วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ลิฟต์แดง

โดมชรา"เล่า เรื่องขนหัวลุกที่น่าเศร้าสลดในอดีต 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 คือ ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของเมืองไทย ที่คนไทยโดยทั่วไปมักพูดตรงกันว่า... เป็นประวัติศาสตร์เลวร้าย น่าสยดสยองและโหดเ้ยมทารุณอย่างที่ไม่เคยมีใครคิดฝัน ว่าจะเกิดขึ้นได้

หน้ากระดาษอันเปื้อนเลือดเปรอะคราบน้ำตา เป็นบันทึกน่าอัปยศอดสูที่คนไทยอยากจะลืมให้หมดสิ้น แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในความจริงก็ตาม

ไม่มีสิ่งใดน่าอับอายแม้แต่หัวใจของตนก็คือ...ไทยฆ่า ไทยด้วยกันเอง!

หลายๆ ท่านอาจจะทราบรายละเอียด ทั้งจากประสบการณ์ หนังสือ บันทึกและคำบอกเล่าที่มักไม่แตกต่างกัน เกี่ยวกับความทารุณโหดร้ายราวกับมีภูตผีสิงสู่ในหัวใ จของคนไทยกลุ่มหนึ่ง จึงกล้ากระทำทารุณกรรมแก่เพื่อนร่วมชาติจนถึงกับบาดเ จ็บสาหัส พิกลพิการและถึงแก่ชีวิตรวมแล้วนับพันๆ คน

นับเฉพาะนักศึกษาหนุ่มสาว เคราะห์ร้ายที่ต้องสังเวยชีวิตให้เพชฌฆาตบ้าคลั่งในส ถานศึกษาของตนก็หลาย ร้อยคนแล้วถูกยิง ถูกแทง ถูกกลุ้มรุมทำร้าย และถูกเผาทั้งเป็น!

ก่อน ลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหลุดลอยออกจากร่าง อนาคตของชาติที่ยังอยู่ในวัยบริสุทธิ์สดใส จะต้องได้รับความเจ็บปวดรวดร้าว ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสปานใดหนอ

รุ่งเช้าของวันที่นรกแตกโดยไม่มี ผู้ใดคาดฝัน เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งในและนอกเครื่องแบบนับพัน จู่โจมเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พร้อมด้วยอาวุธร ้ายกาจครบมือ...เสียง ปืนรัวกระหน่ำ กึกก้องปานเสียงภูตนรกกู่ร้องเรียกหาเลือดเนื้อของมน ุษย์เป็นเครื่องเซ่น สังเวย ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของหนุ่มสาวผู้พร่ำเพรียกเรียก ร้องประชาธิปไตยให้ปวง ชน

นักศึกษานับร้อยๆ ถูกลากออกมาที่ท้องสนามหลวง บังคับให้ถอดเสื้อผ้า นอนคว่ำหน้ากับพื้นดิน โดนทุบตี เหยียบย่ำ กระหน่ำด้วยพานท้ายปืน และบ้างก็ถูกคน นอกเครื่องแบบลากไปแขวนไว้ที่ต้นมะขาม

หลายคนถูกโยนเข้าไปในยางรถ ยนต์ก่อนไฟนรกจะลุกพึ่บ...ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยห วน...โดนเผาทั้งเป็นต่อ หน้าผู้คนนับร้อย แบบที่เรียกกันว่า "นั่งยาง"

เพชฌฆาตกรูเกรียวเข้าไปข้างในสถานศึกษา ด้วยความกระหายเลือดเต็มประดา!

หนุ่ม สาวนับพันรู้แน่ใจว่ายมทูตกำลังไล่ล่าพวกตนอย่างบ้าค ลั่ง มีสภาพแตกตื่นไม่ผิดกับมดแดงแตกรัง บ้างวิ่งไปจนมุม นัยน์ตาเหลือกลาน บ้างคลานหนีหัวซุกหัวซุน และบ้างก็เตลิดเข้าห้องสมุดที่เคยสงบเงียบ บัดนี้กลับกลายเป็นนรกอเวจีไปแล้ว

แต่แทบจะไม่มีใครหนีรอดได้สำเร็จ

เสียงปืนคำรามสนั่นหวั่นไหว ติดต่อกันยาวนานราวจะไม่มีวันจบสิ้นลงเลย!

ชีวิต หนุ่มสาวนับไม่ถ้วนร่วงผล็อยประหนึ่งใบไม้ในฤดูผลัดใ บ แต่ลงมากองทับถมกันบนเลือดแดงฉานไหลนอง ราวกับเป็นเพียงสัตว์เล็กน้อยที่ตายสุมๆ กันเพราะปืนพราน

ประตูลิฟต์ เปิดอ้า...ผู้ที่ยังรอดชีวิตกรูเกรียวเข้าไปในนั้นจน แน่นขนัด ก่อนจะโลดลิ่วขึ้นไปได้อึดใจเดียวก็ หยุดลง ประตูเปิดผางออกมา...เพชฌฆาตกระหายเลือดกลุ่มหนึ่งรอ คอยอยู่แล้ว ปืนนับสิบกระบอกยิงสาดเข้าไปในลิฟต์ กลบเสียงแผดร้องโหยหวนจนหมดสิ้น

ไม่มีใครในลิฟต์มรณะนั้นจะรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดีย ว!

บ้าน เมืองกลับเข้าสู่ความสงบแล้ว แต่รอยเลือดที่สาดกระจายไปทั่วทุกด้านในลิฟต์ก็ยังปร ากฏอยู่ แม้ว่าจะมีการชะล้าง ขัดถู ทำความสะอาดเพียงไร ก็ไม่สามารถลบรอยเลือดอันเป็นอนุสรณ์ของความโหดร้ายป ่าเถื่อนได้หมดสิ้น

หมด ทางแก้ไข ผู้รับผิดชอบจึงตัดสินใจให้ทาสีแดงในห้องลิฟต์ทั้งหม ด แม้แต่ประตูด้านนอกก็ทาสีแดงเช่นกัน...แต่วิญญาณอันท ุกข์ทรมานยังอยู่ที่ นั่น

นักศึกษาบางคนที่ใช้ลิฟต์เผลอจ้องมองใบหน้าตัวเองในก ระจก ก่อนจะแข็งทื่อไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าในลิฟต์นั้นไม ่มีกระจก!

อาจารย์ หนุ่มคนหนึ่งขึ้นลิฟต์ไปคนเดียว แต่จู่ๆ ก็มีนักศึกษาสาวสองคนมายืนข้างๆ พลางก้มหน้าสะอึกสะอื้น คร่ำครวญว่า...อาจารย์ขา ช่วยด้วย! หนูปวดเหลือเกิน...

นักศึกษาชายอีกคนเล่าว่าขึ้นลิฟต์ไปกับเพื่อน ก่อนที่นักศึกษาหญิงจะก้าวเข้ามายืนข้างๆ ครั้นก้มลงมองก็เห็นเลือดแดงฉานไหลจากชายกระโปรงลงมา ตามน่อง... ตอนแรกคิดว่าเป็นรอบเดือนที่มากะทันหัน แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับใบหน้าขาวซีด ปากเขียวจนดำปี๋ นัยน์ตาโปนแทบถลนกำลังจ้องมองอย่างวิงวอน...

ในที่สุดลิฟต์ก็ เสื่อมสภาพ จึงได้รื้อลิฟต์ทิ้งแต่เก็บประตูสีแดงฉานราวสีเลือดไ ว้ที่ชั้น 6 คณะศิลปศาสตร์... เป็นอนุสรณ์เตือนใจให้นึกถึงความสูญเสียของวันนั้น.. . วันอันน่าอัปยศอดสูของคนไทย และหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยตลอดกาล!
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น