วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อินเดียนแดง


ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติวางอยู่บนฐานรากของ ผู้คน วัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี พิธีกรรม และ ตำนาน อย่างไรก็ตาม เพียงส่วนน้อยที่รู้ถึงประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของอินเดียนแดง อินเดียนแดงไม่ได้เป็นชนพื้นเมืองของทวีปอเมริกามาก่อน ฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ขุดพบในอเมริกาเหนือแสดงว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่นับล้านปี แต่ไม่มีฟอสซิลไหนจะบอกได้ว่ามีมนุษย์อาศัยมาก่อน 38,000 ปีมาแล้ว หลักฐานของการมาถึงทวีปอเมริกาของอินเดียนแดงได้สูญหายไปกับยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยตลอด การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้พิสูจน์ว่ามีการวาดรูปภาพขึ้นด้วยวัสดุที่ทำจากธรรมชาติ ในที่ๆมีการฆ่าสัตว์ขึ้น ในการวิจัยดีเอ็นเอก็บ่งบอกการเชื่อมโยงกับกลุ่มชนชาติอื่น และการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ของอินเดียนแดงหลายๆชนเผ่าทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปว่าอินเดียนแดงเป็นผู้คนที่อพยพมาจากทวีปเอเซียเมื่อ 40,000 – 35,000 ปีมาแล้ว (เรื่องนี้ขัดแย้งกับความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมของอินเดียนแดงบางส่วน)
ตลอดช่วงสุดท้ายของยุคน้ำแข็ง ประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว พื้นที่เกือบทั้งหมดของโลกได้เชื่อมต่อกันด้วยน้ำแข็ง มหาสมุทรอยู่ใต้น้ำแข็งถึง 300 ฟุต แผ่นดินที่อยู่ใต้ผิวน้ำปัจจุบันล้วนเคยอยู่เหนือน้ำมาก่อน การเชื่อมต่อของดินแดนระหว่างไซบีเรียและอลาสกาเรียกว่า เบอรินเจีย ปัจจุบันคือช่องแคบ แบริ่ง จากการตรวจสอบทางโบราณคดีด้วยวิธี เรดิโอคาร์บอนที่สถานีวิจัยใน ยูคอน ไปจนตลอดชายฝั่งแปซิฟิก เป็นที่น่าเชื่อว่า กลุ่มคนที่เป็นนักล่ายุคหินพาลีโอลิทิค ได้อพยพข้ามจุดเชื่อมต่อนี้ ทฤษฎีอื่นว่าพวกเขาอพยพข้ามแปซิฟิกด้วยเรือก่อนที่จะมีการเชื่อมต่อของทวีปเกิดขึ้น
ที่ตั้งของนิวเม็กซิโกมีอายุอ้างอิงได้ถึง 38,000 ปี และสิ่งหนึ่งในชิลีก็ตรวจสอบอายุย้อนหลังได้ถึง 33,000 ปีซึ่งพ้องกับทฤษฎีนี้ ผู้คนที่อพยพทางเท้าข้ามเบอรินเจียไม่ได้มาถึงที่ตั้งเร็วนัก เครื่องหมายที่แสดงถิ่นที่อยู่ของมนุษย์บนบางเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตรวจสอบอายุได้ประมาณ 20,000 ปี หรือมากกว่าแสดงว่ามนุษย์ในยุคก่อนนั้นสามารถจะข้ามมหาสมุทรได้ ตามหลักฐานอ้างอิงถึงความยาวนานของถิ่นฐาน การมาถึงของกลุ่มที่ยังคงอยู่ the Inuit and Aleut อพยพข้ามทะเลแบริ่งจากไซบีเรียด้วยเรือที่หุ้มด้วยหนังสัตว์ และการใช้เรือขุดจากต้นไม้เป็นลักษณะแคนูในช่วง 2,500 ถึง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากที่ผืนน้ำได้ครอบคลุมเบอรินเจียอีกครั้ง
การศึกษาทางโบราณคดี, ดีเอ็นเอ, และภาษาศาสตร์ บ่งบอกว่าฝูงชนได้อพยพมาสู่ทวีปอเมริกาเหนือ และตั้งถิ่นฐานในที่ที่มาถึง บางส่วนได้เดินทางต่อไป และตั้งถิ่นฐานในส่วนอื่นของทวีป บ้างลงไปทางใต้เข้าสู่ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ พวกเขามาตามทางที่เป็นแผ่นน้ำแข็งที่ครอบคลุมทางเหนือของอเมริกาที่ต่อมาได้ละลายลงและแยกจากกัน จากทางผ่านที่เกิดขึ้น ชนกลุ่มแรกของอเมริกาได้อพยพลงใต้ตลอดชายฝั่งแปซิฟิค ข้ามมาทางตะวันออกที่ซึ่งปัจจุบันเป็นแคนาดา และทางตะวันออกเฉียงใต้เข้าสู่ใจกลางทวีป การอพยพนี้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานในวัฒนธรรมในกาลต่อมา
พวกแรกที่มาถึงคือ พาลีโอ-อินเดียน (Paleo-Indians) ผู้ซึ่งมีอำนาจครอบครองชีวิตซึ่งเร่ร่อนไปในที่ต่างๆและประกอบด้วยอาหารและการล่าสัตว์ที่เป็นเกมส์ยิ่งใหญ่ เกมส์ที่พาลีโอ-อินเดียนล่าคือพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในยุคล้านปีที่ต่อมาได้วิวํฒนาการและสูญพันธุ์ในอเมริกาเหนือเช่น แมมมอธ, แมสโทดอน, เสื้อเขี้ยวดาบ, สิงโตอเมริกัน, อูฐ, หมาป่า, ไบสันเขายาว, ม้า, และไจแอ้นท์สลอต
นักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาได้พบวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวผู้กับมาถึงเหล่านี้จากวัตถุและกระดูกที่ขุดพบในบริเวณตั้งแค้มป์และบริเวณที่เป็นแหล่งล่า หลายศตวรรษที่ พาลีโอ-อินเดียนได้พัฒนาอาวุธที่ใช้ล่าสัตว์ คือหอกปลายแหลมที่ทำจากหิน ปัจจุบันระบุชื่อเป็น Clovis และ Folsom จากที่พบจากแหล่งขุดค้นในนิวเม็กซิโกซึ่งมีสภาพดีที่สุด ซึ่ง Clovis มีอายุราว 12,000 ถึง 15,000 ปีและยังพบอีกหลายแห่งในอเมริกาเหนือ
หอกอีกพวกที่พบเป็นช่วง Sandia (ประมาณ 9100 – 8000 ปีก่อนคริสตกาล) ส่วนมากพบทางตะวันตกเฉียงใต้ และ Plano หรือ Plainview (ประมาณ 8,000 – 4,500 ปีก่อนคริสตกาล) ที่เชื่อมโยงกับ The Great Plains
ประมาณ 10,000 – 8,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นช่วงสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งจากธารน้ำแข็งทางเหนือ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ได้มีเกมส์การล่าสัตว์ขนานใหญ่ที่ทำให้สัตว์บางชนิดได้สูญพันธุ์ไป เมื่อสภาพอากาศอบอุ่นขึ้น ก็มีสัตว์และพืชสายพันธุ์ใหม่วิวัฒนาการขึ้นมาแทนที่ ช่วงของหอก Clovis และอื่นๆได้แปรเปลี่ยนไปสู่วัฒนธรรมที่เรียกว่า Archaic ซึ่งรุ่งเรืองในประมาณ 5,000 – 1,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือการออกหาอาหาร (Foraging) เป็นช่วงที่แปรเปลี่ยนไปตามนักล่าที่ร่อนเร่ไป การล่าก็เล็กลงด้วยการสร้างกับดัก การจับสัตว์น้ำ การหาพืชป่าเป็นอาหาร สัตว์ที่เคยล่าเป็นเหยื่อเริ่มขาดแคลน มนุษย์เหล่านี้ก็เริ่มเพาะปลูกขึ้น มีการเตรียมดินเพาะปลูกน้ำเต้า, ถั่ว, ข้าวโพดเกิดขึ้น บางส่วนของทวีป ผู้คนได้เริ่มสร้างชุมชนขึ้นอย่างถาวร ในช่วงนี้ ผู้คนทางตะวันออกเฉียงใต้ได้เริ่มสร้างเครื่องปั้นดินเผาขึ้น มีการฝึกฝนและพัฒนาทีละเล็กละน้อยไปตลอดทั่วทั้งอเมริกาเหนือ การเปลี่ยนแปลงจากการเร่ร่อน และวัฒนธรรมการรวมกลุ่มกันเพื่อล่าสัตว์มาเป็นการอยู่กับที่เพื่อเพาะปลูก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ ช่วง Formative ซึ่งบ่งบอกด้วยการทำเครื่องปั้นดินเผา การทอผ้า และทำการค้า ในการข้ามทวีป วัฒนธรรมได้หลากหลายมากขึ้นยิ่งกว่า การเฉลิมฉลองและพิธีกรรมแสดงถึงความสำคัญในการดำรงชีพของผู้คนมากขึ้น การแกะสลักหินแสดงความชัดเจนของความเชื่อของผู้คนในยุคนั้น วิถีชีวิตของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนจากการออกล่าสัตว์มาเป็นการเพาะปลูก ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องเล่าของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เรื่องเล่าถึงสังคมของล่าสัตว์ได้สืบทอดโดยการเล่าขานเกี่ยวกับเกมส์การล่าสัตว์ซึ่งสำคัญต่อการดำรงชีพ ซึ่งเรื่องเล่าของสังคมแห่งการเพาะปลูกเจาะจงไปที่ความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลและลมฟ้าอากาศ

ในตะวันออกเฉียงใต้ ในแถบลุ่มแม่น้ำโอไฮโอ ตลอดไปจนถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ทั้งสายหลักและสายย่อยของแม่น้ำ วัฒธรรมการสร้างอาคารพักอาศัยด้วยเนินดินได้เริ่มขึ้นประมาณ 1,800 ปีก่อนคริสตกาล วัฒนธรรมนี้แปรเปลี่ยนไปตามลักษณะดินของถิ่นนั้นๆ บางรูปทรงเรียกว่า เนินดินแบบ Effigy เลียนแบบรังของสัตว์และนก สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ เครื่องประดับ เครื่องดินเผา เครื่องแกะสลัก และวัตถุอื่นๆที่พบในเนินดิน แสดงความมั่งคั่งตามเรื่องเล่าและตำนานของผู้สร้างเนินดิน ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้สืบทอดลูกหลานมาจนถึงยุคปัจจุบัน เนินดินของยุคนี้ที่พบล่าสุดพบที่บริเวณ Poverty Point
ประมาณ 1,800 – 500 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ชุมชนต่างๆ มีในอริโซน่า อาคันซอ และมิสซิสซิปปี้ Poverty Point เป็นที่ที่น่าประทับใจที่สุดด้วยรูปทรงเหมือนนกยักษ์กางปีกมีขนาด 710 ฟุต x 640 ฟุต ผู้คนในช่วงต่อมา ช่วงของวัฒนธรรม Adena (ประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 200) มีการสร้างเนินดินตามลุ่มน้ำ โอไฮโอ จากเคนตัคกี้ไปจนถึงนิวยอร์ค หนึ่งในการสร้างจากผืนโลกของพวกเขาคือเนินดิน Great Serpent ในโอไฮโอ ที่รูปทรงเหมือนงูยักษ์และยาวถึง 1,348 ฟุต ตรงกับเรื่องเล่า Hopi อีกกลุ่มของเนินดินคือ Hopewell เป็นวัฒนธรรมในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ปี ค.ศ. 700 ได้แผ่กระจายไปทั่วทางตะวันออกและตอนกลางของตะวันตก ผู้คนในช่วง Hopewell แสดงให้เห็นถึงความกว้างขวางของเครือข่ายการค้าขาย มีงานศิลปสวยๆพบมากมายในเดินดินช่วง Hopewell หลักจากยุคถดถอยของ Hopewell ผู้คนในยุค Mississippian (ประมาณ ค.ศ. 700) ได้สร้างสังคมที่ซับซ้อนขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือ ชุมชนที่ใหญ่มีมากกว่า 1 พันคน และมีการสร้างเนินดินตรงศูนย์กลางเป็นเสมือนที่บูชาและมีขนาดใหญ่กว่าปิรามิดในอียิปต์เสียอีก
เครือข่ายการค้าของผู้คนในยุค Mississippian ครอบคลุมตั้งแต่ทางเหนือของเม็กซิโกไปจนถึงแคนาดา พิธีศพ การฝึกฝน และการสังคมแสดงว่าความเชื่อและเรื่องเล่าขานของคนยุค Mississippian ได้รับการสืบทอดมาจากคนยุค Meso-Aerican แม้ว่าเรื่องเล่าตำนานโบราณของพวกเขาจะสูญหายไป แต่เนินดินนี้ก็ได้ถูกสร้างตามแบบวัฒนธรรมตามเรื่องเล่าและตำนานที่เคยมีมาก่อนอย่างสมบูรณ์
ทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่กลุ่มเนินดิน สามกลุ่มที่แตกต่างออกไป คือ Mogollon, Hohokam และ Anasazi
Mogollon ประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาลถึง ค.ศ 1300 ซึ่งมีเขตแดนหลักๆตั้งแต่อริโซน่าไปถึงชายแดนนิวเม็กซิโกและเป็นที่รู้จักโดยภาพวาดแกะสลักบนหิน ที่เราเรียกกันว่าอักษรภาพ, สิ่งทอและเครื่องดินเผาที่พบ เรายังไม่พบข้อมูลเรื่องตำนานและเรื่องเล่าของ Mogollon แต่ภาพบนผนังหินได้บ่งบอกอะไรไว้ให้ศึกษาต่อเช่น พิธีศพ การเต้นรำเฉลิมฉลอง สิ่งเหนือธรรมชาติ สัตว์ นก และสัญลักษณ์รูปทรงเรขาคณิตที่แสดงถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของศาสนาและความเชื่อในยุด Mogollon
Hohokam (100 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 1500) ทำให้ทะเลทราย Sororan แห่งอริโซน่าที่อ้างว้าง รุ่งเรืองไปด้วยชุมชนพักอาศัยของพวกเขาที่มีการทดน้ำเข้ามาใช้ ยุค Meso-American มีอิทธิพลต่อ Hohokam ซึ่งบ่งบอกด้วยการค้นพบเครื่องดินเผา การทำเซรามิคเป็นรูปร่างบุคคลแบบเดียวกับหินสุริยเทพกลมๆของชาวมายัน ที่เป็นการทำขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า
Anasazi (ประมาณ ค.ศ. 100 – 1300) ได้สร้างที่พำนักริมหน้าผา และตามยอดเขายาวตลอดบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า Four Corners ซึ่งอยู่ในเขตแดนของอริโซน่า โคโลราโด และ ยูทาห์ การสืบทอดของ Anasazi (บางส่วนของพวกเขาผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับชื่อที่ได้จากบรรพบุรุษหมู่บ้านอินเดียนแดง) ได้สร้างตำนานเกี่ยวกับ Anasazi และการทอดทิ้งบ้านที่ใหญ่โตมาเป็นประเพณีและประวัติศาสตร์
ในอินเดียนแดงที่หลากหลายเผ่า ทุกอย่างของความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปเริ่มจากการติดต่อกับชาวยุโรป หลังจากที่โคลัมบัสได้ถือสิทธิ์เป็นเจ้าของอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1492 ชาวยุโรปได้สร้างมิติใหม่ให้กับตำนาน และสร้างประเพณีขึ้นใหม่ อย่างเช่น การนำม้าเข้ามาโดยชาวสเปน ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตแห่งชนเผ่าในทุ่งราบ มีการใช้คำพูดถึงชนเผ่าแห่งทุ่งราบที่เฉลิมฉลองการได้ม้ามา ถึงแม้ม้าจะไม่ใช่มีต้นกำเนิดจากสเปนก็ตาม สัตว์สวยงามเหล่านี้ มีความสำคัญมากกว่าที่จะให้กันได้ธรรมดาๆ บางเผ่ามีเรื่องเล่าถึงผู้ติดต่อเทพเจ้าที่สามารถรู้แหล่งที่จะพบม้าเหล่านี้ และเป็นความเปลี่ยนแปลงที่สร้างตำนานอินเดียนแดงยุคใหม่ที่ไกลจากเดิมมากมาย
ช่วงของการเกือบจะสูญพันธุ์ของควายป่าโดยการล่าของชาวยุโรปใน ศตวรรษที่ 18 ได้กระทบความเป็นอยู่ของชนเผ่าในพื้นราบอย่างรุนแรงและได้มีการนับจำนวนไว้ในตำนาน การถูกขับไล่และการตั้งรกรากใหม่ก็สร้างความเสียหายอย่างมากเช่นกัน วัฒนธรรมและประเพณีหลายอย่างได้ ภาษาอินเดียนแดงดั้งเดิมได้เริ่มสูญหายเลือนลางไป ด้วยโรคภัยที่ระบาดจากผู้คนชาวยุโรป สงคราม และ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในวันนี้มีการฟื้นคืนด้วยความพยายามของลูกหลานอินเดียนแดงที่จะฟื้นฟูประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ และภาษากลับมา พิธีกรรมและตำนานที่เชื่อมโยงกับผู้คนในอดีตที่ยิ่งใหญ่ได้กลับมาเป็นที่เล่าขานบันทึกและนำมาให้ประโยชน์กับผู้คนที่ใช้ชีวิตในปัจจุบัน เรื่องเล่ายังพัฒนาไปไปตามผู้เล่าและมุมมองของเขาเหล่านั้นด้วยสื่อสมัยใหม่
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น