วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นักตกปลาโชว์ภาพกระเบนยักษ์ หนักถึง 127 กิโลกรัม


นักตกปลาชาวอังกฤษต้องออกแรงในการดึงเบ็ดอย่างใจจดใจจ่อ หลังจากที่กระเบนยักษ์ขนาด 127 กิโลกรัมติดเบ็ดระหว่างการเดินเรือไปตกปลาที่ประเทศอาร์เจนตินาโดยนายเจเรมี เวด วัย53 ปี กล่าวอย่างภูมิใจว่า นี่ถือว่าเป็นการตกปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจับได้ มันมีขนาดใหญ่มากจนต้องใช้เวลากว่าจะดึงมันมาถึงชายฝั่งถึง 4 ชั่วโมง

เขากล่าวด้วยว่า หากคุณโดนเงี่ยงกระเบนยักษ์ตัวนี้แทงเข้าไป อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพราะพิษของมันรุนแรงมาก ซึ่งโดยปกติแล้ว มันจะจู่โจมมนุษย์ด้วยการปักไปที่เท้าหรือหัวเข่าก่อนที่จะปล่อยพิษออกมา หากใครไปเหยียบมันเข้าก็อาจถึงตายได้

นายเจเรมี บอกว่าก่อนหน้านี้ ก็ยังเคยจับปลาไหลยักษ์ หนักถึง 127 กิโลกรัมเช่นกัน ในแม่น้ำปารานา แถบบัวโนส ไอเรส
Share:

มนุษย์ต่างดาว


เรื่องมนุษย์ต่างดาว หรือบรรดาเหล่านอกโลกทั้งหลาย สำหรับบางคน ถึงกับเบือนหน้าหนี มองเป็นเรื่องไร้สาระ งมงาย เพราะด้วยความที่ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะพิสูจน์ได้ว่า เหล่ามนุษย์ต่างดาว มีจริงหรือไม่ จนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง

แต่ก็ถือเป็นเรื่องยากเหลือเกิน ที่จะเห็นมนุษย์ต่างดาว ออกมาโชว์ตัว ให้เห็นตามสื่อ สนทนากันแบบซึ่งหน้า มีเพียงแต่ร่องรอยและหลักฐาน และคำกล่าวอ้าง ที่อ้างว่าพวกมันกำลังลงมาเยือนบนผิวโลกมนุษย์มาโดยตลอด อย่างเช่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา กองทัพทหารของนิวซีแลนด์ ได้เปิดเผยเอกสารที่ระบุว่ามีการพบมนุษย์ต่างดาว วัตถุลึกลับ หรือ จานยูเอฟโอ ตลอดระยะเวลากว่า50ปี นับตั้งแต่ปี 1954 ถึง 2009 แถมยังมีภาพสเก็ตช์จานบิน รายละเอียดเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวซึ่งสวมหน้ากากฟาโรห์ รวมทั้งตัวอย่างภาษาเขียนจากนอกโลกด้วย

นานมาแล้ว ความลึกลับ ที่มาเยือนแบบไม่เป็นทางการของพวกมัน ทำเอาเหล่ามนุษย์ฉงน และอยากรู้อยากเห็น หน้าตา รูปร่าง ที่แท้จริง ซึ่งระหว่างช่วง 2 ปีมานี้ เริ่มมีสัญญาณให้เห็นว่า พวกมันกำลังบุกโลกเข้าแล้ว เพราะมีหลักฐานมากมายที่ระบุว่า พวกมัน มากับยานชนิดที่มีความเร็วแบบล่องหน

เมื่อเดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมการบิน ไซบีเรีย อ้างว่า เขาได้ยินเสียงของวัตถุลึกลับ ที่มีเสียงมนุษย์ต่างดาวเป็นเสียงผู้หญิง แต่สัญญาณดังกล่าวเป็นภาษาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ บนหน้าจอควบคุม เหนือพื้นที่ เมืองยาคุตสค์ ประเทศรัสเซีย ซึ่งวัตถุดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากถึง 6,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางวัตถุอื่นๆที่เห็นได้ว่ามีการเคลื่อนตัวช้ากว่ามาก

ที่ นครเยรูซาเล็ม มีผู้ที่สามารถบันทึกภาพวัตถุประหลาด เป็นแสงไฟคล้ายลูกบอล เหนือแท่นบูชาของศาสนสถานของชาวอิสราเอล มีการเคลื่อนไหวเหนืออากาศเป็นจังหวะ เหนือศาสนสถาน ก่อนที่มันจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่เมืองนอกเมืองนา ประเทศไทยก็มีการอ้างว่า พบเหล่าผู้มาเยือน ปรากฎให้เห็น อันที่จริงแล้วมันอาจไม่อยากปรากฎตัวให้เห็น แต่เผอิญมีผู้สามารถบันทึกภาพได้

พนักงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งได้ขึ้นไปชมธรรมชาติใกล้กับสถานปฏิบัติธรรมที่วัดถ้ำพระภูวัว อ.เซกา จ.หนองคาย บันทึกวิดีโอภาพความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในบริเวณนั้นเก็บไว้ให้เพื่อนๆชม แต่เมื่อนำคลิปกลับมาดูในจอขนาดใหญ่อีกครั้ง ก็พบมีวัตถุลึกลับบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นเครื่องบินรบหรือเฮลิคอปเตอร์ ก็ไม่น่าจะบินเร็วหรือเงียบได้ขนาดนั้น โดยได้ทดสอบด้วยการนำกล้องตัวเดียวกันไปถ่ายภาพเฮลิคอปเตอร์ ปรากฏว่าใบพัดที่หมุนเร็วก็ยังช้ากว่าวัตถุลึกลับที่ปรากฎในคลิป
เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง ในหมู่นักท่องอินเตอร์เน็ต และบรรดาเหล่าจับผิดทั้งหลาย บางคนเชื่อว่า วีดิโอที่บันทึกวัตถุลึกลับได้ เกิดจากการตัดต่อ สร้างขึ้นมา เพราะแน่นอนว่า ไม่มีใครการันตีได้ว่า ภาพเหล่านั้น เป็นภาพเหล่ามนุษย์ต่างดาวจริงๆ ไม่มีสิ่งยืนยันชัดเจน ฉะนั้นเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับเป็นวิจารณญาณของแต่ละคน

ล่าสุด มีการพบซากของมนุษย์ต่างดาว หรือเอเลี่ยน นอนตายในสภาพขาข้างขวาขาด ร่างกายผอมแห้ง มีรูโหว่ที่ปากและจมูกที่กองหิมะ แคว้นอีร์คุตสค์ ทางตอนใต้ของไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ซึ่งแท้จริงแล้ว มนุษย์ต่างดาวมีรูปร่างแบบนี้ จริงหรือ???

จะว่าไปแล้ว ความเชื่อในเรื่องของมนุษย์ต่างดาว มีมาตั้งแต่โบราณนานปี ตามปฏิทิน มีการทำนายไว้ว่า วันที่ 21 ธันวาคม ปี2012 (21/12/2012) ซึ่งเรียกว่า “วันสิ้นโลก” พวกมันจะออกมายึดครองโลก ทำเอานักล่าเอเลี่ยน หรือผู้ที่ตามหายูเอฟโอ(UFO) ที่เชื่อว่า พวกมนุษย์
ต่างดาว อาศัยอยู่บนภูเขาสูง4 พันฟุต เหนือหมู่บ้านบูการัช ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส บุกไปหมู่บ้านดังกล่าวเพื่อตามล่าหาตัวพวกมัน ก่อนที่จะถูกยึดครอง

จะเกิดอะไรขึ้น หาก มนุษย์ต่างดาว เข้าบุกยึดครองโลกเข้าแล้วจริงๆ???

เป็นที่น่าสนใจทีเดียวว่า พวกมันจะมาในรูปแบบไหน มาดี หรือมาร้าย แต่นายสตีเฟ่น ฮ๊อวค์กิ้งนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ก็ออกมาเตือนด้วยว่าเอเลี่ยน มันไม่ได้เป็นมิตรกับมวลมนุษย์อย่างที่ทุกคนเข้าใจ และโลกอาจต้องได้รับภัยพิบัติอย่างมหาศาล จึงเกิดเรื่องฮือฮาขึ้น เมื่อ นางมาซลัน โอ๊ตแมน วัย 49 ปี ชาวมาเลเซีย หัวหน้าสำนักงานยูเอ็นภารกิจด้านกิจการอวกาศ(Unoosa) ได้รับเลือกแต่งตั้งจากสหประชาชาติ ให้เป็นว่าที่ ทูตสันติภาพอวกาศ เพื่อทำการเจรจากับมนุษย์ต่างดาว

ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นเรื่องของความเชื่อที่ต้องใช้วิจารณญาณ สิ่งที่ทำได้ ณ ตอนนี้ของชาวโลก ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องตื่นกลัว หรือ อย่างไรกันดี เพราะการมาแบบหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ ของพวกมัน ต้องการอะไรกันแน่ แล้วหลักฐานที่มีการอ้างว่ามีการพบเห็น ก็ยังไม่มีหลักฐานใด ได้พิสูจน์ชัดเจนตัวเป็นๆ ของพวกมัน ฉะนั้น ยังคงเป็นปริศนาที่รอคำตอบ จากผู้มาเยือน แต่ผู้เขียนก็หวังว่า หากมันบุกมาเยือนเมืองไทย อย่างน้อยทูตสันติภาพอวกาศคงจะได้ปฏิบัติหน้าที่ ในการเจรจาเพื่อสันติภาพระหว่างมนุษย์กับ ..มนุษย์ต่างดาว ชนิดที่ตัวเป็นๆออกสื่อบ้างเสียที
Share:

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน


คําภีร์มหาศาสตราคม ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน ลุประมาณปีพุทธศักราช 167 เมื่อขุนแผนได้กุมารทองแล้ว เกิดความคิดตีดาบไว้ปราบศรัตรู จึงไปหาเหล็กสําหรับทํามีดตามที่ระบุไว้ ในคําภีร์มหาศาสตราคมมาจนครบถ้วนคือ เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ ยอดประสาททวารามาประสม เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร หอกสําฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก เหล็กปฏักสลักประตูตาปูเห็ด พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแท้ เอาเหล็กไหลเหล็กหล่อบ่อพระแสง เหล็กกําแพงนําพี้ทั้งเหล็กแร่ ทองคําสําฤทธิ์นากอะแจ เงินที่แท้ธาตุเหล็กทองแดงคงยังได้รวมด้วยเหล็กสารพัดบิ่น สารพัดหักอีก108ชนิดมาร่วมด้วย เมื่อได้เหล็กมาพร้อมแล้ว จึงตั้งมณฑลพิธีล้อมด้วยราชวัฏฉัตรธงทั้ง4มุม ตรงกลางตั้งพิธีดาดด้วยผ้าขาว ลงยันต์เพดานทั้งหน้าหลัง แล้วหาเครื่องกระยาสังเวย สําหรับบูชาเทพยดาอารักษ์และครูบาอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทอันประกอบด้วย มัจฉะมังษาหาร6ประการ พร้อมเครื่องกระยาบวช ขนมแห้ง ขนมหวานอีกผลไม้9 อย่าง เทียนเงินเทียนทองหนัก4บาท 1 คู่ เมื่อได้วันดีคือวันเสาร์ขึ้น 15 คํา จึงบูชาครูบาอาจารย์และเทพยดาฟ้าดิน จึงเริ่มพิธีตีดาบขึ้นทันที/ เอาสูบทั่งตั้งไว้ในพิธี เอาถ่านที่ต้องย่างวางในนั้น ช่างเหล็กมีฝีมือลือทั้งกรุง ผ้าขาวนุ่งผ้าขาวห่มดูคมสัน วงสายสิญจ์เศกลงเลขยันต์ คนสําคัญคอยดูซึ่งฤกษ์ดี ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์ พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์ ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง ยาวหนึ่งศอกกํามาหน้าลูกไก่ เผาชุบสามแดงแทงตะไบ บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับแล้วลงกั่นดาบข้างแบน ด้วยคาถาบารมีพระพุทธเจ้าคือ อายันตุโภนโต อิธะทานะ สีละเนกขัมมะ ปัญญา สะหะวิริยะขันติ สัจจาธิฎฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะโว คัณหะถะอาวุธานิ/ ลงกั่นดาบด้านสัน ด้วยพระคาถาหัวใจพระยาสมาสดังนี้ นานามุสะระ หะระ บัพพะตะคะรุ กะลิงคะระ สะระธนู คะทาสิโต มาระหัตถา มาระคะนาเอาทองแดงที่ใช้สําหรับห่อหุ้มกั่นดาบมาลงถมด้วยพระคาถา นวหรคุณ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ 108 ครั้ง แล้วลงถมด้วยพระคาถาต่างอีก พระคาถาพุทธนิมิตร์ ลงถม9ครั้ง พุทธัสสะ อิธิพุทธัสสะ พุทธะนิมิตตัง ปฏิมานะพุทโธ ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ เอคะตานัง กายะรูปะสูญยัง พุทธะนิมิตตัง อิทธิฤทธิ์พุทธะ นิมิตตังลงถมอีก9ครั้งด้วยคาถา อะสิสัตติ ธนูเจวะ สัพเพเตอาวุทธานิจะ ภัคคะภัคคา วิจุณณานิ โลมังมาเมนะผุสสันติ/ ตามด้วยคาถาพรหมสี่หน้าลงถมอีก9ครั้งว่า สหัสสะสีเส ปิเจโปโส สีเสสีเส สะตังมุกขา มุกเข มุกเข สะตังชิวหา ชีวะกัปโป มหิทธิโก นะสักโกติ จะวัณเณตุง/ ตามด้วยคาถาลงถมอีก9ครั้งบารมี30ทัศน์ ว่าอิติปารมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโมลงถมด้วยคาถามงกุฏพระพุทธเจ้า9ครั้งว่า อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิอิโสตังพุทธะปิติอิ/ และตามด้วยอรหันต์8ทิศ9ครั้งว่า อิระชาคะตะระสา ติหังจะโตโรถินัง ปิสัมระโลปุสัตพุท โสมาณะกะริถาโธ ภะสัมสัมวิสะเทภะ คะพุทปันทูทัมวะคะ วาโธโนอะมะมะวา อะวิสุนุสานุติ/ แล้วตามด้วย พุทธังกันตัง ธัมมังกันตัง สังฆังกันตัง พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ/9ครั้ง แล้วลงถมตามด้วยคาถา นะผุด ผัดผิด ปฏิเสวามิ 9 ครั้งแล้วจึงลงประทับด้วยคาถานี้อีกครั้งหนึ่งว่า สัตถาธะนุง อากัตถิตุง ทัตวา วิสัชเชตุง นาทาสิ ( บทนี้เมื่อลงให้ผ่อนลมหายใจออกลงจบเดียว ) กัณหะเนหะ หายใจเข้า พุทธังปัจจุขาด ธัมมังปัจจุขาด สังฆังปัจจุขาด ( หายใจเข้าออก สลับกันไปทีละบท ) สําหรับแผ่นทองแดงด้านหลังนั้นลงประทับด้วยพระคาถานี้ อะระหัง สุคะโต ภะคะวา ลงถม9ครั้ง แล้วตามด้วย นะโมพุทธายะ อิติปาระมิตาติงสา โนวะปะตานุภาเวนะ มาระเสนา อะติกกันตา มาระนิทรา ทัสสะปาระมิตา ทะมาระนิทรา ปาระชังฆานิทรา ทัสสะปาระมิตา โลหะกันตา นามะเตนะโม มาตาปิตุพุทธะคุณัง สัพพะสัตรูวิธังเสนตุ อะเสสะโต เอวังทัสสะวัณโณ ปฏิฐิตัง จักรวาฬะ สัพพะสัตตานุภาเวนะ มาราโมระอะติกกันตา ทัสสะพรหมมานุภาเวนะ สัพพะสัตรูวินาสสันติเมื่อลงทองแดงห่อกั่นดาบแล้ว จึงเอาเกษร108 และยามุกใหญ่มาบดให้ละเอียด เพื่อบรรจุในด้าม (ยามุกใหญ่คือยาสารพะดอย่าง ) หินซึ่งใช้บดยานั้นลงด้วยพระคาถา มหาโสฬสมงคล ลงถม9ครั้ง ตามด้วยคาถาหัวใจพระธรรมเจ็ดคําภีร์9ครั้ง คาถาพรหมสี่หน้า9ครั้ง คาถาพุทธนิมิต9ครั้ง คาถาพระเจ้า16พระองค์9ครั้ง คาถาอะระหันต์8ทิศ9ครั้ง คาถาบารมี30ทัศน์9ครั้ง คาถาหัวใจสนธิ งะญะนะมะ 9ครั้ง คาถาพระกรณีย์ จะภะกะสะ 9ครั้งขณะบดยาให้ภาวนาพระคาถานี้ งะญะนะมะ จะภะกะสะ อะระหังสุคะโตภะคะวา นะมะพะทะ อิกะวิติ อิสวาสุ นะโมพุทธายะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ปะติลิยะติ พุทธังสิทธิ ธัมมังสิทธิ สังฆังสิทธิ จนกว่าจะบดยาเสร็จด้ามมีดให้ใช้ไม้ ชัยพฤกษ์ แกะเป็นรูปท้าวเวสสุวรรณ เขียนคาถาเป็นตัวเลข ลงที่องค์ท่าน ลงเลข3ตรีนิสิงเหที่ปากท้าวเวสสุวรรณ ว่าด้วยสูตรคือ มะอะอุตรีนิสิงเห ลงเลข7ที่ตาทั้งสองของท่านว่าสูตรสะธะวิปิปะสะอุสัตตะนาเค ลงเลข5ที่อกของท่านว่า อาปามะจุปะปัญจะเพชรฉลูกัญเจวะ ลงเลข4ที่หัวไหล่ทั้งสองของท่านว่า นะมะพะทะจัตตุเทวา ลงเลข6 ที่ขาทั้งสองของท่านว่า อิสวาสุฉอวัชชะราชา ลงเลข5ที่ด้านหลังท่านว่า ทีมะสังอังขุปัญจะ อินทรานะเมวะจะ ลงเลข1 ที่ตาตุ่มทั้งสองข้างว่า มิเอกะยักขา ลงเลข9 ที่ศรีษะท่านว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะนวะเทวา ลงเลข5 ที่แขนซ้ายว่า สหะชะตะตรีปัญจะพรหมาสะหะบดี ลงเลข5 ที่แขนขวาว่า นะโมพุทธายะ ปัญจะพุทธานะมามิหัง ลงเลข2 ที่ศอกทั้งสองข้างว่า พุทโธทะเวราชา ลงเลข8 ที่สะโพกทั้งสองข้างว่า เสพุเสวะเสตะอะเส อัฏฐะอะระหันตาใช้พระคาถาท้าวเวสสุวรรณลงด้ามมีดให้ทั่วว่า เวสสุวรรโณมหาราชา สัพเพเทวาเสเจวะ อาฬะวะกาทะโย ปิจะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ เวสสุวรรโณมหาราชา จัตตุโลกะปาลายัสสะสิโน อิติภูตา มหาภูตา สัพเพยักขาปะลายันติ/ลงกระบองท้าวเวสสุวรรณด้วย นะโมพุทธายะ
สิทธิการิยะ ผู้ใดได้มีวาสนามีศาสตราวุธเล่มนี้แล้ว จะประเสริฐทุกประการ ปราบปรามศัตรูและภูติผีปิศาจได้ทุกชนิด แม้เข้าผจญสงครามก็ได้ชัยชนะต่อข้าศึก ใช้สะกดคนเป็นมหาจังงังอย่างแท้จริง ติดตัวไว้สารพัดคงกะพันชาตรีจากอาวุธทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นมีดมหาปราบ/ อนึ่งยาที่เหลือจากการบรรจุด้ามมีดนั้น เอามาผสมกับรักปั้นเป็นองค์พระภควัมบดี(พระปิดตา) ไว้ติดตัวเป็นมงคลอย่างประเสริฐ/ อนึ่งตํารามีดมหาศาสตราคมนี้เป็นของจริง ผู้ที่จะสร้างต้องเป็นสาธุชนคนดี จึงจะมีความเจริญ ถ้าเป็นมิจฉาชนคนชั่วแล้วก็ไม่จักเกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น โบราญจารย์ผู้เป็นเจ้าของตํารานี้ได้สาปแช่งไว้อย่างรุนแรงถ้าผู้มีมีดนี้ทําชั่ว/ ข้าพเจ้าขอลงไว้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลัง
Share:

ปรากฏการณ์หลังความตาย-ผีหรือวิญญาณ

ไม่มีชนชาติใดเผ่าไหน ที่ชนในชาติไม่เชื่อเรื่องผี เพราะจริงๆแล้วเป็นเรื่องที่คุ้นหู เป็นเรื่องธรรมดาประจำวันในที่หนึ่งที่ใด เสียด้วยซ้ำ แม้แต่ประเทศตะวันตกที่ก้าวหน้าที่สุด จากการสำรวจ ผู้ที่เคยประสบกับปรากฏการณ์ ลึกลับสามมิติ หรือการพบเห็นผี อย่างแท้จริงด้วยตนเอง ในสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ มีสถิติจำนวน ผู้ที่เชื่อเรื่องผี ทั้งที่ตัวเองไม่เคยเห็นเลยมากกว่าผู้ที่ไม่เชื่อ

เซอร์โอลิเวอร์ ลอดจ์ นักฟิสิกส์คนสำคัญชาวอังกฤษ ได้กล่าวไว้ว่า ผีอาจเป็นไปได้จริง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผี คงอธิบาย ได้ว่าเป็นภาพ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพลังงานทางจิตที่รุนแรง ของผู้ตายที่กระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และประทับเป็นร่องรอยเอาไว้ สามารถทำให้บางคนที่มีประสาทสัมผัสไว เป็นพิเศษ รับคลื่นพลังงาน ที่แปรเป็นสภาพของปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้นมาใหม่ได้

คำอธิบายของเซอร์โอลิเวอร์ อาจมีส่วนถูกอยู่บ้าง และดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของคนทั่วไป ที่เชื่อว่า คนเมื่อตายแล้ว จะต้องกลายเป็นผีจนกว่าจะได้ไปเกิดใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่ ส่วนปรากฏการณ์ ที่เรียกกันว่า ผีหลอก นั้น คนส่วนมากเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ผู้ที่ตายไปยังไม่ยอมจากโลก ไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นได้รับความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง เป็นต้นว่า ความเจ็บปวด ความคับแค้นใจ อิจฉาหรือห่วงใยอาวรณ์ ที่ท่วมล้นจิตใจก่อนที่ผู้ตายจะจากโลกไป เช่นเราเชื่อว่า คนที่ตายอย่างปวดร้าว กะทันหัน หรือคนที่มีห่วงมีใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม หรือ ผีที่เกิดจาก แรงอาฆาต ความแค้น ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ข้อสนับสนุนความเห็นดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่ สถานที่ที่พบเห็นปรากฏการณ์ลึกลับที่น่ากลัวนั้น มักจะเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือบริเวณที่มีการตายเกิดขึ้นอย่างทารุณ เช่น ฆาตกรรม อัตวิบาตกรรม หลุมศพโบราณ สนามรบ หรือ วินาศภัยที่มีคนตายมากมาย

ในบ้านเราเอง เรื่องของผีอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ล้วนคุ้นเคยได้ยินได้ฟังเป็นประจำ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญทางวัตถุ ยังเต็มไปด้วยป่าไม้ทุ่งนา ที่เป็นธรรมชาติเช่นนั้นมานานนับร้อยๆปี แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีหนังสือ และภาพยนต์เรื่องผี และเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติธรรมดาให้เห็นอยู่มากมาย

ปรากฏการณ์เบื้องหลังความตายที่อธิบายว่า เห็นภาพวิญญาณของผู้ตายยังเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะความเชื่อของคนทั่วไป ไม่ว่าจะถีอลัทธิศาสนาใดก็ตาม มักจะถือมนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณ และวิญญาณก็ไม่ใช่ผี รูปที่เป็นผีนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ ภาพร่างของมนุษย์ มีได้ทั้งผีในรูปของสัตว์และต้นไม้ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิต มีเรื่องเล่าไว้ในหนังสือรวบรวมเรื่องราวต่างๆของผีและเหตุการณ์ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผี มีทั้งสิ่งที่อยู่ในร่างคน สัตว์ สิ่งไม่มีชีวิต พันเอกแห่งกองทัพอังกฤษ และครอบครัวเพิ่งย้ายบ้านใหม่ เป็นบ้านโบราณและมีสนามหน้าบ้าน ที่กว้าง มีทางรถวิ่งโดยรอบ จากประตูใหญ่เข้ามา ตอนนั้นเป็นเวลาเริ่มจะโพล้เพล้

นายทหารดังกล่าวและภรรยาพร้อมบุตรอีกสองคน กำลังนั่งที่ระเบียงของคฤหาสน์ หลังใหญ่ พลันมีรถเทียมม้าใหม่เอี่ยม และมีสีสันแพรวพราววิ่งเข้ามาตามทางวิ่ง ทั้งๆ ที่ขณะนั้นประตูใหญ่ที่รั้วหน้าบ้าน ก็ยังปิดอยู่รถม้าได้วิ่งมาอย่างช้าๆ และทุกคนที่นั่งอยู่ ด้วยกันที่นั่นได้ยินเสียงของกีบม้า และเสียงล้อรถที่บดลงบนถนนอย่างชัดเจน สักครู่รถม้าคนนั้นก็วิ่งมาหยุดลงที่ขอบสนาม ห่างจากตัวคฤหาสน์ไปไม่ไกลนัก เนื่องจาก ช่วงนั้นเป็นเวลาเริ่มจะค่ำ แม้ว่าทุกคนจะยังคงมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครมองเห็นผู้ที่นั่งมากับรถม้านั้นได้ และแม้เวลาจะผ่านมาอีกชั่วครู่ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดลงจากรถม้า ในที่สุดบุตรชายคนหนึ่งของนายทหารก็เดินลงมาที่สนามไปยังรถม้าคันนั้น เขาเดินเข้าไปใกล้พอที่จะเห็นร่างของสตรี แต่งตัวอย่างสูงศักดิ์ผู้หนึ่งนั่งในรถม้า เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ทั้งรถและม้าเทียมก็พลันละลายหายไปในอวกาศ ไม่มีร่องรอยแต่อย่างใด เมื่อตรวจสอบแล้วปรากฏว่า บ้านหลังนั้นเคยเป็นบ้านของท่านลอร์ดและเลดี้ผู้สูงศักดิ์ ที่มีปัญหาเรื่องความรักสามเส้า ที่ทำให้ภรรยาท่านลอร์ดต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย ด้วยความชอกช้ำระกำใจ หลังจากนั่งรถม้ากลับมาบ้านแต่ผู้เดียวในเย็นวันหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น

นักจิตวิทยาสาขาเหนือธรรมชาติ โดยทั่วไป เขาเชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการตาย และการสนองรับ ด้วยประสาทสัมผัสของผู้มีชีวิตอยู่เป็นเรื่องทางจิตที่ผู้ประสบนั้นๆ รับได้จริงๆ โดย ไม่พยายามที่จะตอบคำถามว่าคนที่ตายไปแล้วกลายเป็นผี หรือผีเป็นเรื่องจริง เป็นสภาพหนึ่งหรือ มิติหนึ่ง โลกหนึ่งของคนตาย นักจิตวิทยาจะแบ่งแยกประเภทปรากฏการณ์ที่เกิดหลังตายของผู้ที่ กำลังจะตาย หรือตายไปแล้ว ที่มนุษย์ธรรมดา สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น ด้วยตา หู จมูก ไม่ว่าแยกกันหรือร่วมกัน ออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทลางสังหรณ์ กับ ประเภทผีหลอก ประเภทลางสังหรณ์ ประเภทนี้จะเกิดเพียงครั้งเดียวและจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ สนิทชิดเชื้อ หรือเพื่อนที่ผูกพันธ์กันเป็นพิเศษ เช่นแม่ฝันเห็นภาพของลูกที่มีเลือดท่วมตัวอยู่ ในสนามรบ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

มีรายงานเกี่ยวกับการได้ยินเสียงเรียกหรือ การได้กลิ่นศพ หรือกลิ่นธูป เมื่อประมาณ สิบกว่าปีมาแล้ว ขณะที่นายแพทย์ประสาน ต่างใจ ผู้เขียนหนังสือชีวิตหลังตาย อยู่ที่เมืองบราซอฟ ที่โรมาเนีย ที่เมืองนี้เป็นเมืองแปลก มีกลิ่นของน้ำมันคลุ้งไปทั้งเมือง ตลอดเวลา และเป็นกลิ่นที่เขาไม่คุ้นเคย มันเหมือนเป็นกลิ่นที่ได้จากการเผาน้ำมันเบนซิน ที่ผสมกับกำมะถันเยอะๆ ดังนั้นเขาจึงปิดหน้าต่างห้องพักที่โรงแรมจนหมด

ในวันหนึ่งหลังทานอาหารกลางวัน เขาก็กลับไปพักในห้อง ประมาณราวๆ บ่ายสอง หรือบ่ายสามโมง เขาได้กลิ่นธูปอย่างแรงอบอวลไปทั้งห้อง ทั้งๆ ที่หน้าต่างปิดทุกบาน ทีแรกเขาคิดว่า ชาวเอเชียที่มาพัก ในโรงแรมเดียวกันกำลังทำพิธีอะไรอยู่ ก็เลยเปิดหน้าต่าง ออกไปดู ก็ได้แต่กลิ่นน้ำมันเหียนๆ จึงปิด หน้าต่าง แล้วเปิดประตูออกไปเดินสำรวจทั้งชั้นนั้น ก็ไม่มีกลิ่นอะไร แต่พอกลับเข้าห้อง ก็ยังได้กลิ่นอยู่ เหมือนเดิม แถมยังมีกลิ่นธูปหอมด้วย มันอบอวลอยู่ชั่วครู่แล้วแล้วค่อยๆจางหายไป เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนกระทั่ง 4 วันต่อมา เขากลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วจึงได้ทราบว่าคุณยายที่แก่มากแล้ว และผูกพันต่อเขาค่อนข้างมาก ได้สิ้นชีวิตไปที่บ้าน เวลาที่คุณยายตาย ตรงกับวันนั้นพอดี และเวลาเมื่อเทียบกันแล้วก็เป็นเวลาเดียวกัน

อีกประเภทหนึ่งคือ ประเภทผีหลอก แท้ๆ ประเภทนี้เกิดจากการผูกพันกับ สถานที่ บ้าน ห้องนอน เตียงนอน หลุมฝังศพ ถนน หรือผูกพันกับสาเหตุ ที่ทำให้เกิดมีการตายนั้นๆ ประเภทนี้จะเกิดซ้ำกับใครก็ได้

สำหรับผู้ที่ศึกษาทางจิตศาสตร์ ศึกษาจิตที่เป็นวิญญาณ เช่น ผู้ทรงเจ้าเข้าเทพ ผู้นั่งทางในติดต่อกับวิญญาณ ผู้มีความสามารถพิเศษทางจิต ไม่ว่าโดยมีอยู่เองหรือฝึกฝน ขึ้นมาภายหลัง ได้กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อสังคมไม่น้อย เพราะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อใน เรื่องแบบนี้ เช่นหนังสือที่เขียนโดย เซอร์ โอลิเวอร์ ลอดจ์ ถึงการติดต่อระหว่างตัวเขาเองกับวิญญาณของบุตรชาย ที่ตายไปในสงครามที่ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นหนังสือที่ประชาชนให้ความสนใจ
หากมองในอีกแง่หนึ่ง ทั้งหมดเป็น เรื่องของจิต เป็นเรื่องของความคิดความเชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใด และไม่ว่าจะอยู่ดีมีจน ชาติตระกูลหรือการศึกษา ก็ล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ย่อมมีการทำงานของสมอง และความคิดในทำนองเดียวกันนี้ทั้งนั้น

ที่มา ชีวิตหลังตาย นายแพทย์ประสาน ต่างใจ
Share:

วิญญาณเฮี้ยน ผีเด็กแมนชั่น

เรื่องราวสยองขวัญเผชิญวิญญาณที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง ที่ดิฉันเจอ มันจะมาในลักษณะคล้ายกับโดนผีอำ แต่มัน น่ากลัวมาก ๆเหมือนจริง เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับดิฉันตอนเช่าแมนขั่นอยู่กับญาติ ๆ แมนชั่นแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 10 กว่า ปีแล้ว บรรยากาศภายใน เงียบ มากจนทำให้เข้ามาเดินแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ดิฉันนอนหลับกลางวันอยู่บนเตียงนอน ดิฉันก็เห็นเด็กสองคนอายุประมาณ 4 ขวบ วิ่งเล่นกันอย่าง สนุกสนาน เสียงดังมากจนดิฉันรู้สึกหนวกหูอย่างมากเลยลุกขึ้นมาต่อว่าให้เด็กสองคนนั้นเงียบ ๆ หน่อย เด็กสองคนนั้นพอได้ยินดิฉันว่า ก็หยุด และหันมามองดิฉัน เป็น ตาเดียวกัน ท่าทางของเด็กสองคนไม่ค่อยพอใจดิฉันนัก ตอนนั้นความรู้สึกของ ดิฉันมันคล้ายกับครึ่งหลับ ครึ่งตื่น ครึ่งจริงครึ่งไม่จริง จะลุกขึ้นก็ไม่มีแรง แล้วเด็กสองคนนั้นก็ฉุดรั้งแขนดิฉันให้ลุกออกมาจากเตียงนอนพร้อมกับพูดกับดิฉันว่า "เตียงของหนู ... เตียงของหนู" แต่ดิฉันก็ไม่สนใจที่จะทำตามที่เด็กสองคนนั้นพูด แล้วเสี้ยววินาทีดิฉันก็ต้องเบิกตาสว่างทันที เพราะเด็กสองคนนั้นส่งเสียงดุดิฉัน พร้อมกับทำท่าทางใบหน้าขึงขังน่ากลัว นัยน์ตาทั้งสองคู่ของเด็ก สองคนนั้น จาก ปกติก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนดวงไฟ แล้วก็แสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัว เสียงเล็ก ๆ ของเด็กก็ค่อย ๆ เปลี่ยนกลายเป็นเสียงทุ้มฟังแล้วขนลุกขนพอง แล้วก็พูดขึ้นว่า "ลุกไป ! ลุกไป !"

ตอนนั้นดิฉันกลัวมากแต่ไม่มีเรี่ยวแรงส่งเสียงเรียกใครเลย แต่ดิฉันก็ไม่ละความพยายามที่จะส่งเสียงตะโกนเรียกคนให้มาช่วย เด็ก สองคนนั้นก็แสดงท่าทางหลอกดิฉันอย่างน่ากลัวดิฉันพยายามทั้งดิ้นทั้งร้อง ให้คนช่วย จนในที่สุดเฮือกสุดท้ายดิฉันก็ ตื่น ลุกขึ้น มา นั่งจนได้ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้ว คิดว่าตัวเองคงจะโดนผีอำธรรมดา ต่อมาดิฉันก็มานอนที่เตียงนี้อีก แล้วก็เจอกับ เด็กสองคนท่าทางของเด็กน่ากลัวขึงขังตั้งแต่แรกเห็น ท่าทางไม่พอใจอย่างมากที่ดิฉันมานอนที่เตียงอีก เด็กสองคนเดินดิ่งเข้ามาหาดิฉันด้วยใบหน้าน่ากลัว ได้แต่แสยะยิ้ม ลูกนัยน์ตา เหลือกถลนจนปลิ้น ออกมานอกเบ้า เท่านั้นยังไม่พอเด็กทั้งสองยังช่วยกันกดทับที่ไหล่พร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกจนดิฉัน กลัว สุดขีด ส่งเสียงร้องให้คนช่วยจนเหนื่อย อ่อนไม่มีแรง แต่ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงดิฉันสักคนแต่ดิฉันก็ไม่ละ ความ พยายามที่จะหลุดพ้นจากมิติลี้ลับที่กำลังเผชิญกับผีเด็กทั้งสองให้ได้ ดิฉันเลยตั้งจิตภาวนา พุทโธ พุทโธ พร้อมกับออกแรงยันตัวเพื่อ ลุกขึ้นนั่งในที่สุดดิฉันก็หลุดออกมา จากอีก มิติหนึ่งจนได้ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ไม่กล้านอนที่เตียงนี้อีก เลย
Share:

โรงแรมอาถรรพ์

ผี คืออะไร สำหรับคำถามเช่นนี้ อาจมีคำตอบที่หลากหลายและในทัศนะ ของผู้เชี่ยวชาญด้าน จิตวิญญาณได้นิยาม ความหมายของผี ไว้อย่างน่าสนใจว่า ผีมิใช่สิ่งที่เราจะประสบพบได้เฉพาะ ในห้วงความคิดหรือเวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องนิยายที่ปั้นแต่งไว้หลอกหลอนโดยไม่มีเหตุผล แท้ที่จริงผีคือ การสำแดงร่างหรือส่งเสียงของผู้ที่ล่วงลับ ไปจากโลกมนุษย์ หากแต่ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ยังคงความรู้สึก และอาวรณ์ ผูกพันกับสภาพมนุษย์ที่ดิ้นรนอย่างรุนแรง จนไม่สามารถปรับตัวหรือรับรู้ความ เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการตายโดยกะทันหัน หรือการจบชีวิตด้วยความทุกข์ ทรมานแสนสาหัส และด้วย เหตุที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะอย่างฉับพลัน ทำให้เหล่าภูตผี ตกอยู่ในวัฏจักรแห่งความคิดที่ต้องย้ำทำ เหตุการณ์ ในช่วงวาระสุดท้าย วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะมีผู้มาช่วยเหลือให้หลุดพ้นและออกท่องต่อไป ตามครรลองที่ควร ซึ่งอาจเป็น นรก หรือสวรรค์ แล้วแต่กรรมที่ก่อมา

โปรเฟสเซอร์ฮันส์ โคลเซอร์ อดีตอาจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย นิวยอร์กได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่ทำการค้นคว้ามาแรมปี และบันทึก เป็นบทความถ่ายทอดให้ผู้ สนใจได้รับทราบ ข้อมูลท์ใช้ในการเขียน เรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นจริงและได้รับการบอกเล่าจากปากผู้ประสบเหตุการณ์ โดยตรง ซึ่งมีประจักษ์พยานที่สมเหตุสมผลมิใช่เป็นการกรุเรื่องแต่ประการใด สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับว่า ผีมีจริง ก็มักจะให้เหตุผลไปข้างๆ คูๆ ว่าเป็นเรื่อง ของภาพหลอน และหนำซ้ำยังอาจกล่าวหาหนักข้อไปถึงขั้นที่ว่า คนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ เรื่องผีๆ มักจะเป็นคนป่วย หรือไม่ อีกทีก็เข้าขั้นจิตวิปลาส แต่สำหรับโปรเฟสเซอร์โฮลเซอร์แล้วเขาปักใจเชื่อมั่นในความ เร้นลับของโลกแห่งวิญญาณ และจากการที่ ได้มีโอกาสพบปะททนากับผู้ที่เคยพบเห็น ผีมาแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้มีความแปลกประหลาด แต่เป็นบุคคลธรรมดา อย่างเราๆ ท่านๆ ที่มีจิดสำนึกและความรับผิดชอบเยี่ยงคนปกติทุก ประการ

เรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐอเมริการิกา ไปรเฟสเซอร์ โฮลเซอร์ได้บันทึกไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อเดินทางไปทำงานที่นิวยอร์กนั้น เธอมีอายุได้ 34 ปี และเพิ่งจะเคยไป เป็นครั้งแรก เธอตัดสินใจเลือก พักที่ โรงแรม วอชิงตัน ซึ่งเป็นโรงแรมสำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ เพียงทันที ที่ก้าวย่างเข้าสู่ห้องพัก บนชั้นที่ 12 นั้น ไอรีนได้กลิ่นโชยกึกออกมาจากห้องนั้นราวกับว่าไม่เคยมีใครใช้บริการ มาก่อนแต่ความที่เธอเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่กล้าพอ จะขอย้ายห้อง นึกในใจว่า จะทนอยู่ไปสัก 2-3 คืน แล้วจึงขอเปลี่ยนห้องใหม่ ซึ่งในตอนนั้นคงไม่มีใครว่าอะไร ไอรีนจึงเริ่มตรวจห้องอย่างละเอียด สัญชาติญาณลึกๆ บอกเธอได้ถึงความไม่ชอบ มาพากลเกี่ยวกับห้องนี้ เพียงแต่เธอยังมิอาจล่วงรู้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

คืนแรก ที่เธอเข้านอน นั้นเธอต้องสะดุ้ง ตื่นกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงคล้ายใครบางคน กำลังเปิด หนังสือพิมพ์อ่าน ดังกรอบแกรบ อยู่ใกล้เหลือเกิน เมื่อไอรีนเปิดไฟสว่างโพล่งขึ้น ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เธอจึงดับไฟ และ เอนกายลงบนเตียง อีกครั้งนึกค่อนตัวเอง อยู่ในใจ ว่าคงจะเหนี่อยจากการเดินทางทำให้ประสาทหลอน ได้ยินเสียงอะไร ไปต่างๆ นานา แต่ยังนึกได้ไม่ทันเท่าไร ก็ได้ยินเสียง กรอบแกรบ คล้ายหน้าหนังสือพิมพ์ถูกพลิก เปิดกลับไปกลับมา สลับด้วยเสียงเดินลากเท้า จากข้างเตียงไปยังประตูห้อง ทีนี้ไอรีนถึง กับสะดุ้งโหยงเปิดไฟจ้าทั่วทั้งห้อง เสียงก็เงียบหายไป และ ในเวลาไม่นานนักเธอก็ผลอยหลับไป ด้วยความเหนื่อยอ่อน รุ่งเช้า ไอรีนใช้เวลาตรวจห้องอีกครั้ง สงสัยว่าอาจจะมีหนูมาคุ้ยเขี่ยทำเสียงประหลาดให้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไร ให้ชวนสงสัยยกเว้นเพียงกลิ่นเหม็นอับที่ยังคงโชยอยู่อย่างไม่ขาดระยะ เธอจึงแจ้ง ให้ทางโรงแรมมาอบห้องทำความสะอาดแต่ก็ไม่มีใครมาจัดการให้ตามที่เธอต้องการ

ดังนั้นดลอดเวลา 3 อาทิตย์ ไอรีนจึงต้องนอนเปิดไฟสว่างทั้งคืนท่ามกลางเสียงประหลาดที่ยังคงรบกวนโสตประสาทของเธอ จนในที่สุด ไอรีน ไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไป เธอประกาศกร้าวกับตัวเองว่า จะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนั้น ให้รู้ดีกันไปข้างหนึ่ง ในคืนนั้น เธอพยายามข่มตามิให้หลับ หากแต่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงปิดไฟมืด รอคอยการมาปรากฎของเสียงประหลาดนั้น ทันใดนั้นเองเธอก็รูสึกเหมือนว่ามีมือใครบางคน พยายามจะใช้หมอนกดลงบนจมูก ของเธอไม่ให้หายใจ เธอดิ้นรนปัดป้องจนสุดฤทธิ์จนหมอนนั้นกระเด็นตกลง ไปที่พื้นห้อง แต่ไม่มีวันที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ


วันรุ่ง ขึ้นขณะที่เธอเดินเข้าไปในห้องอีกครั้งเธอรู้สึกเสียวแปลบ คล้ายถูกของมีคมแทงเข้าที่แเผ่นหลัง และในคืนนั้นเธอตื่นขึ้นมา ด้วยอาการตระหนกที่ร่างกายของเธอไม่สามารถ ขยับเขยื้อนได้ประหนึ่งถูกตรึงกับที่นอนเธอพยายามร้องตะโกนขอความชวยเหลือ แต่ก์ไม่เป็นผลยังดีที่โชคเข้าข้างเธอทำให้เธอ สามารถโทรไปแจ้ง เหตุการณ์กับเพื่อนชาย ซึ่งเมื่อเขามาถึงห้องพักของไอรีนนั้นก็พบว่าเธออยู่ในอาการช็อก สิ้นสติอยู่บนเตียงนั่นเอง ไอรีนตัดสินใจเดินทาง ไปพักผ่อน ที่ฟลอริด้า และหวนกลับมานิวยอร์คอีกครั้ง โดยเลือกพักที่ห้องอื่น ในโรงแรมเดิม และด้วยเหตุบังเอิญ เธอก็ได้พบกับเพื่อนบ้านรายหนึ่ง ซึ่งรู้ข่าวว่า ไอรีได้เคยพักอยู่ที่ห้อง บนชั้น12 และพบเหตุการณ์เลวร้าย เธอจึงสบโอกาสเล่าความเป็นมาของห้องนั้นให้ฟังว่า

เคยมีคนตายในห้องนั้น มาแล้วถึง 2 ศพ โดยรายแรกมีผู้พบ ว่าสิ้นใจอยู่บนเก้าอี้โยก ปลายเตียง และรายต่อมาก็สิ้นใจในอ่างอาบน้ำ พอฟังมาถึง ตรงนี้ ไอรีนก็รู้สึกสยองขึ้นมา เมื่อวาดภาพตัวเองหากในคืนนั้นเธอปัดหมอนที่ถูกกดโดยมือลึกลับ ออกจากใบหน้า ไม่สำเร็จ เธอคงจะกลายเป็นศพ รายทื่ 3 สำหรับห้องพักห้องนั้นเป็นแน่ !!!!!
Share:

ผีในหอพัก...

ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดินผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที

คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมากจนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมาเข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยังไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้

คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟแก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้นยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้

เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้นจาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคยอยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเองขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใครเขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา …
Share:

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สุดหลอน! คฤหาสน์หรูอังกฤษ มีผีร้ายหลอนเจ้าของต้องหนี


สุดหลอน!มหาเศรษฐีอาหรับซื้อคฤหาสน์หรูผู้ดี เจอผีหลอกต้องย้ายบ้านหนี!

ตะลึง! มหาเศรษฐีอาหรับเจอประสบการณ์หลอน ซื้อคฤหาสน์หรูของอังกฤษแต่เจอผีหลอก เผยหลอนหนักขนาดเจอคราบเลือดบนผ้าห่มลูก และเสียงกรีดร้องจากเฉลียงคฤหาสน์ ก่อนตัดสินใจพาครอบครัวเผ่นหนีบอกศาลาเลิก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ว่า เกิดเหตุนายอันวาร์ ราชิด มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอาหรับ วัย 32 ปี พร้อมครอบครัวต้องเจอต้องประสบการณ์สุดหลอน เจอผีในคฤหาสน์ใหญ่"คลิฟตัน ฮอลล์"ที่เข้าซื้อเป็นมูลค่า 3.6 ล้านปอนด์ ในเมืองน๊อตติ้งแฮมเชียร์ ของอังกฤษและต้องประสบเหตุเลวร้ายหลอกหลอน ในระยะเวลา 8 เดือนที่พักในสถานทีแห่งนี้ ทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจย้ายออก

รายงานระบุว่า นายราชิด ภรรยา และครอบครัว พร้อมลูก 3 คน อายุ 7 ปี 5 ปี 3 ปี ได้เข้าพักคฤหาสน์"คลิฟตัน ฮอลล์"เมื่อเดือนม.ค.ปี 2007 โดยนายราชิด กล่าวว่า ประสบการณ์แรกที่เขาและครอบครัวประสบเกิดขึ้นเพียงวันแรกทันที โดยเมื่อพวกเขานั่งพักผ่อนในคฤหาสน์ ก็ได้ยินเสียงประตูถูกเคาะ ก่อนตามด้วยเสียงคนพูดว่า"สวัสดี มีใครอยู่ไหม"ตอนแรกเขาทำเป็นไม่สนใจ แต่มันกลับเกิดขึ้นอีกเพียงอีก 2 นาทีต่อมา ทำให้เขาต้องลุกขึ้นไปดู แต่พบว่าไม่มีใคร โดยประตูถูกล็อคและหน้าต่างก็ปิดเรียบร้อย

ส่วนเหตุการณ์ที่สอง เกิดขึ้นกับภรรยาของเขา เมื่อเธอได้ลงมายังชั้นล่างเพื่อชงนมให้ลูกตอน 05.00 น.แต่กลับเห็นลูกสาวคนโตนั่งดูทีวี และเมื่อเธอเรียกชื่อลูก กลับไม่มีเสียงตอบ ทำให้เธอตัดสินใจขึ้นไปบนห้องนอนลูกคนนี้ และพบว่าเธอกำลังนอนหลับ แต่ยังพบคราบเลือดบนผ้าห่มของเธอด้วย

ด้านนายราชิดเปิดใจเผยว่า พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนครอบครัวในภาพยนตร์เรื่อง"The Others"ภาพยนตร์แนววิญญาณหลอนที่ดาราหญิง"นิโคล คิดแมน"เล่น โดยภาพใต้ความสวยงามของคฤหาสน์แห่งนี้ กลับมีสิ่งหลอกหลอนซ่อนอยู่ และพวกเขารู้สึกว่า พวกผีไม่ต้องการให้พวกเขาอยู่ทีนี่ และพวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับพวกมันได้ เพราะมองไม่เห็นตัว พร้อมทั้งกล่าวว่า เขาอยากจะเตือนเจ้าของคนใหม่ว่า มันเป็นเรื่องหลอนที่ต้องเจอประสบการณ์เช่นนี้ โดยเขาไม่อาจหลับลงเมื่อรู้ว่า เขาได้เก็บประสบการณ์เลวร้ายจากคฤหาสน์ดังกล่าวมาบ้าง
Share:

บ้านผีสิง

คำว่าบ้านผีสิงนั้น ผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินมาแล้ว
ซึ่งตามที่คนทั่วไปเข้าใจก็คือ เป็นบ้านร้างหลังเก่า ๆ
มีวิญญาณหรือภูตผีปิศาจสิงอยู่ในบ้าน
ใครไปอาศัยอยู่ก็มักจะถูกเล่นงานในลักษณะต่าง ๆ จนขวัญหนีดีฝ่อไปตาม ๆ กัน
จนกระทั่งต้องตระเวนหาหมอผีมาปราบหรือไล่ผีออกไปจากบ้านหลังนั้น
ในที่สุดลองฟังเรื่องบ้านผีสิงแห่งหนึ่งในอังกฤษ
จากปากคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ส่วนหนึ่งต่อไปนี้ดูซิครับ
ผู้เปิดเผยเรื่องนี้คือ แคธรีน เอ็ม. โกลด์นีย์, แฮร์รีย์ บุลลและหมอผีแฮร์รีย์
ไพรซ์บ้านผีสิงหลังนี้ผู้คนทั่วไปเรียกซื่อว่าบ้านผีสิงบอร์ลีย์ผู้ที่เคยนำครอบครัวเข้าไปอาศัยหลายราย
รวมทั้งครอบครัวของแฮร์รีย์ บุลล์


ต่างรู้สึกขวัญผวาและเป็นทุกข์ร้อนกับการรังควานของผีที่สิงอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นอย่างยิ่งหมอผีแฮร์รีย์
ไพรซ์ได้รับการขอร้องให้เข้าไปปราบผีที่บ้านหลังนี้ ครั้นเขาเดินทางไปถึง
เขาสังเกตได้ว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าครำครึ ซึ่งทราบว่าเมื่อ
ครั้งสมิธและครอบครัวเคยมาอาศยในเดือนกันยายน ปี 1928
พบว่ามีหลายแห่งที่ผุพังต้องซ่อมแซมหลายจุด มีหนู คางคก แมงมุม
อาศัยอยู่ภายในห้องบนเพดาน
และใต้ถุนบ้านเต็มไปหมดในตอนแรกไม่มีใครเชื่อว่าน่าจะมีผีตามที่ชาวบ้านแถบนั้นร่ำลือแต่อย่างใดแต่ต่อมาสมิธ
ได้เดินสำรวจห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน
เพียงไม่กี่นาทีเขาก็เริ่มรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งประหลาดเสียงระฆังดังกังวานโดยไม่มีใครตี
ลูกกุญแจเก่า ๆ กระเด็นออกจากล็อกประตู บางครั้งก็มีเสียงกรีดร้องแผ่ว ๆ
แจกันเก่า ๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตกลงมาบนพื้นและที่ประหลาดก็คือ
มีรอยเท้าคนเดินไปมาตามทางที่ผ่านประตูและห้องโถงหลังจาก นั้นมา สมิธและภรรยา
รวมทั้งลูกชายของเขามักจะประสบกับเหตุการณ์แปลก ๆ จนแทบจะกลายเป็นโรคประสาท

…..ครั้นถึงฤดูร้อน ปี 1930 บาทหลวงไลโอเนล อัลเยอร์นอล ฟอสเตอร์ และภรรยา
รวมทั้งบุตรสาวได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในบ้านผีสิงบอร์ลีย์ ก็ประสบกับเหตุการณ์
ประหลาดเช่นเดียวกัน มาเรียน ภรรยาของไลโอเนลได้เล่าว่า
เธอรู้สึกตกใจกลัวแทบเป็นบ้า เมื่อไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า
เหตุการณ์ประหลาดต่าง ๆ นั้นเกิดขึ้น
ได้อย่างไร เช่น บางครั้งมีไฟลุกพรึบตรงฝาห้อง เฟอร์นิ
เจอร์ตกลงมาแตกหักโดยไม่มีพายุ ไม่มีคนผลัก สิ่งของลอยขึ้นไปชนเพดานห้อง
บางครั้งเธอรู้สึกว่ามีใคร
บางคนมายื้อยุดฉุดดึงเสื้อผ้าของเธอหมอผีแฮร์รีย์
ไพรซ์ได้กล่าวถึงบ้านหลังนี้ว่า มีวิญญาณสิงอยู่แน่นอน
แต่มีผู้คัดค้านว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านลึกลับ อาจมีพวกมิจฉาชีพแอบอาศัยอยู่
เสียงประหลาดที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากพวกนั้นซ่อนเทปไว้ ที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้
นอกจากนี้อาจมีประตูกลเข้าไปภายในบ้านหลังนี้ได้สองทาง
ทางหนึ่งอาจตัดตรงไปยังห้อง
เพดานด้านบน
จุดประสงค์ของพวกมิจฉาชีพคงใช้เป็นที่หลบซ่อนตำรวจก็เป็นได้และก็มีผู้คัดค้านบางรายถึงกับกล่าวว่า
ครอบครัวที่มาอาศัยบ้านหลังนี้ อาจสร้าง
สถานการณ์ขึ้นเพื่อต้องการมีชื่อเสียงโด่งดังให้คนทั่วไปรู้จักหมอผีแฮร์รีย์ได้เข้าไปสำรวจ
อีกหลายครั้ง พบหลักฐานประหลาดมากมายเช่น
พบอิฐลักษณะคล้ายอิฐที่นำมาจากสุสานต่าง ๆ ใบไม้ ขน สัตว์
เขาได้อ้างว่าพลังจิตของเขาได้สัมผัสกับวิญญาณต่าง ๆในบ้านนั้น
ขณะเดินสำรวจตามห้องต่าง ๆหลังจากนั้นเขาก็ได้ทำพิธีขับไล่วิญญาณดังกล่าว
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทราบผลพิสูจน์การขับไล่ผี
ปรากฏว่าบ้านหลังดังกล่าวนี้ก็ถูกรื้อถอนไปเสียก่อน

…..เรื่องดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ส่วนสมาชิกสมาคมค้นคว้าเรื่องจิตและวิญญาณของอังกฤษ ต่าง
ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า
น่าจะเป็นเรื่องจริงที่ควรแก่การค้นคว้าและพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์ต่อไปส่วนผู้คัดค้านบางคนก็กล่าวว่า
แม้ว่าผลการพิสูจน์บ้านผีสิงบอร์ลีย์จะไม่
เด่นชัด แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งดีอีกประการหนึ่ง
คือยิ่งมีผู้พบบ้านผีสิงมากเท่าใด ก็จะถูกรื้อถอนทำลายมากขึ้น
และก็จะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามขึ้นมาทดแทนเสมอ
Share:

มารี อองตัวเนต Marie-Antoinette


มารี-อองตัวเน็ต โฌเซฟ ฌานน์ เดอ ฮับสบูร์ก-ลอแรนน์ (ประสูติ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2298 ณ กรุงเวียนนา สิ้นพระชนม์ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2336 กรุงปารีส) เจ้าหญิงแห่งฮังการี และแคว้นโบฮีเมีย อาร์คดัชเชสแห่งออสเตรีย ราชินีฝรั่งเศส และนาแวร์ (แคว้นบาสก์ในปัจจุบัน) (พ.ศ. 2317 – พ.ศ. 2336) รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า มารี-อองตัวเนตแห่งออสเตรีย พระนางถูกประหารด้วยกิโยตินระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส



เมื่อทรงพระเยาว์

ที่กรุงเวียนนา
ธิดาของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ดยุคใหญ่แห่งแคว้นทัสคานี (แห่งราชสำนักลอเรนน์) กับสมเด็จพระจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทรีซาแห่งออสเตรีย มารี อองตัวเนตดำรงพระยศเป็น กษัตริย์ แห่งฮังการี และราชินีแห่งแคว้นโบฮีเมีย อาร์คดัชเชสแห่งออสเตรีย (แห่งราชสำนักฮับสบูร์ก) พระนางประสูติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2298 (ค.ศ. 1755) เป็นธิดาองค์ที่ 15 และก่อนองค์สุดท้ายของพระบิดาและพระมารดา พระนางถูกเลี้ยงดูโดยอายาส เหล่าข้าราชบริพารของราชสำนัก (มาดาม เดอ บร็องเดส และต่อมาโดยมาดาม เดอ เลอเชนเฟลด์ ผู้เข้มงวด) ภายใต้การสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวดของจักรพรรดินี ผู้มีแนวความคิดล้าหลังเกี่ยวกับการเลี้ยงดูโอรสและธิดา ด้วยการควบคุมสุขอนามัย และกระยาหารอย่างเข้มงวด และการทรมานร่างกายด้วยกิจกรรมหนักหน่วง มารี อองตัวเนตเติบโตขึ้นที่พระราชวังฮอฟบูร์กในกรุงเวียนนา และ ปราสาทชอนบรุนน์ การศึกษาของพระนางค่อนข้างถูกปล่อยประละเลย (หรือในอีกแง่หนึ่ง คือถูกเลี้ยงมาแบบง่ายๆกว่าการเลี้ยงดูราชนิกูลในราชสำนักฝรั่งเศส ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ห่างไกลจากกฎเกณฑ์ทั้งปวงของราชสำนัก เกือบจะแบบชาวบ้านธรรมดา) สามารถอ่านออกเขียนได้เมื่ออายุเกือบสิบชันษา เขียนภาษาเยอรมันได้ไม่ดีนัก พูดภาษาฝรั่งเศสได้น้อยนิด และยิ่งถ้าเป็นภาษาอิตาเลียนแล้วพระนางพูดได้น้อยมาก แม้ว่าทั้งสามภาษานั้นจะเป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในบรรดาราชนิกูลของออสเตรียก็ตาม จักรพรรดินีได้บังคับให้พระนางอภิเษกสมรสกับหลานชายคนโตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ผู้มีชันษาใกล้เคียงกัน และในขณะเดียวกัน จักรพรรดินียังใฝ่ฝันจะจัดการอภิเษกอิซาเบล ธิดาอีกองค์ กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ผู้ทรงชราภาพ

เมื่อมารี อองตัวเนตทรงเจริญพระชนมายุได้ 13 ชันษา จักรพรรดินีที่ขณะนั้นทรงเป็นหม้าย ได้ทรงสนพระทัยเพิ่มขึ้นในด้านการศึกษาของโอรสธิดา เพื่อจะได้สามารถจัดการอภิเษกสมรสได้ อาร์คดัชเชสมารี อองตัวเนต ได้หัดเล่นฮาร์ปซิคอร์ด กับ คริสตอฟ วิลบัลด์ กลุค (คีตกวีชื่อดัง) และเรียนนาฏศิลป์ฝรั่งเศสกับโนแวร์ เมื่อพระมารดาต้องเลือกระหว่างนักแสดงสองคนเพื่อให้มารี อองตัวเนตหัดการอ่านออกเสียง และร้องเพลง เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสได้ทัดทานอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเห็นว่านักแสดงไม่มีคุณสมบัติพอ มารี-เทเรซา แห่งออสเตรีย จึงได้ขอให้เขาจัดหาครูที่ราชสำนักฝรั่งเศสรับรองมาให้ ผู้ที่ถูกส่งมาคือ บาทหลวงแห่งแวร์มงด์ ผู้นิยมในยุคแสงสว่าง และผู้นิยมศาสตร์แห่งการคัดตัวหนังสือ เขาจะเป็นผู้ที่แก้ไขข้อบกพร่องทางการศึกษาของมารี อองตัวเนต

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2312 (ค.ศ. 1769) มาร์กีแห่งดูร์ฟอร์ต ได้มาสู่ขอมารี อองตัวเนตเพื่ออภิเษกกับมกุฎราชกุมารแห่งฝรั่งเศส จักรพรรดินีมารี-เทเรส แห่งออสเตรียรีบตกปากรับคำ ส่วนฝ่ายฝรั่งเศสที่เคร่งศาสนาได้คัดค้านการหมั้นหมายดังกล่าวที่ดำเนินการโดยดยุคแห่งชัวเซิล เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เนื่องจากจะเป็นการเ้อื้อประโยชน์กับออสเตรีย ศัตรูตลอดกาล พวกเขาได้เรียกพระชายาของมกุฎราชกุมารแล้วว่า ผู้หญิงออสเตรีย


มกุฎราชกุมารี

เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) มารี อองตัวเนต ได้ประกาศสละสิทธิ์ในการเป็นอาร์คดัชเชสของราชสำนักออสเตรียอย่างเป็นทางการ และเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พระนางได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับมกุฎราชกุมารฝรั่งเศส ที่พระราชวังแวร์ซาย ในวันเดียวกันนี้เอง ได้มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น เมื่อบรรดาเจ้าหญิงแห่งแคว้นลอเรนน์ของฝรั่งเศส ได้อ้างสิทธิ์ในการเป็นพระญาติกับองค์มกุฎราชกุมาร เพื่อให้ได้เต้นรำกับพระองค์ก่อนบรรดาอาร์คดัชเชสจากออสเตรียที่มาร่วมงาน ท่ามกลางความกังวลของเหล่าผู้ดีทั้งหลาย ที่ได้มีการซุบซิบนินทาต่อต้าน "ผู้หญิงออสเตรีย" กันแล้ว และในเย็นวันนั้นเอง มีประชาชน 132 คนขาดใจตายกลางท้องถนน ในระหว่างพิธีเฉลิมฉลองงานมงคลอภิเษกสมรส

มกุฎราชกุมารีผู้เยาว์ชันษาทรงมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ในรั้วในวังของฝรั่งเศส พระสวามีของพระนางตีตนออกห่าง โดยการหนีไปออกป่าล่าสัตว์แต่เช้าตรู่ (ทั้งคู่เริ่มมีสัมพันธ์็ฉันสามีภรรยาอย่างแท้จริง ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2316) พระนางต้องทนทุกข์กับการปรับตัวเข้ากับพระราชพิธี และขนบประเพณีแบบฝรั่งเศส และทรงเกลียดการใช้ชีวิตกับผู้คนรอบข้าง นอกจากนั้นแล้ว พระนางยังได้รับคำปรึกษาทางไกลจากกรุงเวียนนา โดยการเขียนจดหมายโต้ตอบมากมายหลายฉบับกับพระมารดา และกับท่านเค้าท์แห่ง แมร์ซี-อาร์จองโต ผู้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตออสเตรียประจำกรุงปารีส ที่ประเทศฝรั่งเศส ท่านเค้าท์แห่ง แมร์ซี-อาร์จองโตเป็นผู้เดียวที่พระนางสามารถวางพระทัยได้ เนื่องจากดยุคแห่งชัวเซิลได้ถูกปลดจากตำแหน่งภายในเวลาไม่ถึงปีหลังการอภิเษกสมรส จากแผนการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนของมาดาม ดู บาร์รี พระสนมผู้ทรงอิทธิพลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จดหมายโต้ตอบกับท่านเค้าท์แห่ง แมร์ซี-อาร์จองโต ได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลชิ้นเยี่ยม ที่จะอธิบายชีวิตโดยละเอียดของมารี อองตัวเนตภายหลังการอภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2313 (ค.ศ. 1770) จนกระทั่งถึงการสิ้นพระชนม์ของพระนางมารี-เทเรสที่หนึ่ง พระมารดาในปี พ.ศ. 2323 (ค.ศ. 1780)
ขึ้นครองราชย์

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2317 (ค.ศ. 1774) พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสเสด็จสวรรคต และพระนางมารี อองตัวเนต ได้ทรงขึ้นเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศส และแห่งนาแวร์ แต่พฤติกรรมของพระนางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2320 (ค.ศ. 1777) เป็นต้นมา กระแสต่อต้านพระนางเริ่มแพร่สะพัด พระนางถูกรายล้อมด้วยพระสหายสนิทจำนวนหนึ่ง (เจ้าหญิงแห่งลอมบาลล์ บารอนแห่งเบอซองวาล ดยุคแห่งควงยี รวมถึงโยลองด์ เดอ โปลาสตรง กับเคานท์เตสแห่งโปลินยัก) ซึ่งสร้างความอิจฉาริษยาให้แก่นางสนมคนอื่นๆ ด้วยการจัดหาเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับจำนวนมาก จัดงานเลี้ยงหรูหราฟุ่มเฟือย และจัดเกมการละเล่นที่มีเงินเดิมพันจำนวนมหาศาล


ชีวิตในราชสำนัก

มารี อองตัวเนต พยายามมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือพระมหากษัตริย์ ด้วยการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีเป็นว่าเล่นตามพระทัย หรือไม่ก็ด้วยคำแนะนำของพระสหายผู้จะได้รับประโยชน์ พระนางต้องเดือดร้อนจากการเข้าไปพัวพันกับคดีกีเนส (เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงลอนดอน ผู้ถูกกล่าวหาว่าวางแผนผลักดันฝรั่งเศสเข้าร่วมสงคราม)เนื่องด้วยขาดความยั้งคิด ส่งผลให้พระนางสั่งปลดตูร์โกต์ในกาลต่อมา บารอนพิชเลอร์ ราชเลขาของพระนางมารี-เทเรสที่หนึ่ง ได้ให้ความเห็นโดยรวมอย่างสุภาพด้วยการบันทึกไว้ว่า :

"พระนางไม่ต้องการจะปกครอง หรืออำนวยการ หรือแม้แต่ชี้นำเรื่องใดๆก็ตาม สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่พระนางคิดคำนึงมาตลอดเวลาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้แล้ว พระนางไม่ค่อยคิดเรื่องอื่นเท่าไรนัก และอุปนิสัยรักอิสระของพระนางเป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอแล้ว เนื่องจากพระนางจะสนพระทัยเฉพาะสิ่งบันเทิงเริงรมย์ หรือไม่ก็เรื่องไร้สาระ"

กลุ่มคนที่ต่อต้านพระนางได้รวมตัวกันตั้งแต่เมื่อพระนางขึ้นสู่ราชบัลลังก์ มีการแจกใบปลิวกล่าวหาว่าพระนางมีชายชู้ (ท่านเค้าท์แห่งอาร์ตัว พระเชษฐาเขย และท่านเค้าท์ฮาน แอกเซล เดอ เฟอเสน หรือแม้กระทั่งว่าพระนางมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสตรี (โยลองด์ เดอ โปลาสตรง และเค้าท์เตส เดอ โปลินยัก) มีการใช้จ่ายเงินสาธารณะอย่างสุรุ่ยสุร่ายเพื่อการบันเทิงเริงรมย์ และเป็นฝ่ายหนุนหลังออสเตรียที่ตอนนั้นถูกปกครองโดยพระเจ้าโจเซฟที่สอง แห่งออสเตรีย พระเชษฐาของพระนาง แต่ก็ต้องกล่าวว่า พระนางได้ทำทุกวิถีทางที่จะต่อสู้กับพวกต่อต้านออสเตรีย ด้วยการปลดดยุคแห่งเอกุยยง และแต่งตั้งดยุคแห่งชัวเซิลขึ้นแทน แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ พระราชวังแวร์ซายร้างจากผู้คน พวกนางสนมที่ราชินีหวาดระแวงได้หนีหน้าหายไปเนื่องด้วยไม่สามารถสนับสนุนรายจ่ายที่เกิดจากชีวิตอันหรูหราในราชสำนักได้

ในที่สุด เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778) มารี อองตัวเนตได้มีประสูติกาลพระธิดาองค์แรก ที่มีพระนามว่า มารี-เทเรสแห่งฝรั่งเศส (ชาตะ พ.ศ. 2321 - มรณะ พ.ศ. 2394) หรือมีชื่อเล่นว่า "มาดามรัวยาล" และเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2324 (ค.ศ. 1781) ก็ถึงคราวให้กำเนิดเจ้าชายหลุยส์-โจเซฟ มกุฎราชกุมาร แต่ประสูติกาลเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลดีแก่พระนางมารี อองตัวเนต เนื่องจากมีผู้กล่าวหาว่าโอรสธิดานั้นไม่ได้มีเ้ชื้อสายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระนางได้หันกลับมาใช้ชีวิตที่สนุกสนานเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว และได้เฝ้าดูการก่อสร้างหมู่บ้านชนบทที่พระราชวังแวร์ซาย ให้เป็นฟาร์มขนาดเล็กที่พระนางเชื่อว่าทำให้ได้ค้นพบชีวิตชาวนาอันผาสุก ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2328 (ค.ศ. 1785) พระนางได้ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สอง มีพระนามว่าเจ้าชายหลุยส์-ชาร์ล ดำรงตำแหน่งดยุคแห่งนอร์มงดี
คดีสร้อยพระศอ

มารี อองตัวเนตในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2328 (ค.ศ. 1785) ได้เกิดเรื่องอื้อฉาวในคดีสร้อยพระศอของพระนางมารี อองตัวเนต เมื่อนายโบห์แมร์เรียกร้องเงินจำนวน หนึ่งล้านห้าแสนปอนด์จากองค์ราชินี เป็นค่าสร้อยคอเพชรที่พระคาร์ดินัล เดอ โรออง เป็นผู้ว่าจ้างให้ทำขึ้นในนามของราชินี มารี อองตัวเนตยืนยันที่จะให้จับกุมพระคาร์ดินัล แล้วเรื่องก็แดงขึ้นมา องค์กษัตริย์ได้มอบหมายให้รัฐสภาจัดการเรื่องนี้ ที่ในที่สุดก็ทราบตัวการ คือคู่รักที่อ้างว่าเป็นเค้าท์และเค้าท์เตสมอธ ที่ไปหลอกลวงพระคาร์ดินัลโรอองผู้บริสุทธิ์อีกต่อหนึ่ง แม้ว่าสมเด็จพระราชินีจะไม่มีความผิดเช่นกัน แต่ก็เสียพระเกียรติเป็นอันมาก เมื่อพระนางขอให้พระมหากษัตริย์เบิกตัวพระคาร์ดินัลเดอ โนไอญ์ และให้ส่งตัวพระนางไปลี้ภัยในที่สังฆมณฑลแห่งหนึ่งของพระคาร์ดินัลนี้

มารี อองตัวเนตได้ทราบถึงชื่อเสียงที่เสื่อมเสียของพระนางในที่สุด และได้พยายามตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าปรับปรุงพระตำหนักของพระนาง ซึ่งก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวระลอกใหม่ขึ้นในพระราชวัง เมื่อพระสหายโปรดเห็นว่าพวกเขาไม่มีภาระหน้าที่อีกต่อไป พระนางทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ พระนางยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป และได้รับการขนานพระนามว่า "มาดามหนี้ท่วมหัว" และมีคนกล่าวหาพระนางว่าเป็นต้นเหตุของการต่อต้านรัฐสภาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 รวมทั้งการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีหลายคนโดยไม่มีเหตุผลสมควร อันที่จริงแล้ว ในปี พ.ศ. 2331 (ค.ศ. 1788) พระนางเป็นผู้เรียกร้องให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปลดนายโลเมนี เดอ เบรียนน์ผู้เสื่อมความนิยม และแต่งตั้งนายชัค เนคแกร์ขึ้นแทน แต่การกระทำดังกล่าวก็สายไปที่จะกอบกู้ชื่อเสียงคืนมา



การปฏิวัติฝรั่งเศส

พ.ศ. 2332

ในปี พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) สถานการณ์ขององค์ราชินีเลวร้ายลงมาก มีเสียงเล่าลือว่าคุณผู้ชาย (พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศส ในอนาคต) จะยื่นเรื่องต่อสภาบุคคลชั้นสูงในปี พ.ศ. 2330 (ค.ศ. 1787) เพื่อขอพิสูจน์สายเลือดของโอรสธิดาของกษัตริย์ ข่าวลือยังอ้างด้วยว่าองค์ราชินีได้ลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองวัล-เดอ-กราซ ชานกรุงปารีส บาทหลวงซูลาวี ได้เล่าไว้ใน บันทึกประวัติศาสตร์และการเมืองในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ว่า "พระนางได้นำเอาความโชคร้ายของสาธารณะชนไปกับพระนางด้วย และทางราชสำนักก็มีชีวิตชีวาขึ้น และได้รับการฟื้นฟูขึ้นโดยทันทีทันใด จากการที่พระนางเสด็จแปรพระราชฐานเพียงอย่างเดียว"

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) ได้มีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาของกษัตริย์ขึ้น ระหว่างพิธีมิสซาเพื่อการเปิดสภาอย่างเป็นทางการ สาธุคุณเดอ ลา ฟาร์ ผู้อยู่บนบัลลังก์สงฆ์ ได้กล่าวประนามมารี อองตัวเนตอย่างเปิดเผย ด้วยการตีแผ่การใช้ชีวิตในราชสำนักอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และยังกล่าวว่าผู้ที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตหรูหราดังกล่าวได้หลบไปหาความสำราญด้วยการ ใช้ชีวิตเลียนแบบธรรมชาติอย่างไร้เดียงสา อันเป็นคำประชดประชันแดกดันด้วยการเปรียบเปรยถึงชีวิตในพระตำหนักเปอติ ทรีอานง บ้านไร่ในพระราชวังแวร์ซายที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 สร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับพระนางมารี อองตัวเนต (ตามที่เขียนไว้ใน บันทึกเกี่ยวกับคณะสมาชิกสภา ของ อาเดรียง ดูเกสนัว)

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน มกุฏราชกุมารพระองค์น้อยได้สิ้นพระชนม์ลง ได้มีการจัดพิธีพระศพขึ้นที่วิหารน้อยซังต์-เดอนีส์เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย กิจกรรมทางการเมืองไม่อนุญาตให้เชื้อพระวงศ์ไว้ทุกข์ได้อย่างสะดวกนัก มารี อองตัวเนต ผู้ซึ่งปั่นป่วนพระทัยจากเหตุการณ์นี้ และเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ในที่ประชุมสภาที่ปรึกษากษัตริย์ จึงปักใจเชื่อในแนวคิดต่อต้านการปฏิวัติ ในเดือนกรกฎาคม พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้สั่งปลดนายชาก เนกแกร์ องค์ราชินีได้เผาเอกสารต่างๆ และรวบรวมเพชรนิลจินดาของพระนาง และกราบทูลโน้มน้าวให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เสด็จออกจากพระราชวังแวร์ซายไปหลบในปราสาทที่เป็นป้อมปราการแข็งแกร่งกว่านี้ ห่างไกลจากกรุงปารีส หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) หน้งสือต่อต่านระบอบกษัตริย์ถูกแจกจ่ายไปทั่วกรุงปารีส ผู้ใกล้ชิดพระนางถูกหมายหัว และพระเศียรของมารี อองตัวเนตถูกตั้งราคาไว้ มีคนกล่าวหาพระนางว่าต้องการลอบวางระเบิดรัฐสภาและต้องการส่งทหารเข้ามาในกรุงปารีส

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ได้เกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งใหม่ขึ้น ขณะที่มีงานเลี้ยงพระกระยาหารโต๊ะยาวโดยเหล่าราชองครักษ์จากพระตำหนักทหารขององค์กษัตริย์ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่กองทหารเรือจากฟลองเดรอที่เพิ่งกลับมาถึงกรุงปารีส ได้มีการโห่ร้องถวายพระพรแก่องค์ราชินี อีกทั้งประดับประดาสถานที่ด้วยธงชัยสีขาว และธงไตรรงค์ิ ประชาชนในกรุงปารีสได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับงานพระราชพิธีนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการถวายช่อดอกไม้ ในขณะที่ประชาชนขาดแคลนขนมปัง เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ขบวนประท้วงของเหล่าสตรีได้เดินทางมาถึงพระราชวังแวร์ซาย เ่พื่อเรียกร้องขอขนมปัง โดยกล่าวว่าพวกเขากำลังเดินทางไปหา คนทำขนมปังชาย (พระมหากษัตริย์) และคนทำขนมปังหญิง (องค์ราชินี) รวมทั้ง บุตรชายของคนทำขนมปัง (มกุฎราชกุมาร) ในเช้าวันรุ่งขึ้น ประชาชนผู้ลุกฮือติดอาวุธด้วยหอกและมีด ได้บุกเข้าไปในพระราชวัง สังหารองครักษ์เพื่อเป็นการข่มขวัญเชื้อพระวงศ์ ทำให้บรรดาเชื้อพระวงศ์จำต้องเดินทางกลับกรุงปารีสโดยมีกองทหารของมาร์กี เดอ ลา ฟาแยต และเหล่าผู้ลุกฮือตามประกบ ระหว่างทาง ได้มีผู้ข่มขู่องค์ราชินีโดยการให้ทอดพระเนตรเชือกเส้นหนึ่ง พร้อมกับกราบทูลว่าจะใช้เสาโคมในกรุงปารีสแขวนคอพระนางด้วยเชือกเส้นนี้
Share:

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กำเนิดแห่งเซน

ปฐมหลักจากพุทธศาสนาได้แยกออกเป็น ๒ นิกายหลัก ๆ คือ นิกายหินยาน และ นิกายมหายาน แล้วก็ยังแบ่งรายละเอียดปลีกย่อยไปอีกฝ่ายหนึ่ง ลัทธิมหายานได้มุ่งหน้าไปทำการเผยแผ่ที่ประเทศจีน และภายหลังต่อมานั้นได้เกิดลัทธิเต๋าขึ้น จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ ๖ ที่ ประเทศจีนได้มีการก่อตั้งลัทธิใหม่เกิดขึ้นนั่นก็คือ ลัทธิชาน เป็นการผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธอินเดีย และศาสนาพุทธลัทธิเต๋าของจีน โดยมีชื่อว่า "ชาน" เป็นภาษาจีน ซึ่งได้แปลงมาจากภาษาสันสกฤตว่า "ธยาน" และตรงกับภาษาบาลีว่า "ฌาน" เป็นความสำคัญของการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่งซึ่งอยู่คู่กับสมาธิ ความเจริญรุ่งเรืองของลัทธิฌานในประเทศจีนนี้ มีมากเมื่อศตวรรษที่ ๗ -๑๒ ในราชวงศ์ถังราชวงศ์ซ่ง โดยแบ่งออกเป็นสองฝ่ายหลัก ๆ คือ สำนักฝ่ายเหนือ และ สำนักฝ่ายใต้ ทั้งสองนี้มีความแตกต่างกันทางด้านความเชื่อและคำสอน ดังนี้


สำนักฝ่ายเหนือ เชื่อว่า การปฏิบัตินั้นต้องค่อย ๆ ปฏิบัติสั่งสมบารมีไปอย่างไม่เร่งรีบร้อน
สำนักฝ่ายใต้ เชื่อว่า การปฏิบัตินั้นต้องปฏิบัติอย่างรวดเร็วเพราะการตรัสรู้ธรรมนั้นต้องอาศัยการรู้อย่างฉับพลัน ต่อมาไม่นานลัทธิฌานที่ได้ถือการปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางและเผยแผ่ไปสู่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ๑๑๙๐ ถูกเรียกขนานใหม่ว่า เชน หรือ เซน โดยภายหลังนั้นยังสามารถแบ่งออกไปได้อีก ๒ นิกายหลัก คือ
ต่อมาไม่นานลัทธิฌานที่ได้ถือการปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางและเผยแผ่ไปสู่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี ๑๑๙๐ ถูกเรียกขนานใหม่ว่า เชน หรือ เซน โดยภายหลังนั้นยังสามารถแบ่งออกไปได้อีก ๒ นิกายหลัก คือ
โซโต
รินไซ
ทั้งสองนิกายนี้มีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน แต่มีความเคารพในทางปันธิธรรมเหมือนๆ กัน รายละเอียดข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับเรื่องเซนยังมีอีกมาก แต่ผู้เขียนพิจารณาว่า เขียนไปก็อาจจะทำให้เกิดความสงสัย ดังนั้น จึงหยิบแต่แนวหลักของเซนแท้ของจีนมาเขียนรวมไว้กับญี่ปุ่น โดยรวม ๆ แล้ว เซนได้เข้าสู่ประเทศอเมริกาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๐๕ และได้ความนิยมเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน
เซนเป็นลัทธิหนึ่งในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเป็นลัทธิที่ใหญ่และมีศรัทธามากล้นจากทั่วโลกการเผยแผ่ลัทธิเซนนี้เริ่มจากประเทศจีนก่อนเป็นลำดับแรก แล้วแผ่ขยายไปยังประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และได้แผ่หลายลงมาทางตอนใต้คือ ไทย สิงค์โปร์ และข้ามทวีปไปที่ อเมริกา อังกฤษ และอีกหลาย ประเทศในยุโรป สำหรับประเทศไทยของเรา เซนยังได้รับการนิยมไม่กว้างขวางเท่าไหร่นัก อันเนื่องศาสนาพุทธของประเทศเรานั้น มีนิกายหินยานหรือเถรวาทเป็นนิกายหลักประจำชาติอยู่แล้ว แต่ทว่าเรื่องของการกีดกั้นมิให้ศาสนพุทธมหายานลัทธิเซนเข้ามามีบทบาทนั้นมิอาจพึงกระทำได้ เนื่องจากเราเป็นประเทศประชาธิปไตยที่เปิดกว้างทุกเชื้อชาติและศาสนา แต่ก็มีหลายคนหลายกลุ่มที่เริ่มหันมาศึกษาพุทธศาสนาในเซนมากกว่าเดิม
สิ่งแตกต่างทั้งสองนิกายนั้น มีอยู่หลาย ๆ ประการด้วยกัน แต่สำหรับความเป็นนิกายเซนนั้น สิ่งที่แตกต่างก็มีปรากฏอยู่ แต่ผู้เขียนแอบมีศรัทธาคือ แนวทางการสอนของเซนที่ว่าเน้นสอนให้อยู่กับความจริง ในการยอมรับตัวเองและศึกษาธรรมพิจารณาธรรม โดยอาศัยธรรมชาติของชีวิตเป็นสิ่งที่สอน โดยมีจุดหมายสูงสุดด้วยการบรรลุธรรม ตัดสิ้นกิเลสตัณหา อุปาทานขันธ์สิ่งนี้ต่างหากที่คิดว่าเหมาะกับยุคสมัยหรือร่วมสมัยหรือร่วมสมัยในยุคแห่งปี ๒๐๐๐ โดยเฉพาะคนไทย

คนไทยจำนวนไม่น้อยเมื่อได้มาศึกษานิกายเซนแล้ว เริ่มมีความเข้าใจชัดยิ่งขึ้นว่า พุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้ทรงมีการเน้นสอนเรื่องอะไรเป็นที่สุด ประดุจพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ แต่พุทธศาสนาที่เราท่านได้นับถือกันอยู่ปัจจุบันกลับกลายไปเน้นเพียงว่า การทำบุญทำทาน การขึ้นสวรรค์ ลงนรก หรือ พิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น หากใช่เน้นไปเพื่อความหลุดพ้นเพียงแต่สิ่งเดียว

อันพิธีกรรมนี้จริงอยู่ว่าเป็นงอค์ประกอบหนึ่งของศาสนาแต่หากว่ามากไปก็จะกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์มากเกินไป เมื่อพระมีเงินมาก สิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาต่าง ๆ อาทิ ปัญหาเรื่องผู้หญิงปัญหาเรื่องของความโลภทางด้านสมณศักดิ์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ขอให้ลองพิจารณาดูว่าจริงหรือเท็จ แต่หากว่าศึกษาเรื่องเซนจะพบว่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้จะเป็นเรื่องธรรมดาของโลก

ส่วนคำกล่าวที่ว่า พระเซนมีภรรยาได้นั้น ไม่เป็นจริงหากว่านับถือพุทธนิกายเซนโดยแท้ เพราะพระธรรมวินัยในข้อปาราซิกขาดจากความเป็นพระในการเสพเมถุนธรรมก็ยังมีเช่นกัน เว้นแต่เพียงว่า สามารถแตะต้องสัมผัสสตรีเพศในลักษณะจับมือถือแขนหรือกอดรัด ควงก้อยนั้น หากทำได้ดังที่บางคนมีความคิดเช่นนั้นการนับถือเซนก็คือ การนับถือพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นให้ไปถึงธรรมะ มิใช่ติดกันอยู่ที่ภายนอกของรูปแบบ หรือพิธีกรรมเท่านั้นหากคุณสนใจเซนจะช้าทำไมเปิดอ่านหน้าต่อไปได้เลยว่า เซนเป็นอย่างไร และให้ประโยชน์อะไรกับชีวิตของคุณบ้างทางแง่ของจิตใจ ในความเป็นชาวพุทธ
Share:

พุทธทำนาย

หนังสือใบลานสี ได้ถูกตกมาในวัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอัตตะบือ (ประเทศลาว) ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งได้เผยแพร่ให้เลยเกิดความศรัทธา เสียสละทรัพย์ พิมพ์แจกจ่ายมายังพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นกุศลและเพื่อพิจารญาณด้วยตนเองถึงเหตุการณ์มหันตภัยของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้

โลชังชม โทโพโส อินโตกรุณา

พระอินทร์ พรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้ว จงรีบบอกให้คนอื่นฟังหรือพิมพ์แจกตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากมหัตภัยพิบัติทั้งปวง ถ้าบุคคลจะลงมาเกิดพร้อมหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านเรือน จะมีภูตผี ปีศาจ เข้ามาทำลายอย่างแน่นอน

ในปีจอถึงปีกุน เมื่อเดือนหงายจะมีงูพิษอยู่บนศีรษะ ฉกกัดให้ถึงตาย และผู้คนทั้งหลายจะเกิดความเดือดร้อนหลายประการ

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนศึกสงครามบ่แล้ว
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนน้ำและไฟ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มิไผสิเบิงไผ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนอึดข้าวปลาอาหาร
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนผัว - บ่เห้นหน้ากัน
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนมีคนตายตามทุ่ง
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีผู้เฒ่า
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนไปต่างประเทศบ่สะดวก
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนนอนบ่หลับ

ในปีจอนี้ ในเมืองจันทร์จะมีฤษีองค์ทองคำ สิกขาเพศออกมาเป็นพ่อค้าในปีจอ ขึ้น 8 ค่ำ ห้ามบ่อให้ตักน้ำอาบ น้ำกิน ตามห้วยหนิงคลองบึงหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนค่ำ) พระยายมราชจะนำเอายาพิษพ่นใส่ในโลกมนุษย์

ในปีจอ เมืองกรุงเทพฯ จะแตกพังทลายในเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกต หัวเชียงเมี้ยง ข้าวเม็ดใหญ่จะกลับสู่เวียงจันทร์ นี่คือ พระคาถาขององค์อินทร์ พรหมยมราชได้เขียนไว้ในใบลาน จงเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อช่วยหลุดพ้นจากภัยพิบัติได้ ในยามเกิดเหตุการณ์มหันภัย พระคาถาเขียนไว้ว่า

ปะโต เมตัง ประระชีมินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นิพะนัง สุขะโต จุติ พระคาถาบทนี้ เขียนลงใบลาน แผ่นทองหรือแผ่นผ้าก็ดี ติดไว้ที่ประตูบ้านหรือในรถหรือโพกศีรษะ ยากเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้หลุดพ้นจากภัยอันตราย

ในการละเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้รักษาคุ้มครองโลก ได้กราบทูลต่อพระอินทร์ ว่ามนุษย์โลกทำกุศลเพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรมถึง 7 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์อินทร์จะสั่งลงโทษมนุษย์ผู้ใจบาป ถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอ ถึง ปีกุน ดังนี้
1. จะเกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว
2. จะให้เกิดอัคคีภัย
3. จะเกิดอุทกภัย
4. จะเกิดฟ้าผ่า
5. จะเกิดร้อนเกินไป หนาวเกินไป
6. จะเกิดสารพิษต่าง ๆ
7. จะเกิดกาฬโรคต่าง ๆ
8. จะเกิดข้าวยากหมากแพง
9. จะเกิดฆาตพยาบาทเบียดเบียนกันเอง

มหัตภัยทั้ง 9 อย่างนี้ จะหลุดพ้นได้ โดยเฉพาะผู้มีบุญ คนที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าเท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รีบทำความดีมากๆ ถ้าเลยปีจอ ปีกุน ไปแล้วทุกคนพร้อมทั้ง ลูกหลานจะได้รับความสุข สบายใจ ทุกคน ให้ทุกคนเคร่งครัดในศีล 5

สุดท้าย ผู้ทรงศีลได้กล่าวย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสืออินทร์ตกว่า ถ้าท่านผู้เคารพบูชาหรือบนว่าจะบอกแก่ผู้อื่นหรือ พิมพ์แจกจ่ายให้ สาธุชนทั้งหลายได้รับรู้ แล้วท่านจะปรารถนาสิ่งใดจะได้สมใจนึกจะปราศจาก ภัยพิบัติทั้งปวงตลอดไป ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตะวัน
ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2485 ตามคำแปล เป็นภาษาไทย ว่าดังนี้

สาธุ อะระหังตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ทั้วโลก ที่เกิดมาแล้ว แต่ลำบาก ทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้ามานิพพานไปแล้วครบห้าพันปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้ถึงจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้สองพันห้าร้อยปีมนุษย์และสัตว์ จะได้รับภัยพิบัติเสีย ครั้งหนึ่งใน ระยะ 30 ปี สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอะเจอจะได้เห็น ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับกับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก ใกล้กับ พ.ศ. 2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนเลือดนองเต็มพื้นดิน พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษญ์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์ กระหายเลือดแผ่นดินจะเป็นเปลวไฟจะตายอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกล้ม ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกันตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต ส่วนพุทธศาสนิกชน ผู้ทำแต่บุญเดินตามทางตถาคตสามารถระงับร้อนไม่รุนแรงบ้านใดได้บูชา พระโพธิสัตว์ผ้ากาสาวพัตร์ ก็จะรับภัยพิบัติเบาบาง แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ไฟจะลุกลามทางทิศตะวันออกไหว้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำสงครามจะเกิดทั่วทิศพระยานาคจะพ่นพิษเป็นเพลง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก หมากพลูจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะพระยังอยู่คู่เมืองอีกต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐานคนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้าว่า ดังนี้ ชา ตะ มะ สะ ละ วา พระพุทธชินสิตนี้ท่านให้ เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาวติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้ จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมมิกราชา เมื่อแรกสถิตอยู่ เขตอยุธยา บัดนี้ท่านเสด็จอยู่ลานช้าง (ภาคอีสานในปัจจุบัน) พระยาธรรมมิกราชา เข้ามาปีกุนเดือน 11 เป็นเที่ยงแท้หนักหนาท่านเสร็จมาในปีระกา แรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400 รูป ทั่วอาณาจักร สมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่าดังนี้ นะสัจจัง ทะ คะยัง มะสำคำปัง คอยดูในปีมะโรงคนจะเดินโกงโคง คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อ พระยาธรรมมิกราชา ให้ภาวนา ให้หมั่นรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา คอยดูปีมะเส็งตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุน เดือน 8 เป็นเที่ยงแท้ ผู้ใดไม่เชื่อจะรับอันตราย

คอยดูในปีจอ คนจะพ้นภัย สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะภาวนา ทุกค่ำเช้า ผู้นั้นจะมีอายุยืนนานจะได้เห็นพระยาธรรมมิกราชา (พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตย) ในปีกุนท่านจะเข้ามาอีก ถ้าไม่เห็นหนังสือบ้านใด ผู้นั้นจะได้รับอันตรายรู้แล้วให้บอกต่อกันด้วย

คำเตือน โลกมนุษย์กำลังจะเข้าสู่กาลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติจากดิน น้ำ ลม ไฟ จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สาม ตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง

สำหรับประเทศไทยจะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี 2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำและไฟ โดยเฉพาะที่จังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัวคลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มความสูง 200 เมตร มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี และด้านตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ สุดท้ายประเทศไทยจะเหลือประชากรประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์

ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือเพียง สิบเปอร์เซ็นต์ เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากก็จะสูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญณานภาวนา ฉะนั้นอย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากเพราะเมื่อเข้ายุคศิวิไล เงิน ทอง จะไม่มีค่าเลย เพราะ มนุษย์ยุคนั้นวัดกันที่ความดี ศีลธรรม บุญกุศลเท่านั้น ปีมะโรง พ.ศ. 2555 ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556 ประกา พ.ศ. 2560 พ.ศ. 2561 พ.ศ. 2562
Share:

เทศน์มหาชาติ

พระอรรถกถาจารย์พรรณนาถึงเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อไว้ว่า ผู้ที่ได้ฟังเทศน์มหาชาติครบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ๑๐๐๐ พระคาถาจบภายในวันเดียวจะได้อานิสงส์มาก เช่น ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติ ที่สุดแม้แต่จะปรารถนาให้พบพระศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยก็จะได้พบสมความปรารถนา และในแต่ละกัณฑ์ยังมีอานิสงส์แตกต่างกันไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องอีกด้วย

ผู้ใดบูชากัณฑ์ทศพร จะได้รับทรัพย์สมบัติดังปรารถนา ถ้าเป็นสตรีจะได้สามีเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจ ถ้าเป็นบุรุษจะได้ภรรยาเป็นที่ต้องประสงค์ ทั้งจะได้บุตรหญิงชาย เป็นคนว่านอนสอนง่าย มีรูปกายงดงาม มีความประพฤติดี กิริยาวาจาเรียบร้อยทุกประการ
ผู้ใดบูชากัณฑ์หิมพานต์ ย่อมได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ครั้นตายไปแล้วจะได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ เสวยสมบัติอันโอฬาร มีบริวารแวดล้อมบำรุงบำเรออยู่เป็นนิจ ครั้นจุติจากสวรรค์แล้วจะลงมาเกิดในตระกูลขัตติยะมหาศาล หรือตระกูลพราหมณ์มหาศาลอันบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร บริวารมากมายนานาประการ เช่น โค กระบือ ช้าง ม้า รถ ยานพาหนะ นับประมาณมิได้ ประกอบด้วยความสุขกายสบายใจทุก ๆ อิริยาบถ
ผู้ใดบูชากัณฑ์ทานกัณฑ์ จะบริบูรณ์ด้วยแก้วแหวนเงินทอง ทาส ทาสี และสัตว์สองเท้าสี่เท้า ครั้นตายแล้วจะได้ไปเกิดในฉกามาพจรสวรรค์ มีนางเทพอัปสรแวดล้อมมากมาย เสวยสุขอยู่ในปราสาทแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ
ผู้ใดบูชากัณฑ์วนปเวสน์ จะได้รับความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า จะได้เป็นบรมกษัตริย์ในชมพูทวีปเป็นผู้ทรงปรีชา เฉลียวฉลาด สามารถปราบอริราชศัตรูให้ย่อยยับไป
ผู้ใดบูชากัณฑ์ชูชก จะได้บังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ประกอบด้วยสมบัติอันงดงามกว่าชนทั้งหลายจะเจรจาปราศรัยก็ไพเราะเสนาะโสต แม้จะได้สามีภรรยาและบุตรธิดา ก็ล้วนแต่มีรูปทรงงดงามสอนง่าย
ผู้ใดบูชากัณฑ์จุลพน แม้จะบังเกิดในภพใด ๆ จะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์บริวาร จะมีอุทยานอันดารดาษด้วยดอกไม้หอมตลบไป แล้วจะมีสระโบกขรณีอันเต็มไปด้วยปทุมชาติ ครั้นตายไปแล้วก็ได้เสวยทิพย์สมบัติในโลกหน้าสืบไป
ผู้ใดบูชากัณฑ์มหาพน จะได้เสวยสมบัติในดาวดึงส์เทวโลก และจะได้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์มหาศาล มีทรัพย์ศฤงคารบริวารมาก มีอุทยานและสระโบกขรณีเป็นที่ประพาส เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศักดานุภาพเฟื่องฟุ้งไปทั่วชมพูทวีป อีกจักได้เสวยอาหารทิพย์เป็นนิจนิรันดร
ผู้ใดบูชากัณฑ์กุมาร ย่อมประสบความสำเร็จในสิ่งที่พึงปรารถนาครั้นตายไปได้เกิดในฉกามาพจรสวรรค์ ในสมัย ที่พระศรีอาริยเมตไตรยมาอุบัติก็จะได้พบศาสนาของพระองค์ จะได้ถือปฏิสนธิ ในตระกูลกษัตริย์ ตลอดจนได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์แล้วบรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้ง 4 ด้วยบุญราศีที่ได้อบรมไว้
ผู้ใดบูชากัณฑ์มัทรี เกิดในโลกหน้าจะเป็นผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ เป็นผู้มีอายุยืนยาว ทั้งประกอบด้วยรูปโฉมงดงามกว่าคนทั้งหลาย จะไปในที่ใด ๆ ก็จะมีแต่ความสุขทุกแห่งหน
ผู้ใดบูชากัณฑ์สักกบรรพ จะได้เป็นผู้เจริญด้วยลาภ ยศ ตลอดจนจตุรพิธพรทั้ง 4 ประการ ได้แก่ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาล
ผู้ใดบูชากัณฑ์มหาราช จะได้มนุษยสมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์จะได้เป็นพระราชา เมื่อจากโลกมนุษย์ไปก็จะได้ไปเสวยทิพย์สมบัติในฉกามาพจรสวรรค์ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวาร ครั้นบารมีแก่กล้าก็จะได้นิพพานสมบัติอันตัดเสียซึ่งชาติชรา พยาธิ มรณะ พ้นจากโอฆะทั้งสาม มีการโมฆะ เป็นต้น
ผู้ใดบูชากัณฑ์ฉกษัตริย์ จะได้เป็นผู้เจริญด้วยพร 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละทุก ๆ ชาติแล
ผู้ใดบูชากัณฑ์นครกัณฑ์ จะได้เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยวงศาคณาญาติ ข้าทาสชายหญิง ภรรยาสามี หรือบิดามารดา เป็นต้น อยู่พร้อมหน้ากันโดยความผาสุก ปราศจากโรคาพาธทั้งปวง จะทำการใด ๆ ก็พร้อมเพรียงกัน ยังการงานนั้น ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ความเชื่อแบบพุทธ ได้แก่ ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมทางศาสนา เช่น การเวียนว่ายตายเกิด การทำดีได้ดี การทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งการทำความดีและความชั่วนั้นจะเห็นผลได้ชัดเจนในตอนสรุปเรื่องหรือประชุมชาดกกลับชาติว่า คนทำความดีเมื่อไปเกิดชาติใหม่ก็เกิดมาดีทุกคน ด้วยเหตุนี้พระอรรถกถาจารย์จึงพรรณนาถึงเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อไว้ว่า ผู้ที่ได้ฟังเทศน์มหาชาติครบทั้ง 13 กัณฑ์ 1000 พระคาถา จบภายในวันเดียวจะได้อานิสงส์มาก เช่น ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติ ที่สุดแม้แต่จะปรารถนาให้พบพระศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยก็จะได้พบสมความปรารถนา และในแต่ละกัณฑ์ยังมีอานิสงส์แตกต่างกันไปตามลักษณะของเนื้อเรื่องอีกด้วย

หากจะวิเคราะห์ความเชื่อในเรื่องมหาชาติทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ๑๐๐๐ พระคาถาพอจะสรุปได้ดังนี้คือ มีทั้งความเชื่อแบบพุทธ ความเชื่อแบบพราหมณ์ และความเชื่อในเรื่องผี ความเชื่อในเรื่องผี ปรากฏอยู่ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกหลายกัณฑ์ ซึ่งตอนนี้จะขอทำความเข้าใจเรื่องผีเสียก่อน ผีมีอยู่ ๓ ชนิด ได้แก่

ผีที่ดี คือผีที่คอยปกปักรักษาเรา เรียกกันโดยทั่วไปว่า เทวดา เช่นรุกขเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา เสื้อเมืองทรงเมือง ดังนี้เป็นต้น
ผีร้าย เป็นผีที่คอยหลอกหลอน ชอบกินเครื่องเซ่น เครื่องสังเวย ชอบรับสินบน หากไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะคอยทำอันตราย เข้าสิงสู่ผู้คนให้เดือดร้อน
ผีที่เป็นซากศพ ได้แก่คนที่ตายแล้วเราก็เรียกว่าผีไม่ว่าจะตายโดยวิธีใด ตายด้วยโรคาพยาธิ หรือตายด้วยคลื่นยักษ์ “สึนามิ” เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ก็ตาม
ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกนี้เชื่อว่าคนทำดีผีย่อมคอยปกปักรักษา จึงกล่าวถึงผีที่ดี ผีที่คอยปกปักรักษา คอยช่วยเหลือพระเวสสันดรบ้าง คอยดลใจชาวเมืองบ้าง หรือคอยปกปักรักษากัณหาชาลีในกัณฑ์มหาราชบ้าง ดังนี้เป็นต้น

ส่วนความเชื่อแบบพราหมณ์ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกนี้ ปรากฏในรูปแบบของพิธีกรรมและวิธีการหลายตอน เช่นการทำนายฝัน และการทำบายศรีสู่ขวัญในกัณฑ์มหาราช ความเชื่อแบบชาวพุทธ ได้แก่ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมทางศาสนา เช่น การเวียนว่ายตายเกิด การทำดีได้ดี การทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งการทำความดีและความชั่วนั้นจะเห็นผลได้ชัดเจนในตอนสรุปเรื่องหรือประชุมชาดกกลับชาติว่า คนทำความดีเมื่อไปเกิดชาติใหม่ก็เกิดมาดีทุกคน
Share:

พุทธศาสนาแบบตันตระ

(บทความจาก สภาการศึกษา มหามกุฎราชวิทยาลัย)

คำว่าพระพุทธศาสนาแบบตันตระ นั้นโดยทั่วไป ใช้เรียกพระพุทธศาสนาในอินเดียยุคหลัง กล่าวคือ มนตรยาน วัชรยาน หรือสหัชยาน การที่นิกายโยคาจาร ได้ย้ำถึงความสำคัญของวิญญาณและความเจริญของวิญญาณได้ค่อยๆทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายประการ ในพระพุทธศาสนา มนตร์ ธารณี และแผนภาพเป็นรูปวงกลมหรือสามเหลี่ยม เริ่มมีความสำคัญเพิ่มขึ้น สำหรับโยคี มนตร์เหล่านี้ถือกันว่ามีอำนาจขลังอย่างสำคัญ ถ้าจะเปรียบก็พอเปรียบกันได้กับ ปริตร ในคัมภีร์บาลี เพราะปริตรนั้น ก็ถือกันว่าสามารถป้องกันผู้ท่องบ่นให้พ้นจากความชั่วทั้งปวงได้ ครั้งหนึ่งการปฏิบัติแบบลึกลับ ถูกนำเข้ามาในพระพุทธศาสนา การปฏิบัตินั้น ต้องการผู้ปฏิบัติเพียงกลุ่มเล็กๆ ฉะนั้นการจะรักษาไว้ให้สืบต่อกันไปได้ จึงจำเป็นต้องมีสถาบันแห่งครูและศิษย์ (คุรุและเจฬะ) ปฏิบัติสืบต่อกันไปเรื่อยๆ

เพื่อจะรักษาธรรมชาติอันลึกลับของการปฏิบัตินั้นไว้ นักปฏิบัติจำต้องใช้ภาษาสัญลักษณ์ ซึ่งเข้าใจกันได้เฉพาะในหมู่นักปฏิบัติเท่านั้น สำหรับคนสามัญคำพูดเหล่านั้น มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง นักเขียนในนิกายนี้ได้ใช้ภาษาที่มีความหมายสองแง่ในทำนองเป็น “คำคม” ความหมายจริงๆของคำเหล่านั้นจะทำให้คนสามัญต้องสดุ้งตกใจ แต่สำหรับ “นักปฏิบัติ” เขาจะแปลความหมายไปอีกทาง คนธรรมดาย่อมแปลความหมายของคำต่างๆตามที่เคยแปลกันมา ฉะนั้นจึงทำให้เกิดความเข้าใจ ฉะนั้นจึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง

ลักษณะอีกประการหนึ่งของพระพุทธศาสนาแบบตันตระ ก็คือเชื่อในเทพเจ้าและเทพีเป็นจำนวนมาก เขาเชื่อว่าด้วยความโปรดปรานของเทพเจ้าและเทพีเหล่านั้นผู้ปฏิบัติก็จะบรรลุ “สิทธิ” หรือความสำเร็จได้ เขามันจะสร้างรูปแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าประทับนั่นอยู่ ในท่ามกลางเทพีเป็นจำนวนมาก

(เทพ เทพีที่เกิดมาก่อนในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธว่า ไม่มีอยู่จริง ซึ่งนักตันตระชาวพุทธได้แปลงมาเป็นเทพพุทธะ เทพีพุทธะ ทั้งยังได้สร้าง พุทธเจ้าปางดุ พุทธมารดาปางดุขึ้น อีกทั้งยังมีเทพโพธิสัตว์ และเทพธรรมบาล อีกมาก นักตันตระชาวพุทธสร้างขึ้น มิใช่ต้องการความโปรดปรานของเทพพุทธะทั้งปวงเหล่านั้น แต่ต้องการได้คุณสมบัติของเทพพุทธะเหล่านั้น เพราะว่า เทพพุทธะเหล่านั้นแต่ละองค์ก็เป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์หนึ่งของสรรพชีวิต พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีคุณสมบัติพิเศษจากอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเป็นพิเศษในการบรรลุธรรม คุณสมบัตินั้นเป็นสิ่งที่นักตันตระต้องการเพื่อการบรรลุสิทธิ มิใช่การบูชาเพื่อให้ท่านโปรดปราน ศรีภัทร

ยังมีพระพุทธศาสนาอีกแบบหนึ่ง ที่เหมือนกับพระพุทธศาสนาแบบที่กล่าว มาแล้ว นั่นก็คือพระพุทธศาสนาแบบ วัชรยาน พระพุทธศาสนาแบบนี้ นอกจากจะไม่มีคำสอนที่ดีหรือบริสุทธิ์ตามแบบเดิมแล้ว ก็ยังผสมผสานกับประเพณีท้องถิ่น และยอมรับพิธีกรรมลึกลับและน่ากลัวต่างๆ จึงแพร่หลายอยู่ในหมู่ชนชั้นต่ำ ผู้นำทางศาสนาแบบนี้ปฏิบัติและส่งเสริมข้อปฏิบัติหลอกลวงต่างๆ เช่นข้อปฏิบัติ 5 ประการ เกี่ยวกับ ม. คือมัทยะ (น้ำเมา) มางสะ(เนื้อ) มัตสยา(ปลา) มุทรา(ผู้หญิง) และไมถุนะ(เสพเมถุน) ในหนังสือ ศรีสมาช(คุยหสมาช) สาธนมาลา ,ชญาณสิทธิ เป็นต้น เราจะพบว่ามีการเหยียบย่ำแม้กระทั่งศีล 5 ซึ่งเป็นรากฐานของพระพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่นในหนังสือ คุยหสมาช สนับสนุนให้มีการฆ่า การหลอกลวง การลัก และการเสพเมถุน ใครจะคิดบ้างว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยกับการกระทำเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ลัทธินี้ก็แพร่หลายไปกว้างขวาง ในอินเดียตะวันออก มหาวิทยาลัยวิกรมศีลา ซึ่งเป็นศูนยกลางแห่งการศึกษาแบบตันตระ ซึ่งค่อยๆแพร่หลายไปยัง เบงกอล อัสสัม และโอริสสา ประชาชนคนดีๆ ทั้งหลายต่างพากันต่อต้าน การปฏิบัติหลอกลวงเช่นนั้นอย่างหนักหน่วง และกระปฏิบัติหลอกลวงนี้เอง มีส่วนอย่างสำคัญ ในความเสื่อมศูนย์แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย **(จากสองคอลัมท์ข้างบน ได้กล่าวถึงชนชั้นต่ำ ขอให้ท่านได้อ่านต่อไปจนจบแล้วจะเข้าใจในความเข้าใจผิดของตนต่อพุทธวัชรยาน ขออธิบายคำว่าชนชั้นต่ำ ตั้งแต่มีพุทธศาสนาขึ้นมา ผู้ที่ปฏิบัติพุทธธรรมได้ถูกจัดอันดับแม้ต่ำที่สุดก็ถูกเรียกว่า “บัณฑิต” ดังนั้นจึงมิไม่ชนชั้นต่ำเป็นชาวพุทธเลย แต่เราก็ต้องยอมรับว่า มีบุคคลชั้นต่ำซึ่งใช้ประโยชน์จากความศรัทธาของมหาชนต่อพุทธศาสนา พวกนี้มิเคยมีจิตใจใฝ่หาการบรรลุพุทธภาวะเลย เพียงอาศัยรูปแบบของชาวพุทธดำรงชีพ แล้วปฏิบัติตามตัณหาราคะของตน มิเคยได้พัฒนาใจ ขัดเกลาจิต ไม่เคยตีความในพุทธปรัชญาเพื่อการหลุดพ้น แต่พยายามตีความเพื่อสนองตัณหาแห่งตน เพราะรูปแบบที่ตนยืมมาดำรง ทำให้ตนมีเกียรติได้รับความเคารพจากมหาชน ยิ่งทำให้การหลอกลวงเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น อีกทั้งยังดึงดูดชนชั้นเดียวกันได้ให้เป็นเช่นเดียวกันได้มากขึ้นเรื่อยๆ

พระเจ้าอโศกได้จับผู้ปลอมตัวบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา ถึงหกหมื่นกว่าคน ผู้ปลอมตัวบวชเหล่านั้นชาวพุทธเรามิได้ยอมรับพวกเขาเป็นพุทธศาสนิก ถือเป็นชนชั้นต่ำที่แฝงตัวมาอาศัยหากินเท่านั้น แต่ในกรณีที่ท่านได้กล่าวว่าชนชั้นต่ำในวัชรยานเป็นตัวการทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมจนสูญสลาย แล้วทำไมท่านยังยอมรับเขาเหล่านั้นเป็นพุทธศาสนิกชน แล้วทำไมผู้ปลอมบวชในสมัยพระเจ้าอโศกเราไม่ถือเขาว่าเป็นพุทธศาสนิกชน พุทธศาสนาไม่ว่านิกายใดและลัทธิใดก็มีผู้ที่เป็นชาวพุทธที่แท้จริงและเป็นผู้ที่อาศัยพุทธศาสนาเกาะกินและบ่อนทำลายด้วยกันทั้งนั้น ทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยาน จึงมีทั้งผู้จรรโลงและทำลายด้วยกันทั้งนั้น

การกล่าวว่า เฉพาะชาวพุทธวัชรยานเป็นตัวการทำให้พุทธศาสนาต้องกลายเป็นศาสนาแห่งความสกปรก มั่วสุมอยู่ในโลกีย์ตัณหา จนตกต่ำและต้องสูญสลายไปจากดินแดนที่ให้กำเนิดนั้นถูกต้องหรือไม่ ในกรณีของข้อปฏิบัติ 5 ม.ซึ่งเป็นเรื่องของปรัชญา นักตันตระชาวพุทธให้ความหมายทางปรัชญาไปทางหนึ่ง แต่เราก็ห้ามมิใช่ชนชั้นต่ำซึ่งมิใช่นักตันตระชาวพุทธตีความไปตามที่ตนเองต้องการอีกทางหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายชาวพุทธเราเองก็ร่วมมือกับชนชั้นต่ำซึ่งมิใช่ชาวพุทธ โจมตีชาวพุทธด้วยกันเองและสถาปนาชนชั้นต่ำที่ไม่ใช่ชาวพุทธให้เป็นชาวพุทธที่ทรงปัญญาจนสามารถทำลายพระพุทธศาสนาไปได้ หลักการของการปฏิบัติกับสุรา ที่กล่าวไว้ว่า เพื่อให้เกิดความมึนเมาจะได้สุดสวิงกิ้งอย่างเต็มที่ แต่การเกี่ยวข้องกับสุราของนักตันตระชาวพุทธยังคงปฏิบัติตามศีลข้อห้า คือให้ใช้เป็นกระสายยาได้ไม่เกินขนาดหนึ่งเมล็ดแตงโม แต่ในกรณีที่ พระอาจารย์ได้พบศิษย์ที่ทะนงตนว่าได้บรรลุการดำรงสติตลอดเวลาทุกสถานการณ์ พระอาจารย์จำนำสุรามาทดสอบกับศิษย์ การปฏิบัตินี้จะอยู่ในความควบคุมของพระอาจารย์ เรื่องเนื้อและปลา การเสพเนื้อเสพปลา ต้องเสพด้วยความเมตตา 1 สัตว์นั้นต้องถึงซึ่งกาลเอง 2 ต้องเสพด้วยจิตเมตตาเพื่อให้สัตว์นั้นได้สร้างกุศล 3

เนื้อสัตว์เมื่อมาบำรุงกายเราต้องคำนึงถึงจำนวนชีวิตของสัตว์ ควรเสพสัตว์ด้วยชีวิตจำนวนน้อย มากกว่าใช้ชีวิตสัตว์จำนวนมากในแต่ละมื้อ ส่วนคำว่ามุทรา ในที่กล่าวไว้ว่ามุทราแปลว่า ผู้หญิงที่มาร่วมเสพกาม แต่ในวัชรยานชาวพุทธ มุทราแปลว่าสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้ คือคุณสมบัติของสิ่งซึ่งทำให้พระพุทธเจ้าในอดีต เป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น มุทราคือสัญลักษณ์แห่งพุทธภาวะของพระพุทธเจ้าในอดีต หลักสุดท้ายคือ เมถุน เมถุนในพุทธวัชรยาน เป็นการปฏิบัติสมาธิจิตด้วยการ รวม ปัญญาและอุบายเข้าด้วยกัน เป็นการ เสพเมถุนภายในจิตของผู้ปฏิบัติเองคนเดียว(มีกล่าวไว้ในหนังสือหลักขอให้อ่านต่อไป) ธรรมะจะเป็นสิ่งประเสริฐ หรือเป็นเครื่องมือสุดต่ำช้า อยู่ที่ผู้นำเครื่องมือนั้นไปปฏิบัติ พุทธธรรมเมื่ออริยะชนชาวพุทธนำไปปฏิบัติ ก็นำจิตให้สูงขึ้นไปสู่ความเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างสมบูรณ์ แต่พุทธธรรมถ้าชนผู้มิใช่ชาวพุทธนำไปดัดแปลงแล้วปฏิบัติ เราคงไม่เรียกผู้ปฏิบัตินั้นว่าเป็นพุทธศาสนิกชน สามัคคีธรรมที่วัสสการพราหมณ์ นำธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไปดัดแปลงและปฏิบัติจนแคว้นวัชชีล่มสลาย เราจะถือว่าวัสสการพราหมณ์เป็นชาวพุทธ หรือ ชาวพราหมณ์ ศรีภัทร)

ในบรรดาพระพุทธศาสนาแบบต่างๆ คำสอนแบบตันตระถูกละเลยและเข้าใจผิดกันมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ว่า ตันตระนี้เกิดขึ้นจากประเพณีต่ำๆของพวกฮินดู และการปฏิบัติผิดๆซึ่งมีอยู่ในกลุ่มชนที่ไร้การศึกษา คำสอนแบบตันตระทุกอย่าง คนทั้งหลายรังเกียจกันมาก จนกระทั่งนักปราชญ์ก็ไม่กล้าแตะต้อง ผลก็คือ การสำรวจหรือการวิจัยอย่างตรงไปตรงมา ถูกทอดทิ้งเป็นเวลาช้านาน

นักปราชญ์ชาวยุโรป คนแรกที่กล้ารื้อฟื้นตันตระขึ้นมา โดยเฉพาะตันตระของฮินดูว่าด้วย กุณฑลินีโยคะ คือเซอร์ จอห์น วูดรอฟ ท่านผู้นี้ได้พิมพ์หนังสือชุดตันตระและปรัชญาตันตระขึ้นโดยใช้นามปากกาว่า อาร์เธอร์ อเวลอน ในคำนำเรื่องจักรสัมภารตันตระ เขากล่าวไว้ว่า “คนโง่เข้าใจความแท้จริงด้านจิตใจไม่ถูกต้อง เขาจึงเรียกความแท้จริงเข่นนั้นว่า ไสยศาสตร์ ความชั่วและความโง่นั้นมีอยู่มากแล้วตามธรรมชาติของมัน และมันได้สร้างวิชาให้เราศึกษาในแง่ตรงกันข้าม แต่ถ้าเราไม่ยึดถือความรู้นั้น ก็จะเป็นเหตุให้เกิดความโต้เถียงกันทางศาสนา ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอย้ำว่า เราต้องเชื่อสติปัญญาและความยุติธรรมของเราเอง โดยพยายามเข้าใจศาสนาทุกศาสนาในแง่ที่ดีที่สุด และจริงที่สุด” แม้อเวลอนเอง ก็เชื่อว่า ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนาเป็นเพียงสาขาหนึ่งของลัทธิตันตระแบบฮินดู และเชื่อว่า ตำราซึ่งเขาค้นคว้านั้นเป็นหลักดั้งเดิมของตันตระทีเดียว ความเห็นนี้เป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องมาโดยตลอดตราบเท่าที่ความรู้เรื่องตันตระจารคัมภีร์ของธิเบตยังไม่ได้เป็นที่รับรู้กันนอกดินแดนหิมาลัย เพราะคัมภีร์ตันตระเหล่านั้น ถึงแม้จะมีคำแปลแล้วแต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ ทั้งในด้านเหตุผล ในด้านประวัติศาสตร์ และในการปฏิบัติ

เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ ก็คือว่าคัมภีร์เหล่านี้เราไม่สามารถจะเข้าใจได้เฉพาะในด้านปรัชญาเท่านั้น แต่เราเข้าได้จากประสบการณ์ด้านโยคะ ซึ่งไม่สามารถจะศึกษาได้จากหนังสือ ยิ่งกว่านั้นหนังสือซึ่งใช้ค้นคว้ากันนี้ ก็เขียนด้วยสำนวนแปลกๆ คือ ใช้ภาษาที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษร ซึ่งภาษาสันสกฤตเรียกว่า สนธยาภาษา

การใช้ภาษาที่มีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษรนั้น ทำให้คนโง่ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักปฏิบัติ ไม่สามารถจะเข้าใจได้ และนำไปปฏิบัติผิดๆ อีกด้วย แต่ก็จำเป็นต้องใช้ภาษาเช่นนั้น เพราะภาษาธรรมดาไม่สามารถจะแสดงประสบการณ์สูงสุดของจิตใจได้ สิ่งที่นักปฏิบัติได้บรรลุนั้น อธิบายให้เข้าใจกันไม่ได้ แต่สามารถแนะนำให้ปฏิบัติตามได้ ด้วยการยกอุทาหรณ์ และใช้อุปมาเปรียบเทียบ

ลักษณะทำนองเดียวกันนี้ มีอยู่ในพระพุทธศาสนานิกายฌานของจีนและนิกายเซนของญี่ปุ่น เพราะนิกายทั้งสองนั้น ได้มีความสัมพันธ์กับนักปฏิบัติโยคะตันตระของพระพุทธศาสนาในยุคกลาง ผู้ปฏิบัติจนบรรลุผลเหล่านี้เรียกตัวเองว่า สิทธะ ซึ่งแพร่หลายอยู่ในอินเดียระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7-11 พวกนี้เองเป็นผู้ประกาศคำสอนแบบตันตระวัชรยาน คัมภีร์ลึกลับและกวีนิพนธ์เป็นจำนวนมากของเขา ถูกทำลายเกือบหมด เมื่อประเทศอินเดียถูกพวกมุสลิมรุกราน แต่หนังสือเหล่านั้น ส่วนใหญ่ ได้แปลเป็นภาษาธิเบต ประเพณีการบำเพ็ญโยคะ และสมาธิก็ถ่ายทอดกันเรื่อยมาเป็นเวลาหลายชั่วคน

อย่างไรก็ตาม ในอินเดีย ยังคงมีชนชั้นต่ำที่ปฏิบัติตันตระ โดยคลุกเคล้าไปกับประเพณีของคนเหล่านั้น จนในที่สุดก็หมดคุณค่ากลายเป็นลัทธิไสยศาสตร์ ซึ่งไม่ได้รับความเชื่อถือ จากนักปฏิบัติตันตระที่แท้จริง

การปฏิบัติตันตระแต่เก่าก่อนของชาวพุทธ ได้มีอิทธิพลต่อศาสนาฮินดูอย่างมากมาย และความจริงจังของชาวฮินดูในการใช้การปฏิบัติตันตระ ส่งผลให้นักปราชญ์ในการต่อมาเข้าใจว่าตันตระนั้นเกิดจากฮินดู และนิกายต่ำๆของพระพุทธศาสนายอมรับและนำเข้ามาใช้ในภายหลัง

จากหลักฐานที่ได้ค้นพบยืนยันว่า พระพุทธศาสนาได้มีการปฏิบัติตันตระกันแล้วตั้งแต่ มหาสังฆิกะยุคแรก ประมวลมนตราธารณีปิฎกของมหาสังฆิกะ ในหนังสือมัญชูศรีมูลกัลป์ปะ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า เขียนขึ้นในตริสตศตวรรษที่ 1 ได้มีการกล่าวถึง มนตร์ ธารณี มณฑลและมุทรา เป็นอันมาก เป็นความครบถ้วนสมบูรณ์ของการปฏิบัติตันตระ ฉะนั้นการกล่าวว่าชาวพุทธชั้นต่ำยอมรับและนำเข้ามาซึ่งตันตระของฮินดูมาปนเปื้อน ในคริสตศตวรรษที่7-11 จึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเลย นักปราชญ์และผู้ปฏิบัติชาวพุทธได้ปฎิบัติตันตระมาก่อนฮินดูหลายศตวรรษ และก็มิใช่ปฏิบัติกันในหมู่ชาวพุทธชั้นต่ำ ผู้ที่ได้ศึกษาตันตระที่แท้จริงจึงรู้ว่า พุทธตันตระและฮินดูตันตระนั้น แม้มีคำเรียก คำกล่าว ที่คล้ายกัน และจุดประสงค์และการปฏิบัติต่างกันเป็นตรงกันข้าม

อาจารย์ศังกร นักปรัชญาฮินดูผู้ยิ่งใหญ่แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 9 ผู้ได้เรียบเรียงหนังสือไว้เป็นรากฐานของปรัชญาไศวะ ได้ยอมรับเอาทรรศนะของนาครชุนและสาวกของนาครชุนเป็นอันมาก จนชาวฮินดูผู้เคร่งครัดระแวงว่าเขาอาจเป็นสาวกลับๆของพระพุทธศาสนา ในทำนองเดียวกัน นักตันตระฮินดูก็ได้ยอมรับเอาวิธีการ และหลักการแห่งลัทธิตันตระของพระพุทธศาสนาไปปรับปรุงใช้ตามความต้องการของตน ทรรศนะดังกล่าวนี้ไม่ใช่จะยอมรัรบกันแต่ในประเทศธิเบตเท่านั้น แม้นักปราชญ์ชาวอินเดีย เมื่อได้สำรวจตรวจสอบคัมภีณ์พระพุทธศาสนาแบบตันตระ ที่เป็นภาษาสันสฤตยุคแรกๆ และได้ทราบความสัมพันธ์ระหว่างคัมภีร์เหล่านั้น กับคัมภีร์ตันตระของฮินดู ในด้านประวัติศาสตร์ และความคิดแล้วก็ยอมรับทรรศนะนั้นเหมือนกัน

ในหนังสือ “ลัทธิลึกลับของพระพุทธศาสนา” เบนอยโตช ภัตตาจารย์ ได้สรุปว่า “อาจกล่าวได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ว่าพุทธศาสนิกชนเป็นพวกแรกที่สร้างลัทธิตันตระขึ้นในศาสนาขนตน ต่อมาพวกฮินดูได้ยืมตันตระนั้นไปจากพุทธศาสนิก จึงเป็นการไร้ประโยชน์ที่กล่าวว่า พระพุทธศาสนารุ่นหลังเป็นสาขาหนึ่งของศาสนาไศวะ”

ออสติน แวดเดล เป็นอีกผู้หนึ่งที่เข้าใจผิดว่าลัทธิตันตระของฮินดู และของพระพุทธศาสนาใช้วิธีการทางไสยศาสตร์เหมือนกัน เขามักจะแสดงตัวเสมอว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญพระพุทธศาสนาแบบธิเบต เขาแสดงความคิดเห็นว่า “ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากลัทธิบูชาผีสางเทวดา สิ่งที่เรียกกันว่า “มนตร์” และ “ธารณี” ก็คือคำพูดที่ไร้ความหมาย พิธีกรรมลึกลับของลัทธิตันตระ ก็เป็นเพียงการเล่นกลอย่างโง่ๆ โดยใช้ภาษาที่ไม่มีใครรู้เรื่อง และไร้ความหมาย ส่วนการบำเพ็ญโยคะแบบตันตระก็เปรียบเหมือน “กาฝาก” หรือ “ตัวพยาธิ” ซึ่งเติบโตแพร่หลายเร็วอย่างน่ากลัว แล้วก็บ่อทำลาย “ชีวิตอันร่อแร่” ของพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์ที่มีอยู่บ้างในฝ่ายมหายาน คำสอนของมาธยมิก โดยใจความแล้ว ก็เป็นอุจเฉทวาทะที่ใช้เหตุผลผิดๆ กาลจักรก็ไม่สมควรจะถือเป็นระบบปรัชญา” (ความรู้และความเข้าใจในพุทธตันตระของไทยแต่แรกเริ่ม ได้รับจากการแปลหนังสือเรื่องพุทธศาสนาตันตระยานหรือวัชรยานของ ออสติน แวดเดลทั้งสิ้น ศรีภัทร)

เพราะเหตุที่ชาวตะวันตกได้รับความรู้ เรื่องพระพุทธศาสนาแบบธิเบตเป็นครั้งแรกจาก “ผู้เชี่ยวชาญ” เช่นนั้น เขาจึงพากันรังเกียจเกลียดชัง ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนาอย่างรุนแรง ผู้ทีศึกษาลัทธิตันตระ จากหนังสือที่ชาวตะวันตกเขียน ก็พลอยเกลียดลัทธินี้ตามชาวตะวันตกไปด้วย

การใช้หลักตันตระของฮินดูโดยเฉพาะ หลักของลัทธิ “ศักดิ” มาตัดสินคำสอนหรือสัญลักษณ์ต่างๆของลัทธิตันตระ ในพระพุทธศาสนานั้น ย่อมใช้ไม่ได้และเป็นการผิดพลาดย่างมหันต์ ทั้งนี้เพราะระบบทั้งสอง ใช้วิธีการหาเหตุผลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทั้งสองระบบจะใช้วิธีโยคะ ใช้ศัพท์เฉพาะหรือศัพท์ปรัชญาเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาเป็นอันเดียวกันกับศาสนาพราหรมณ์ เพราะฉะนั้น กมาใช้ความรู้ตันตระในศาสนาฮินดู มาตีความตันตระในพระพุทธศาสนา หรือการใช้ความรู้ตันตระในพระพุทธศาสนา ไปตีความตันตระในศาสนาฮินดูจึงไม่ถูกต้อง
Share:

วัชรยาน

เป็นที่ทราบกันดีว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงหมุนกงล้อพระธรรมจักร 3 ครั้งด้วยกัน หมายความ ท่านได้เทศนาในหลักใหญ่ๆไว้ 3 เรื่อง 3 วาระ ครั้งแรกที่เมือง สารนาถ แคว้นพาราณสี ครั้งที่ 2 ที่กฤตธาราโกติแค้วนราชคฤห์ครั้งที่3ที่ไวศาลีครั้งแรกเทศนาเกี่ยวกับพุทธศาสนาฝ่ายเถระวาท ครั้งที่2และครั้งที่ 3ท่านได้เทศนาเกี่ยวกับมหายานในมหายานได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน เรื่องของอุดมคติการหลุดพ้นของสรรพสัตว์ทั้งหมดเป็นอุดมคติของมหายานอุดมคตินี้ เรียกว่า โพธิจิตหรือจิตรู้แจ้งการพัฒนาโพธิจิตขึ้นเพื่อต้องการสำเร็จรู้แจ้งเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อประโยชน์ สุขของสรรพสัตว์ทั้งหมดบุคคลใดที่มีอุดมคตินี้และปฏิบัติอุดมคตินี้บุคคลนั้นก็คือพระโพธิสัตว์ ซึ่งการตายแล้วเกิดใหม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ชาวพุทธด้วยกันแต่ก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างใน พุทธศาสนิกแต่ละนิกายฉะนั้นถ้าเรายอมรับในเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่ก็หมายความว่าในแต่ละ ครั้งแห่งการเกิดต้องมีบุพการี1กลุ่ม ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารนี้แต่ละคนได้มีบุพการีมาแล้วเป็นจำนวนที่นับไม่ถ้วนและด้วยเหตุผลนี้ต้องยอมรับว่าสรรพสัตว์ที่บังเกิดขึ้นได้เคย ดำรงสถานะภาพความเป็นบุพการีมานับครั้งไม่ถ้วนฉะนั้นการแสวงหาทางหลุดพ้นจึงควรเป็นไป พร้อมกันหรือให้บุพการีไปก่อนแล้วเราค่อยหลุดพ้นตามไปนี่คือความเป็นพระโพธิสัตว์

พระอาจารย์ชาวทิเบตได้กล่าวไว้ในศตวรรษที่14ว่า "ความทุกข์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัว ความสุขทั้งหมดเกิดขึ้นจากการหวังดีให้ผู้อื่นมีความสุข”ฉะนั้นการแลกความสุขของตนเปลี่ยน กับความทุกข์ของผู้อื่นเป็นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ต้องประกอบไปด้วยบารมี 6 ประการ(บารมี 6 มีอยู่ในลิงค์มหายาน)พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าไม่มีบาปใดใหญ่หลวงเท่าความแค้น ไม่มีความดีใดเทียบได้กับความอดทน เมื่อเราได้เกิดขึ้นมาความสมดุลก็ได้หายไป ความ อดทนมี 3 ประเภท 1 อดทนต่อการต่อต้าน 2 อดทนต่อความ ลำบากในการศึกษาและปฏิบัติ ธรรม 3 อดทนในความกล้าปฏิบัติในคำสอนซึ่งลึกล้ำเช่นคำสอนเรื่องศูนยตาการบำเพ็ญตน ตามโพธิสัตว์มรรคจึงต้องทำงานหนัก เพื่อผลแห่งการเกิดปัญญาแห่งการวิเคราะห์ มีการแยก แยะปัญญาไว้3ประเภทพื้นฐาน

ปัญญา เกิดจากการมีความรู้
ปัญญาเกิดจากการพินิจ พิจารณา
ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ
แต่ก็ยังมีการแยกย่อยอีก เช่น

ปัญญาที่เกิดระหว่างสมาธิ
ปัญญาที่เกิดหลังทำสมาธิ
ปัญญาเกิดเพื่อช่วยผู้อื่น
และยังมีการแยกแยะลึกลงไปอีกเช่น ปัญญาในทางโลกและปัญญาที่อยู่เหนือโลกปัญญาที่เข้าถึงสัจจะธรรมสูงสุดหรือปัญญาที่กว้าง เพื่อเข้าถึงปรากฏการณ์ต่างๆในทางโลกในบารมี 6 ที่พระโพธิสัตว์ปฏิบัตินั้นประกอบด้วยเมตตา 5 ปัญญา 1 เมื่อปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว พระโพธิสัตว์ก็บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าได้ สามารถบรรลุความเป็นตรีกายได้คือธรรมกายสัมโภคกายและนิรมานกายที่กล่าวมาทั้งหมดเป็น พื้นฐานที่ต้องมีความเป็นพระโพธิสัตว์ต้องบังเกิดเพื่อบรรลุความสำเร็จในการปฏิบัติวัชระยาน ต่อไป ฉะนั้นจึงแยกความเป็นมหายานและวัชระยานออกจากกันไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าได้สอน เรื่องของวัชระยานไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่น กาลจักระ ตันตระ ซึ่งเป็นบทปฏิบัติตันตระชั้นสูง พระพุทธเจ้าได้เทศนาหลังจากได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว1ปีพระพุทธเจ้าได้เทศนาสอน แก่พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญในภูมิที่สูง ฉะนั้นคำสอนตันตระจึงถือว่าเป็นคำสอนลับเฉพาะ

แม้คำสอนของมหายานเองก็มีการปฏิบัติไม่มากนักในสมัยพุทธกาล คำสอนมหายานเป็นที่เริ่มสนใจปฏิบัติในช่วงของท่านคุรุนาคารชุน ในปืค.ศ.1 ท่านนาคารชุนได้ปฏิบัติคำสอนตันตระได้อย่างเป็นเลิศ ท่านได้เขียน เรื่อง การปฏิบัติตันตระเรื่องคุหยสมัชชตันตระ และมยุรีตันตระซึ่งเป็นตันตระเฉพาะของท่าน ในศตวรรษที่16 ท่าน ธารานาถชาวทิเบตได้บันทึกไว้ว่าท่านคุรุนาคารชุนได้เขียนคำสอนเกี่ยวกับตันตระ ไว้มากเพียงแต่ช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ไม่เป็นที่นิยมและแพร่หลาย ทิเบตเริ่มรับคำสอนจากอินเดีย ในช่วงศตวรรษที่ 7-8 ในช่วงนั้นการปฏิบัติตันตระในอินเดียได้พัฒนาขึ้นถึงจุดสูงสุดไปจนถึง ศตวรรษที่ 12 เมื่อทิเบตรับคำสอนวัชระยานจากอินเดียในช่วงที่เจริญสูงสุดทิเบตจึงรับคำสอนมาอย่างเต็มที่

การปฏิบัติในวัชระยานมีเงื่อนไขสำคัญอยู่หนึ่งข้อ คือ ก่อนที่จะศึกษาปฏิบัติตันตระ จะต้องได้รับการอภิเษกจากวัชราจารย์ ผู้ซึ่งได้สำเร็จรู้แจ้งแล้ว ถ้าไม่มีการอภิเษก ถึงแม้การปฏิบัติจะดีเพียงไร ก็จะไม่ได้รับผลเต็มที่ ฉะนั้น ผู้สนใจต่อการปฏิบัติวัชระยานจะต้องได้รับการอภิเษกจากวัชราจารย์เสียก่อน ถามว่า คำสอนวัชระยานคืออะไรเพื่ออะไร คำสอนวัชระยาน มีไว้สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานปัญญาจากมหายานเป็นอย่างดีจึงสามารถเข้าใจคำสอนอันลึกซึ้งได้ เช่น ถ้าเราต้องการสำเร็จความเป็นพุทธะในชาตินี้ชาติเดียว ต้องศึกษาปฏิบัติคำสอนตันตระเท่านั้นที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ได้ เหมือนกับ การบินโดยเครื่องบิน ในปัจจุบันนี้ เราสามารถบินในระยะทางไกลๆได้ด้วยเวลาอันสั้นแค่ชั่วโมงแทนที่จะเดินด้วยเท่าเปล่าเป็นเดือน

เป็นที่รู้กันดีในทิเบตว่ามิลาเรปะ ท่านได้บรรลุสำเร็จได้ในช่วงชีวิตของท่าน ด้วยการปฏิบัติตันตระ แล้วตันตระคืออะไรตันตระ ตันตระ โดยความหมายของคำแปลว่าความต่อเนื่อง การต่อเนื่องของจิตวิญญาณที่ได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง โดยที่การเปลี่ยนชาติภพมิได้ทำให้ระดับจิตที่ได้พัฒนาแล้วลดระดับลง อันเป็นคำสอนการปฏิบัติระดับสูง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้สอนศิษย์ในแวดวงจำกัดเท่านั้น การปฏิบัติตันตระไม่มีใครได้พูด ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติโดยไม่มีอาจารย์และไม่ได้รับการอภิเษกจากอาจารย์ก่อน แม้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้ปฏิบัติมามากเข้าใจเป็นอย่างดี ก็ไม่สามารถที่จะพูด ศึกษา หรือปฏิบัติตันตระเองได้โดยไม่ผ่านการอภิเษก จากคุรุ

การปฏิบัติตันตระเหมือนกับแพทย์ ที่มีความชำนาญมากสามารถที่จะเอาสารพิษ หรือ ยาพิษมาสกัดเพื่อเป็นยารักษาโรคใหม่ๆได้ มีประสิทธิภาพสูง ในการปฏิบัติตันตระจะมีการนำความรู้สึกที่เป็นลบมาแปลงให้เกิดเป็น พลังที่เป็นบวก ได้เป็นที่เข้าใจกันได้ว่าในสภาพของการรู้แจ้งจะไม่ถูกทำลายด้วยพลังที่เป็นลบต่างๆ ไม่มีพิษใดๆที่จะทำให้สภาพการรู้แจ้งนี้เป็นพิษไปด้วย สภาพการรู้แจ้งนี้เป็นสภาพซึ่งไม่มีข้อแตกต่างระหว่างดีกับไม่ดีและอย่างไร คำสอนวัชระยานการปฏิบัติวัชระยานสามารถทำให้เราสามารถบรรลุถึงจุดนั้นได้ด้วยเวลาอันสั้น แต่ คำถามก็มีอยู่ว่ามีมนุษย์สักกี่คนที่ต้อง การบรรลุรู้แจ้ง เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นทั้งหมด

คำสอนต่างๆในตันตระได้ถูกบันทึกไว้ ด้วย วิธีการซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งไว้ เราสามารถศึกษาตันตระได้จากคำสอนต่างๆที่พระอาจารย์ชาวอินเดียได้บันทึกไว้และได้แปลทั้งหมดสู่ภาษาทิเบต เนื่องจาก คำสอนดั้งเดิมที่เป็นภาษาสันสฤตได้สูญหาย และถูกทำลายไปนานแล้ว ฉะนั้น เราสามารถศึกษาตันตระได้จากภาษาทิเบตเท่านั้น ในปัจจุบัน ภาษาทิเบตจึงมีความสำคัญมากเนื่องจากได้บันทึกและได้แปลคำสอนต่างๆที่เป็นสันสฤตดั้งเดิมไว้อย่างครบถ้วน

พุทธศาสนาได้เข้าสู่ทิเบตในสมัยกษัตริย์ ซองซันกัมโปเรืองอำนาจ ด้วยความสนพระทัยอันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพร้อมทั้งยังได้รับการแรงหนุนจากพระมเหสีชาวจีน องค์หญิงเวนเชง ราชธิดากษัตริย์ไทซุงของราชวงศ์ถังและเจ้าหญิงภรูกุฎิแห่งเนปาล องค์หญิงทั้งสองเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาและเคร่งครัดในการปฏิบัติ องค์เวนเชงได้อัญเชิญพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระพุทธรูปซึ่งสร้างในสมัยที่พระพุทธองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่(ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน3องค์) พระพุทธรูปโจโวพระประธานแห่งวัดโจคัง กรุงลาซา ที่ประดิษฐานมาจนถึงวันนี้ ในยุคนั้นพุทธศาสนาถูกขัดขวางจากลัทธิบอนอันเป็นลัทธิดั้งเดิมอย่างรุนแรง แต่พระพุทธศาสนาก็ยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ทิเบตทั้งจากอินเดียและจีน ได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทิเบตว่า ได้มีการสังคายนาโต้วาที ณ กรุงลาซา เป็นการโต้วาทีพุทธศาสนาระหว่างนิกายเซ็นของจีนและวัชระยานจากอินเดีย ในรัชสมัยพระเจ้าฑิโซงเดเชน ผลออกมาชาวทิเบตเลื่อมใสในวัชระยานจากอินเดียมากกว่า ดังนั้น พระเจ้าฑิโซงเดเชนจึงเลือกที่จะให้พุทธศาสนาวัชระยานเป็นศาสนาประจำชาติต่อไป พระองค์จึงส่งอำมาตย์ไปนิมนต์ พระศานตรักษิตะภิกษุชาวอินเดียจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ทาลันทาคุรุแห่งนิกายสวาตันติกะมัธยมิกเข้ามาเพื่อสถาปนาพุทธศาสนาขึ้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยว่าเพียงหลักปรัชญาอย่างเดียวไม่ตรงกับอุปนิสัยชาวทิเบต ซึ่งนิยมในการเซ่นสังเวย สิ่งลี้ลับ อิทธิปราฏิหาริย์ ตามลัทธิบอนที่ตนได้เชื่อถือมาแต่โบราณ แม้จะพยายามปรับเปลี่ยนตั้งแต่ในรัชสมัยก่อนๆ ศานตรักษิตจึงได้ให้คำแนะนำแก่กษัตริย์ฑิโซงเดเชนขอให้อัญเชิญคุรุปัทมสมภพ มหาสิทธาจารย์แห่งแคว้นอุทิยาน ผู้บรรลุพุทธธรรมในสายต่างๆมากมายเช่น โยคาจารย์และตันตระแห่งนิกายมนตรายาน เมื่อคุรปัทมสมภพเข้ามาได้ใช้อิทธิและความสามารถจัดการกับผู้ขัดขวางทั้งมวลจากลัทธิเก่าก่อนมีผู้เปลี่ยนเข้าสู่พุทธศาสนาเกือบทั้งประเทศ ส่วนผุ้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนลัทธิความเชื่อก็ถูกย้ายให้ออกไปอยู่ในที่อื่น จนสถาปนาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติทิเบตได้สำเร็จ คุรุปัทมสมภพได้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวทิเบตอย่างมากจนได้ยกย่องท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 และขานนามท่านว่ากูรูริมโปเช หรือ แปลว่าพระอาจารย์ผู้ประเสริฐกูรูริมโปเช คุรุปัทมสมภพได้ร่วมกับศานตรักษิตสร้างวัดสัมเยขึ้นในปี ค.ศ.787 และ ได้เริ่มมีการอุปสมบทพระภิกษุชาวทิเบตขึ้นเป็นครั้งแรก ในความอุปถัมภ์ของพระเจ้าฑิโซงเดเชน ทั้งนี้ ยังได้จัดนักปราชญ์ ชาวทิเบตเข้าร่วมในการแปลพระพุทธธรรมเป็นภาษาทิเบตด้วยอย่างมากมาย
Share:

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการสะกดวิญญาณ ด้วย ถอดกะโหลกหน้าผาก ของหมอผีโบราณ


-หมอผีต้องเสาะหา วิญญาณที่เฮี้ยน มาก ๆ เช่นผีตายท้องกลม
-เมื่อไปถึงป่าช้า หมอผี ต้องขอขมาอนุญาต นายป่าช้าก่อน เพื่อให้นายป่าช้าอนุญาต โดยการให้ธูปดับทันที
-เมื่อธูปดับแล้ว หมอผีต้องทำพิธีสื่อจิต เข้าไปในตัวผี จนเมื่อสื่อได้แล้ว หมอผีจะรู้ทันทีว่า ศพ ผีอยู่ไหน
-ระหว่างเดิน ทางเข้าป่าช้า ไปที่หลุมศพ หมอผีต้อง ต้องจิตให้นิ่งและภาวนาตลอด มิเช่นนั้นอาจถูกเล่นงานได้
-เมื่อถึงหลุมศพ หมอผีต้องทำพิธีเปิดธาตุทั้ง 4 ก่อน ที่จะขุด
-ระหว่างขุดหลุมขึ้นมาหมอผี ต้องใช้สมาธิจิตสูง และบริกรรมคาถากำกับ ตลอดเวลา
-เมื่อขุดศพ ขึ้นมาแล้ว หมอผีต้องกล่าว บอก ดวงวิญญาณว่าจะนำไปเลี้ยงดูหรือทำอะไร
-จากนั้นใช้ สิ่ว และค้อน อาคม ตอกหน้าผาก บริเวณ หว่างคิ้วของศพ โดยเชื่อว่าจุดนั้นเป็นจุดรวมวิญญาณ
-เมื่อนำส่วนของกะโหลกหน้าผาก มาแล้ว หมอผีต้องทำพิธี เรียกดวงจิตของดวงวิญญาณ เข้ามาประจำที่กระโหลกหน้าผาก
-และหมอผี ต้องจารอักขระ สายที่ตนเรียนมาเพื่อกำกับดวงวิญญาณ ให้อยู่ในโอวาท (ขั้นตอนนี้จะบอกได้ว่า เอาผีอยู่หรือไม่ เพราะสายวิชาที่เรียนมาอาจมีทั้ง แข็ง และ อ่อนกว่าอิทธิฤทธิ์ของผีนั้น ๆ)ฃ
-เมื่อเอาผี อยู่ หมอผีจะนำชิ้นส่วนกะโหลกหน้าผากนี้ติดตัวแบบหัวเข็มขัด(ปั้นเหน่ง) หรือ ห้อยคอ ไปด้วยเพื่อใช้ ในการปฏิบัติงานต่าง ๆ
-และต้องทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลไปให้วิญญาณดวงนั้น ๆ เสมอ เพราะทำไม่มีบุญวิญญาณจะไม่มีพลังเลย


ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก

ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก

ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย

ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับ

ลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้

ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ

1.ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า
2.ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า
3.สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4.อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย
อาถไสยศาสตร์. อาถรรพเวทย์ในคัมภีร์ไสยศาสตร์ แยกออกเป็น 2 นิกาย คือ

1.นิกายขาว (White System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางดี คือช่วยเหลือมนุษย์ให้มีสุขปลอดภัย
2.นิกายดำ (Black System) เป็นวิชาที่ใช้ในทางชั่ว คือทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น
คัมภีร์แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางเวทมนตร์คาถา
มี 8 ประเภทคือ

1.พระเวทย์แก้โรคต่าง ๆ
2.พระเวทย์ประสาน
3.พระเวทย์สะเดาะ เช่น สะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน
4.พระเวทย์ป้องกันตัว เช่น คาถาแคล้วคลาด
5.พระเวทย์แสดงปาฎิหาริย์
6.พระเวทย์ทำอันตรายผู้อื่น
7.พระเวทย์แก้ภูติผีปีศาจ เช่น คาถาสะกดวิญญาณ
8.พระเวทย์ทำเสน่ห์ เช่น มนตร์เทพรำจวญ
Share:

ตำนาน บทสวด อิติปิโส ถอยกลับ


ตำนาน บทสวด อิติปิโส ถอยกลับ บทสวดนี้ไม่ค่อยจะคุ้นหูคนทั่วไปมากนัก โดยทั่วไปจะท่องบทสวด อิติปิโส ธรรมดาทั่วไป ซึ่งก่อนนอนหากท่านสวดมนต์อิติปิโสนี้ทุกวัน เขาว่ากันว่า นอนแล้วจะหลับฝันดี และได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพ ซึ่งหากเราไปต่างจังหวัดหรือไปในที่ที่เรา ไม่คุ้นที่และต้องพักข้างแรม ควรมีติดตัวเอาไว้ อย่างน้อยๆก็ทำให้เราสบายใจในยามหลับนอน.. ครับ บท อิติปิโส ถอยหลัง เมื่อสมัยพุทธกาล มีเหล่าพระสงฆ์อยู่กลุ่มหนึ่งได้ออกธุดงค์ไปในป่าเขาแห่งหนึ่งซึ่งเป็นป่าที่ว่ากันว
่า ไม่มีนักบุญท่านใดอยู่ได้นาน เพราะมักจะมีเหล่าอสูรกายมาหลอกหลอน ให้ตบะพังจนสติแตกอยู่ร่ำไป พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ปักกรด และจำศีลอยู่ที่นั่น ซึ่งมีกันทั้งหมด 8 องค์ ตกกกลางคืน เหล่าอสูรกายก็ออกฤทธิ์ ทั้งหัวเราะทั่วหุบเขา ทั้งแปลงเป็นผี ควักไส้พุง ตาถลน ทั้งหมดกลัวสุดขีดแต่ได้ตั้งสติและสวดมนต์ โดยเฉพาะอิติปิโส แต่พอสวด อสูรกายกลับกลายร่างเป็นยักษ์โล้น(ร่างแท้ๆ) ปัดกลดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ทั้งหมดทุกท่านโกย..โกยเถอะโยม..ม และนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ได้ให้บทสวด อิติปิโส แต่ให้สวดถอยกลับ เพื่อไปปลดปล่อยยักษ์ตนั้นที่หวงที่ เหล่าพระสงฆ์เหล่านั้น ก็กลับไปที่เดิม ตกกลางคืน มาอีกหนักกว่าครั้งที่แล้ว ทั้งพายุห่าฝนทั้งฟ้าผ่า และมันกำลังจะกระทืบไปที่เหล่าพระสงฆ์กลุ่มนั้น ทั้งหมดห้อมล้อมและท่อง อิติปิโส ถอยหลัง ยักษ์ตนนั้น ปวดหัวทรมานอย่างแรง จนต้องอ้อนวอนให้พระสงฆ์กลุ่มนั้นหยุดท่องคาถานี้ หัวหน้าคณะได้ให้ยักษ์สาบานด้วยวาจาสัตย์ว่าต้องไม่ทำร้ายใครอีก และต้องจำศีลเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารที่เป็นอยู่นี้ ยักษ์จึงตกลง..และในที่สุดก็มาเป็นบทคาถาบทหนึ่งที่ไม่ใช่แค่คุ้มครองผู้สวดแล้ว ยังป้องกันภัยอันตรายทั้งหลาย ยามจำเป็นต้องพักในที่ที่เราไม่คุ้นเคย...

คาถาบทนี้มี56ตัว ให้ภาวนา3 หรือ 7คาบ ก่อนออกเดินทางไปสารทิศใด ๆ จะแคล้วคลาดปราศจากทุกภัยพิบัติทั้งปวง หากภาวนาได้ครบ108คาบ ติดต่อกัน จะมีตัวเบา เดินตัวปลิว เสกหรือสะเดาะเคราะห์ สะเดาะกุญแจ หรือโซ่ตรวนของจองจำทั้งปวงได้สิ้น

ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา

นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ

สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ

นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ

สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา

วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ

อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ ฯ




เพียงแต่ว่า.. บางตำราเค้าว่า เป็นบทสวด ของต่ำ.. เป็นอาคมด้านมืด... ดีไม่ดี จะเป็นการเรียกแทนที่ว่าจะป้องกันตนเอง..
Share:

พิธีกรรมลองของ"วิธีปลุกผี"


วิธีที่1
ในคืนเดือนเพ็ญให้จุดธุป1ดอกแล้วอธิฐานเชิญวิญญาณหรือผีที่คุณอยากเจอนำธูปไปปักไว้ทางทิศตะวันตก จากนั้นให้คุณนอนหันหัวมาทางทิศตะวันตกนี้วิญญาณหรือผีที่คุณอยากเจอจะมาปรากฏให้คุณเห็นวิธีนี้ได้ผลประมาณ50-60%
วิธีที่2
1.วิธีนี้ต้องลองในโบสถ์ที่มีเสาโบสถ์4ต้น
2.ใช้คน4คนให้แต่ละคนยืนประจำเสาทั้ง4เสา โดยห้ามใส่พระหรือเครื่องรางของคลังใดๆทั้งสิ้น
3.ปิดไฟให้มืดสนิทแล้วตั้งสมาธิจิตให้มั่น บอกกล่าวว่าต้องการเชิญดวงวิญญาณที่อยากพบ
4.ให้คนแรกวิ่งไปแตะแขนคนที่อยู่ที่เสาที่2และยืนแทน ณ จุดนั้นโดยคนที่2วิ่งไปแตะแขนคนที่3และก็ยืนแทน คนที่3วิ่งไปแตะแขนคนที่4 และก็ยืนแทน คนที่4วิ่งไปที่เสาต้นแรกแทนคนที่1โดยที่ไม่ได้แตะใครเพราะคนแรกไปอยู่ที่เสาต้นที่2แล้ว
5.หลังจากครบ1รอบก็ให้เริ่มใหม่อีกคราวนี้เพิ่มความเร็วขึ้นพอครบรอบก็ให้เร่งความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆถ้าสังเกตให้ดีคุณจะพบว่ามีใครเพิ่มขึ้นมาในช่องระหว่างที่พวกคุณนั่งสลับกันอยู่
หมายเหตุ**การวิ่งควรวิ่งทวนเข็มนาฬิกา คือเริ่มวิ่งวนไปทางซ้ายวิธีนี้ได้ผลประมาณ60-80%
วิธีที่3
วิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องตระเตรียมอุปกรณ์ แต่รับรองได้ผล100%
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1.ขี้เถ้าจากเชิงตะกอนห่อด้วยผ้าสีดำ1ช้อนโต๊ะ
2.ใบบอนดำ1ใบ
3.น้ำจากบ่อวัด7วัด วัดละครึ่งช้อนโต๊ะ
4.น้ำส้มป่อย 1 ถัง
สถานที่ วัน เวลา ที่เหมาะสม
1.วัดร้าง
2.ววันที่เหมาะสมในการทำพิธีคือขึ้นและแรม8,14,15ค่ำเวลาตั้งแต่4ทุ่มถึงตี2
3.คนที่ทำพิธีต้องผ่านการบวชเรียนมาแล้วไม่ต่ำกว่า3พรรษา
4.จำนวนผู้ที่เข้าร่วมพิธีไม่ควรเกิน6คนและทุกคนต้องใส่ชุดดำหมด
ข้อห้าม
1.ห้ามวิ่งเมื่อเห็นผีหรือวิญญาณมาปรากฏให้เห็น
2.ห้ามดื่มสุราของมึนเมาทุกชนิด
3.ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปในขณะที่กำลังทำพิธี
4.ห้ามพูดคุยซักถามและห้ามเคลื่อนไหวร่างกาย
5.ถ้าหากใครใจไม่กล้าพอหรือเกิดความกลัวระหว่างที่ทำพิธีให้หลับตาท่องคาถา "วะ วะ วะ ตัง วะ วะ วะ นัง"3จบแล้วอยุ่นิ่งๆห้ามวิ่งจนกว่าจะเสร็จพิธี
6.ห้ามนำขี้เถ้าที่ใช้ในการทำพิธีเข้าบ้านเพราะจะทำให้วิญญาณตามติดไปกับคนที่เอาขี้เถ้าไป
เริ่มพิธีปลุกผีได้
1.ดับไฟทุกดวงทั่วบริเวณวัด
2.เปิดประตูโบสถ์หรือวิหารไว้
3.จุดเทียน1เล่มปักไว้ที่หน้าพระประธาน จากนั้นมายืนอยู่หน้าโบสถ์
4.เทขี้เถ้าลงในใบบอนดำโดยหงายใบขึ้น เทน้ำที่เอามาจากวัด7วัด ผสมลงไปพอประมาณแล้วท่องคาถา "มะ มะ มา มา" 3จบพร้อมกันทุกคน
5.ใช้นิ้วแตะลงในน้ำที่ผสมขี้เถ้าป้ายลงที่หน้าผาก คิ้ว และตาทั้งสองข้าง
6.ผู้ที่ทำพิธีเดินนำหน้าถือใบบอนเดินเวียนรอบโบสถ์ทวนเข็มนาฬิกา2รอบ
7.เมื่อครบรอบแล้วให้หลับตาเชิญดวงวิญญาณ แล้วหยุดตรงจุดที่เริ่มต้นหันหน้าเข้าหาโบสถ์ ค่อยๆลืมตาขึ้น ท่านก็จะเห็นผีมาปรากฏ
8.เวลาที่ท่านจะเลิกดู ให้ท่องคาถา "วะ วะ วะ ตัง วะ วะ วะ นัง"3จบ แล้วถ่มน้ำลาย3ครั้ง พร้อมด้วยล้างหน้าด้วยน้ำส้มป่อยเป็นอันเสร็จพิธี ส่วนขี้เถ้าที่เหลือให้ทิ้งไว้ในวัด
Share:

วิธีเลี้ยงกุมารทอง อ่านก่อนที่จะคิดเลี้ยง


ก่อนอื่นนั้น


1. เราจะต้องคิดก่อนว่าเราจะเลี้ยงเค้าเพื่ออะไร ถ้าคุณตอบว่าอยากเห็นเค้ามากระโดดโลดเต้นเหมือนในละครก็ อย่าเลี้ยงเลยครับ

2. คุณพร้อมที่จะดูแลและเลี้ยงเค้ามั้ย ถ้าไม่พร้อมก็ อย่าเลี้ยงครับ

3. การเลี้ยงกุมารนั้นเรื่องสัจจะเป็นสำคัญนะ บอกว่าให้ตอนไหนก็ต้องให้ตอนนั้น

4. ถ้าทำตามทุกๆข้อที่ผมกล่าวมาได้นั้น เริ่มเลี้ยงได้เลย

เมื่อคุณสมบัติผ่านแล้วต่อไปคือ


1. คิดดูว่าจะเลี้ยงกุมารเทพ หรือพราย

2. เมื่อคิดออกแล้วให้คุณศึกษาหาวัดหรือสำนักที่มีการสร้างเสกกุมารทองขึ้นมา และที่สำคัญเราต้องศรัทธาในอาจารย์ผู้สร้างและองค์กุมารทองที่บูชานั้นด้วย เพราะศรัทธาเป็นแรงที่ทำให้เกิดปาฏิหารย์

3. ศึกษาวิธีการบูชาของแต่ละสำนักที่เราจะไปนำกุมารทองมา

ปล. บางท่านอาจจะใช้วิธีซื้อหุ่นกุมารทองมาแล้วนำไปให้สำนัก หรือวัดท่านผูกกุมารทองให้ อันนั้นก็แล้วแต่ความชอบครับ

กุมารเทพ


ข้อดี

1. เราไม่ต้องเซ่นเลี้ยงด้วยอาหารหยาบ

2. ไม่ให้โทษแก่ผู้เลี้ยงเมื่อเราไม่ได้เซ่นดูแล

3. หน้าตาจิ้มลิ้ม (อันนี้ไม่เกี่ยว แต่ลูกของผมบอกมา)

ข้อเสีย

1. เมื่อบนบาลอะไรแล้วได้ผลช้าหน่อย

2. ไม่ค่อยแสดงฤทธิ์เดชให้เห็น

กุมารพราย


ข้อดี

1. แสดงฤทธิ์บ่อยๆ

2. ได้ผลเร็วเมื่อบนบาลแล้ว

ข้อเสีย

1. ต้องเซ่นเลี้ยงด้วยอาหารหยาบอย่างขาดมิได้ (ยกเว้นบางตำหรับ)

2. หากขาดการเซ่นเลี้ยงแล้วอาจให้โทษแก่ผู้เลี้ยงได้(ยกเว้นแต่อาจารย์ผู้สร้างนั้นกำกับมาดี)

ขั้นตอนเมื่อเราได้กุมารมาแล้ว


1. เมื่อเราได้กุมารมาแล้วให้เราจัดการตั้งชื่อให้กับเขา โดยแบ่งได้ดังนี้

1.1 ชื่อที่เน้นโชคลาภ เช่น ทองมา เรียกทรัพย์ พูลเงิน พูลทอง ทองไหลมา เป็นต้น

1.2 ชื่อที่เน้นทางดุดัน เฝ้าบ้าน แคล้วคลาด เช่น ชัย เพชรมั่น คง กล้า แกร่ง เป็นต้น

2. ก่อนนำเข้าบ้านให้ทำตามนี้

2.1 หาที่ตั้งให้เหมาะสมโดย ไม่อยู่สูงกว่าพระ หรือ ต่ำติดพื้น และไม่ควรหันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก

2.2 จุดธูปกลางแจ้ง 12 ดอก หรือ 16 ดอก บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางดังนี้

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวแด่ พระภูมิ เจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย ผีเหย้า ผีเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ อยู่ภายในสถานที่ แห่งนี้ วันนี้ข้าพเจ้าได้นำ เจ้า...... เข้ามาเลี้ยงภายในบ้าน เพื่อให้เจ้า..... เฝ้าทรัพย์สิน ให้โชคให้ลาภ ขอให้ พระภูมิเจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเปิดทางให้เจ้า.... เข้ามาอยู่อาศัยในบ้านได้สะดวกด้วยถิด

2.3 เมื่อทำการเปิดทางให้กับเจ้ากุมารลูกของคุณแล้ว ให้นำกุมารมาตั้ง ณ ที่ที่เตรียมไว้แล้วจุดธูปบอกกุมาร โดย พราย 1 ดอก เทพ 5 ดอก ว่า

เจ้ากุมารทองของพ่อเอ๋ย ต่อไปนี้เจ้าชื่อ ..... และต่อไปนี้คนนี้คือพ่อของเจ้า พ่อจะเรียกเจ้าว่า ..... มาอยู่ที่บ้าน ให้ช่วยกันดูแลบ้านเฝ้าบ้านให้ดี ช่วยกันทำมาหากินนะ แล้วพ่อจะซื้อของเล่นให้ เวลาพ่อไปไหนก็ไปกัน เวลาพ่อกินอะไรก็กินกันนะ

ไม่ต้องรอให้พ่ออนุญาติ อยากได้อะไรอยากกินอะไรมาบอกพ่อนะ(หากมีกุมารอยู่แล้วให้กล่าวเพิ่มว่า เจ้า...(ชื่อกุมารองค์เดิม).... วันนี้พ่อนำ น้องเค้ามาอยู่ด้วยนะ อยู่ด้วยกันก็รักกันนะช่วยกันดูแลบ้าน หาเงินหาทองอย่าทะเลาะกันนะ)

ทุกๆวันพระให้เรานำข้าวปลาอาหาร หรือขนม หรือผล ไม้ ดอกไม้ มาบูชา เค้าแล้วบอกกล่าวเค้าว่าให้ช่วยกันหาเงินหาทอง เฝ้าบ้านดูแลคนในบ้าน ขาดเหลืออะไรบอกพ่อนะ

สำนึกของผู้ที่เลี้ยงกุมารทอง


1. คุณต้องระลึกไว้เสมอว่ากุมารนั้นคือลูกของคุณ เสมือนคนจริงๆ

2. หมั่นหาของเล่นขนมมาให้เค้า

3. หมั่นคุยกับเค้า

4. หากเบื่อแล้วคิดจะเลิกเลี้ยง นั้นควรนำเค้าไปปล่อยโดยให้ผู้ที่มีพลังจิต หรือพระปลดปล่อยเค้าไป

หมายเหตุ คุณลองคิดว่าคุณเบื่อลูกคุณแล้วคุณขายลูกคุณสิ มันคืออะไร

สุดท้ายนี้ขอให้คนที่รักกุมารทองทุกๆคนนั้น มีกุมารทองน่ารักๆ เก่งๆกันทุกคนเน้อ


รักยม เลี้ยงด้วย น้ำมันจัน

พราย เลี้ยงเซ่น ด้วย อาหาร หยาบ ทั่วๆ ไป

ควายธนู วัวธนู เลี้ยงด้วยหญ้าคา

หุ่นพยนต์ นี่ เป็นหุ่นเกิดจากอาคม
Share: