราวด้านนี้เท่าใดนัก คำที่มักจะหลุดจากปากผมออกไปคือ “งมงายไร้สาระ” นี้คงเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สยองที่เกิดกับผม
ผมยังคงใช้เส้นทางนี้เพื่อไปรับและส่งแฟนเป็นประจำ จนวันหนึ่งผมกับแฟนไปงานอุปสมบทของเพื่อน กว่างานจะเลิกก็เป็นเวลาเกือบ 4 ทุ่ม ผมขับรถมาส่งแฟนตามปกติ หลังออกจากบ้านงานได้สักพักฝนก็เริ่มลงเม็ดและเมื่อขับมาได้ครึ่งทางก็ตกหนักเอามากๆ จนมองเส้นทางแทบไม่เห็น ผมขับมาเรื่อยๆ จนเลยตลาดตำหรุถนนมืดสนิทเพราะไม่มีไฟทาง นานๆ จะมีรถสวนมาซักคัน พอขับมาได้ซักระยะก็มีรถขับแซงผมไปด้วยความเร็ว ผมเอ่ยปากบอกแฟนว่า “สงสัยจะรีบไปตาย” ยังไม่ทันขาดคำรถคันดังกล่าวเหมือนจะหักหลบอะไรซักอย่างแล้วแฉลบลงข้างทางไปชนกับต้นไม้ เสียงดังสนั่น ผมพยายามจอดรถเพื่อลงไปช่วยผู้ประสบเหตุแต่แฟนผมบอกว่ากลัวและไม่ให้ผมจอดผมจึงจำใจต้องขับรถต่อไป แต่ในใจคิดว่าขากลับจะแวะดูเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง จึงรีบขับรถเพื่อไปส่งแฟน หลังจากออกจากบ้านแฟน ผมรีบขับรถเพื่อให้ถึงที่เกิดเหตุเร็วๆ เมื่อมาถึงเห็นคน 3-4 คนยืนล้อมรถอยู่ ผมจอดรถบริเวณไหล่ทางและเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าจุดที่จอดรถนั้นอยู่หน้าศาลแดงพอดี แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะต้องการลงไปช่วยคนมากกว่า ผมวิ่งข้ามถนนฝ่าสายฝนไปยังรถที่เกิดอุบัติเหตุ จากการสังเกตสภาพรถระหว่างที่กำลังวิ่งอยู่นั้น ด้านหน้ารถพังยับเยิน กระจกและไฟหน้ารถแตกละเอียดในใจคิดว่าคนขับจะรอดหรือเปล่า เมื่อไปถึงรถผมเห็นคนขับฟุบหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถ คนที่ยื่นอยู่ก่อนหน้าผมไม่มีใครทำอะไรเลย ผมถามออกไปว่า “คนขับเป็นยังไงบ้าง” โดยที่ไม่ได้ทันสังเกตหน้าคนเหล่านั้นเพราะตาผมจ้องอยู่ที่คนเจ็บ คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองพวกที่มุงอยู่ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุประมาณ 3-4 ขวบมายืนตากฝนอยู่ด้วย ในกลุ่มคนที่มุงอยู่นี้มีผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน อายุจากเท่าที่สังเกตในความมืดทุกคนคงจะไม่เกิน 30 ปี ผมถามออกไปอีกครั้งว่า “มีใครแจ้งตำรวจหรือมูลนิธิบ้างหรือยัง” เงียบไม่มีเสียงตอบใดๆ อีกเช่นเคย ผมไม่สนใจผมเริ่มสำรวจคนเจ็บแล้วจับร่างที่ฟุบอยู่กับพวงมาลัยรถให้หงายมาพิงเบาะสังเกตในความมืดรู้สึกว่ามีเลือดไหลมาจากศีรษะ ผมจับที่ข้อมือเพื่อดูชีพจรปรากฏว่าชีพจรยังเต้นอยู่ จึงหันไปบอกพวกที่มุงดูอยู่อีกครั้งว่า “เค้ายังไม่ตายนะ ผมจะพาไปโรงพยาบาล ช่วยอุ้มคนเจ็บหน่อย” ทุกคนยืนก้มหน้านิ่งผมแอบสบถในใจว่า “ไอ้พวกไร้น้ำใจ” ผมพยายามค้นตามตัวคนเจ็บก็พบกระเป๋าสตางค์แต่ด้วยความมืดจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้จึงตัดสินใจอุ้มคนเจ็บข้ามถนนไปยังรถผมที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วว่างคนเจ็บลงที่เบาะนั่งข้าง ๆ คนขับ ผมเริ่มสำรวจคนเจ็บอีกครั้ง เพราะแสงไฟในรถที่สว่างพอสมควร พบว่าศีรษะแตก และมีเลือดไหลออกมาจากจมูกจึงเอาทิชชูในรถเช็ดเลือดแล้วเปิดกระเป๋าสตางค์ดูพบว่าคนเจ็บมีบัตรประกันสังคมของโรงพยาบาลปากน้ำอยู่เห็นดังนั้น ผมจึงรีบวิ่งไปเปิดประตูด้านคนขับ สายตาก็ชำเลืองดูฝั้งตรงข้ามอีกครั้งก็เห็นว่าพวกที่มุงอยู่เมื่อตะกี้กำลังเดินข้ามถนนมา ผมขึ้นรถแล้วติดเครื่องยนต์ พอเงยหน้ามาอีกครั้งก็เห็นว่าคนพวกนั้นเดินอยู่หน้ารถห่างออกไปซัก 5 เมตร ผมเปิดไฟหน้ารถและไฟเลี้ยว เมื่อแสงไฟหน้ารถปะทะเข้ากับร่างคนเหล่านั้นทำให้ผมตกใจสุดขีด เพราะภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือ ภาพของศพที่เดินได้ดี ๆ นี้เอง หน้าตาของแต่ละคนนั้นพุพอง เน่าเฟะ เสื้อผ้าสีช้ำเลือดช้ำหนอง ผมตัดสินใจหักพวงมาลัยให้พ้นพวกปีศาจเหล่านั้นแล้วเหยียบคันเร่งออกรถอย่างรวดเร็ว เมื่อพ้นระยะผมมองที่กระจกมองหลังก็พบแต่ถนนว่างเปล่า ในใจคิดว่าเจอดีเข้าแล้วจึงเหยียบรถอย่างเต็มที่เพื่อหนี้ไปให้พ้นๆ รู้สึกใจคอสั่นไปหมดเพราะภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ยังติดตาอยู่มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ผมขับมาจนถึงที่ชุมชนจึงจอดรถเพื่อตั้งสติและหันไปมองคนเจ็บที่ยังสลบอยู่จึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องพาไปโรงพยาบาล ผมพาคนเจ็บไปยังโรงพยาบาลปากน้ำ หลังจากส่งคนเจ็บถึงมือแพทย์แล้วผมก็พยายามตรวจดูกระเป๋าสตางค์อีกครั้งเพื่อหาทางติดต่อกับญาติผู้บาดเจ็บ หลังจากดูที่อยู่ในบัตรประชาชนพบว่าเป็นซอยเดียวกับบ้านแฟนผมจึงโทรหาแฟนเพื่อถามว่ารู้จักคนเจ็บไหม ซึ่งแฟนผมก็รู้จักจึงไปแจ้งข่าวให้ญาติรู้ หลังจากนั้นผมก็กลับบ้านโดยไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง อีกสองสามวันต่อมาผมมีโอกาสได้ไปที่บ้านแฟน เมื่อไปถึงผมเห็นแฟนนั่งคุยอยู่กับคนที่ผมช่วยเอาไว้พอดี ทราบชื่อเล่นภายหลังว่าพี่ก้อง แกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเลยมาขอบคุณแฟนผมที่ช่วยส่งข่าวให้ญาติของเค้าทราบและต้องการจะขอบคุณผมอยู่พอดีเลยได้นั่งคุยกันมีพี่ก้อง แฟนผม และพ่อพี่ก้อง โดยพี่ก้องเล่าว่า “คืนนั้นไปงานเลี้ยงที่บริษัทจัดขึ้นจึงดื่มไปนิดหน่อย ระหว่างทางขับรถกลับบ้านพอมาถึงจุดเกินเหตุตนขับรถแซงคันหน้าแล้วกำลังกลับเข้าเลนเดิม แต่อยู่ๆ ก็เห็นคน 3-4 คนซึ่งจำได้ว่ามีผู้หญิงอุ้มเด็กอยู่ด้วยยืนขวางถนนอยู่ จึงหักรถหลบลงข้างทางแล้วพุ่งชนต้นไม้ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย” หลังจากได้ฟังพี่ก้องเล่าผมขนลุกซู่ทันทีในใจนึกถึงเรื่องที่เกิดกับตัวเองคืนนั้น มาสะดุ้งอีกครั้งเมื่อพี่ก้องถามว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ทุกคนฟัง แฟนผมถามว่าทำไมไม่เล่าให้เธอฟังผมจึงให้เหตุผลไปว่ากลัวเธอจะกลัว ส่วนพ่อพี่ก้องบอกว่า “เมื่อ 2 เดือนก่อนมีอุบัติเหตุรถเก๋งพลิกคว่ำหน้าศาลแดงตายทั้งคัน เป็นคู่สามีภรรยา 2 คู่ อายุประมาณ 25-30 ปี และรู้สึกจะมีเด็กผู้หญิงอายุ 3-4 ขวบอีกคน” แม้เรื่องราวทั้งหมดจะผ่านมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วแต่ภาพเหตุการณ์คืนนั้นยังตรึงใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ และผมก็หลีกเลี่ยงการใช้ถนนเส้นนี้ในเวลากลางคืนมาตลอด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น